ใครอยากรวยทยอยซื้อบิทคอยกันนะ
ยิ่งเราช่วยกันซื้อ ช่วยกัน hold ราคาจะยิ่งสูง
พวกเราจะยิ่งรวย ๆ
Last posted
Total of 1000 posts
ใครอยากรวยทยอยซื้อบิทคอยกันนะ
ยิ่งเราช่วยกันซื้อ ช่วยกัน hold ราคาจะยิ่งสูง
พวกเราจะยิ่งรวย ๆ
"นักลงทุน Bitcoin ไม่ควรเสียเวลาวิเคราะห์อะไรให้มากเกินไป ภายใน 10 ปีข้างหน้าถ้าราคา Bitcoin จะไม่พุ่งไป 1 ล้านเหรียญ มันก็จะร่วงมาจะเหลือแค่ 0 เหรียญ มันไม่มีทางออกอะไรอื่นใดอีกแล้ว
ผมเคยคิดว่าโอกาสที่ Bitcoin จะพุ่งไป 1 ล้านเหรียญนั้นมีเพียงแค่ 1% แต่ถ้าถามผมตอนนี้... ผมคิดว่าโอกาสนั้นสูงได้ขึ้นมาเป็น 5% - 10% แล้ว"
Chamath Palihapitiya นักลงทุนที่ได้ชื่อว่าจะกลายเป็น Warren Buffett คนต่อไปกล่าว
-----------------------------
ถึงแม้ผลตอบแทนในการลงทุนของ Chamath ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นจะไม่ได้ด้อยไปกว่าปู่ Warren Buffett ในสมัยแรกๆเลย แต่แนวทางการลงทุนของเขานั้นต่างกับปู่โดยสิ้นเชิง
Chamath เป็นนักลงทุนที่เชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกอนาคตโดยตลอด นอกจากเขาจะเข้าลงทุนในบริษัท Tesla และ Amazon ในสมัยรุ่นบุกเบิกแล้ว เขายังลงทุนใน Bitcoin มาตลอดอีกด้วย !
ครั้งหนึ่งในช่วง 2013 ทาง Chamath เคยถือ Bitcoin มากที่สุดถึง 5% ของอุปทานในตลาดในเวลานั้น ! ก่อนที่เขาจะทยอยขายมันออกมาบ้าง
โดย Chamath นั้นเคยกล่าวว่าเขาลงทุนใน Bitcoin เพื่อเป็น "Schmuck Insurance" หรือแปลว่าถือมันไว้เป็นประกันในยามฉุกเฉิน เผื่อวันไหนที่รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถควบคุมระบบการเงินของประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นจากการพิมพ์เงินมากเกินไปหรือการสูญเสียพลังในการควบคุมตลาดก็ตาม หากวันนั้นเกิดขึ้นจริงๆ Chamath เชื่อว่าราคา Bitcoin จะดีดไป 1 ล้านเหรียญ (หรือสูงกว่าปัจจุบันอยู่ 20 เท่า) แน่ๆ
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทาง Chamath เคยเชื่อว่าโอกาสที่ระบบการเงินของสหรัฐจะล่มสลายลงไปนั้นมีเพียงแค่ 1% เท่านั้น เขาจึงถือ Bitcoin ไว้เพื่อความอุ่นใจ ไม่ได้ต้องการจะทำกำไรจากมันจริงๆ
แต่ใน Podcast Episode ล่าสุดของ Chamath ตัวเขาเองนั้นยอมรับว่าโอกาสที่ระบบการเงินของสหรัฐจะสูญเสียอำนาจไปนั้น กลับอาจมีสูงถึง 5% - 10% แล้วตอนนี้ !
📌 ในส่วนของนักลงทุนที่พยายามจะวิเคราะห์ทิศทางราคาของ Bitcoin รายวันนั้น ทาง Chamath บอกว่าอย่าทำไปให้เสียเวลาเลย มันเครียดป่าวๆ
ราคา Bitcoin ไม่ว่าคุณจะวิเคราะห์ด้วยวิธีไหนก็ตาม ราคาในอนาคตก็มีทางออกเพียงสองทางเท่านั้น จะไม่ไป 1 ล้านเหรียญก็จะลดมาเหลือ 0 เหรียญเท่านั้น
Chamath แนะนำให้ปันสัดส่วนเงินลงทุนส่วนนึงที่พอใจ และลงทุนใน Bitcoin เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงในระยาวๆไปจะดีกว่าการพยายามนั่งเทรดเข้าออกรายวัน
🤔 ทุกท่านมองกันว่าอย่างไรครับ ? เห็นด้วยกับ Chamath ไหม ?
