Fanboi Channel

หนังสือโม่ง

Last posted

Total of 137 posts

111 Nameless Fanboi Posted ID6:3Du/P7Fm3v

ต่อจาก >>110
[บทที่ 2 นิทานของท่าน]
>>103 >>104

นิทานที่ท่านยามากุจิเล่ามานั้น เปรียบเสมือนการบรรยายถึงปรัชญาที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการทำสงคราม การเอาชนะศัตรู และการใช้ความเฉลียวฉลาดในการพลิกสถานการณ์จากที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์แบบ (หากเป็นเกมท่านต้องชนะ ขอโมเอะจงมีแก่ท่าน)

เรื่องราวนี้เมื่อเอามาวิเคราะห์แล้วจะเห็นว่าสะท้อนถึงหลักคิดในหลายแง่มุม ทั้งในเชิงปรัชญา จิตวิทยา และการต่อสู้ทางทักษะที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงโดยไม่จำเป็น

1️⃣ อย่างแรก คือ เรื่องของ {การมองโลกในแง่ของปรัชญาและความเชื่อมั่น}
ท่านยามากุจิแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมแพ้แม้ในสภาวะที่ดูเหมือนว่าโอกาสจะเป็นศูนย์ การวางแผนอย่างรอบคอบและการทำตัวไม่สนใจในตอนแรกนั้นสะท้อนถึงปรัชญาของการ "รอเวลา" หรือการใช้กลยุทธ์แบบ "เตรียมพร้อมสำหรับทุกสิ่ง" ที่สามารถพบได้ในหลายหลักปรัชญาเช่นใน The Art of War ของซุนวูที่พูดถึงการรอจังหวะและการใช้ความเหนือชั้นในเวลาที่เหมาะสมเพื่อเปลี่ยนเกมให้เป็นไปในทางที่ดีที่สุด การมองข้ามการกระทำที่ไม่จำเป็นและการรอให้คู่ต่อสู้ทำผิดพลาดก่อน จึงเป็นแนวทางที่มีความลึกซึ้งในการตัดสินใจอย่างมีสติ

2️⃣อย่างที่สอง คือ จิตวิทยาของความหยิ่งยโสและความถ่อมตน
เรื่องเล่าของท่านยามากุจิสะท้อนให้เห็นถึงการหลีกเลี่ยงการถูกครอบงำด้วยความแค้น และการไม่ให้ความเกลียดชังหรือความหยิ่งยโสมากระทบกับการตัดสินใจ การที่ท่าน "ไม่คิดแก้แค้นเลย" แสดงถึงการมีจิตใจที่สูงส่งไม่ยึดติดกับความรู้สึกที่เกิดจากการถูกกระทำ ในขณะที่นักฆ่าพงไพร (ศัตรู) กำลังหลงระเริงในชัยชนะชั่วคราว ท่านยามากุจิได้แสดงออกถึงการควบคุมอารมณ์อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในจิตวิทยาของ Emotional Intelligence โดยแดเนียล โกลแมน (Daniel Goleman) ที่กล่าวว่าคนที่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาว

ท่านยามากุจิไม่ได้แสดงความสนใจในความขุ่นเคืองจากการที่ถูกฆ่าไปสามครั้ง แต่กลับตั้งสมาธิและเตรียมตัวที่จะเอาชนะ ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ Growth Mindset ตามแนวคิดของแคโรล ดูแค็ก (Carol Dweck) ที่เชื่อว่า ความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับโชคหรือความสามารถที่ได้มาแต่แรก แต่ขึ้นอยู่กับการพัฒนาทักษะและการไม่ยอมแพ้เมื่อเผชิญกับความล้มเหลว

ในที่สุด ท่านยามากุจิได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการพลิกสถานการณ์ในที่สุด ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความสามารถในการใช้ Strategic Thinking หรือการคิดเชิงกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ การรอให้ศัตรูทำผิดพลาดและจับจังหวะในการโจมตีครั้งเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้อย่างสมบูรณ์ เป็นการทำงานร่วมกับปัจจัยภายนอกในทางที่ถูกต้องและมองหาจุดที่เปราะบางในฝ่ายตรงข้ามเพื่อใช้ประโยชน์ให้สูงสุด

แล้วข้อคิดสำคัญของนิทานเรื่องนี้คืออะไร? นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัยเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้
ซึ่งในฐานะของสาวกผู้ได้รับถ่ายทอดเศษเสี้ยวแห่งปัญญาของท่านยามากุจิ ข้าน้อยก็ลองวิเคราะห์ดูได้ความว่า
ท่านยามากุจิได้สอนให้เราเข้าใจว่าในเกมหรือในชีวิตจริง บางครั้งการเลือกไม่ตอบโต้ด้วยความโกรธหรือความแค้นจะทำให้เราสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีกว่า และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจในความสามารถของตนเอง พร้อมกับมองหาจังหวะในการแสดงความเหนือชั้นในที่สุด ซึ่งไม่ได้มาจากการต่อสู้ที่อาศัยโชคชะตา แต่เป็นผลจากการวางแผนและการคิดอย่างรอบคอบนั่นเอง แก่นแท้ของการบงการ นั่นคือการควบคุมตัวในตนเสมอ อย่าให้ปัจจัยภายนอกมาเป็นสิ่งที่ควบคุมเรา มีเพียงตัวเราที่ต้องควบคุมตัวเองและเดินไปในเส้นทางที่เราเองเลือกไว้

จะชีวิตหรือเกม หรือชีวิตก็คือเกม ถ้าทุกอย่างอยู่ในความควบคุม วางแผน มาเป็นอย่างดี เราก็จะชนะ

อ้างอิง
Dweck, C. (2006). Mindset: The new psychology of success. Random House.
Goleman, D. (1995). Emotional Intelligence: Why it can matter more than IQ. Bantam Books.
Sun, T. (2009). The Art of War. Translated by Lionel Giles. CreateSpace Independent Publishing Platform.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.