---------------------------
🔊 ทางเพจจะคอยนำข่าวสารการลงทุนที่ #ทันโลก มาฝากทุกท่านเสมอ
แนะนำให้ทุกท่านเปิดกระดิ่งตั้งค่า #รายการโปรด หรือ #Favourite ไว้บนเพจได้เลยครับ เพื่อจะได้ไม่โดนการปิดกั้นการมองเห็นจากทาง Facebook และอาจพลาดข่าวสารที่สำคัญจากทางเพจไป
🙏 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากกด Like และ Share เพื่อให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 👍😊
ลงทุนจิ๊บๆ นั่งกดเกมNft
ตอนนี้ออกบิ๊กไบค์ได้ล่ะ
พวกหน้าโง่ กูนอนให้ผู้หญิงดูดควยก็มีเงินใช้มหาศาลละ
อยากซื้อคริปโต อยากรวย แต่ขกศึกษา มีอะไรแนะนำกูมั้ยโม่ง
มันเป็น scam อย่าซื้อ
ช่วงนี้มีเกมแนะนำมั้ยเพื่อนๆ
ไอ้พวกโง่ พวกมึงจะฝากออมทรัพย์จนเกษียญหรือไง
แบ่งเงินไปฝาก BTC, ETH แล้วเริ่มรวยได้แล้วไอ้พวกควาย
https://www.blognone.com/node/123549
กะว่าจะซื้อ ETH แต่ กลต ไทย แบน Binance ตัดบัตรเครดิตไม่ได้ โม่งแนะนำเว็บนายหน้าเจ้าอื่นที
สมัครเรียน Trade กับ IM Academy ดีไหม
ค่าเครื่องมือจ่ายครั้งแรก 234.95 USD
รายเดือนอีก 175.95 USD
>>14 https://www.youtube.com/watch?v=_WfQ5I00SNw
ตัวนี้ IM Academy
ทำไม NFT ขายได้แพงจัง
NFT สร้างมาเพื่อให้ศิลปินได้ลืมตาอ้าปากจริงหรือ
-----
สวัสดีครับ บทความในวันนี้อาจจะไม่ค่อยถูกใจศิลปิน และชาว NFT เหมือนหลายบทความที่ผมได้ลงไปก่อนหน้า และผมก็คิดอยู่นานมากกว่าควรจะเขียนดีหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าชาว NFT ควรจะได้รู้ ก่อนจะตัดสินใจจ่ายเงินแพง ๆ เพื่อมาลงงานขาย ว่าเรากำลังตั้งใจทำอะไรอยู่กันแน่ในตลาด NFT
อนึ่ง บทความนี้แตกต่างจากบทความก่อนหน้าที่เป็นเรื่องของความรู้จากข้อเท็จจริงล้วน ๆ แต่ในบทความนี้จะเป็นความเห็นเป็นบางส่วนของผม ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในวงการคริปโต DeFi และ NFT ดังนั้นถ้าจะมีความเห็นขัดแย้งกัน ก็สามารถถกกันได้นะครับ
-----
หลายคนอาจจะเห็นภาพ pixel หรือหินถูกขายไปในราคาหลายสิบ ถึงหลายร้อยล้านในโลกของ NFT และก็รำพึงกับตัวเองว่า โลกของศิลปะนั้นไม่ต้องการเหตุผล
คำกล่าวนี้เป็นจริงหรือ จะดีกว่าไหมถ้าเราหาเหตุผลของมันได้ เพื่อที่จะเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดจากสาเหตุอะไร เพื่ออย่างน้อยเราจะได้ไม่ต้องเดาสุ่ม เวลาขายงานใน NFT
ในโลกความจริง งานศิลปะมากมายถูกใช้ในการฟอกเงิน หรือการเลี่ยงภาษี นี่คือสาเหตุที่ทำไมกล้วยติดเทป หรือภาพเปื้อน ๆ ภาพนึงถึงมีราคาหลายร้อยล้าน
แล้ว NFT ล่ะ ทำไมถึงบางภาพมีราคาแพงสนั่น
ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องรู้ก่อนว่าใครที่ซื้องาน NFT และซื้อไปทำไม
-----
ถ้าเราติดตามทวิตเตอร์มาพักหนึ่ง เราจะสังเกตได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ในโลก NFT นั้นเป็นวาฬขนาดเล็ก ย่อม ถึงใหญ่ยักษ์ ที่เรียกตัวเองว่า collector
วาฬเหล่านี้ คือคนที่อยู่ในวงการคริปโตมานาน และมี asset ในคริปโตจำนวนมาก หลายคนมีหลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น ETH
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เพิ่งมาซื้อ ETH กันปีนี้ เหมือนนักวาดทั้งหลายที่พยายามเจียดเงินจ่ายค่าแก้ส 0.03 เขาเก็บ ETH กันมาตั้งแต่หลายปีที่แล้ว บางคนเก็บตั้งแต่ ปี 2015 ปีที่เริ่มก่อตั้ง Etheruem
หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า ETH ที่ราคาเป็นแสนตอนนี้ เมื่อปีที่แล้ว ราคาอยู่ที่ 3000 - 6000 บาทเท่านั้น (เท่ากับค่าแก้สปีที่แล้วอยู่ที่หลักร้อย) และยิ่งถ้าซื้อตั้งแต่ปี 2015 ราคาของ ETH เคยอยู่ที่ไม่กี่ดอลมาก่อน
วาฬเหล่านี้มี ETH ในมือตั้งแต่ราคาไม่กี่สิบบาทจำนวนมาก และสิ่งเดียวที่วาฬเหล่านี้ต้องการ แน่นอน คือต้องการให้ราคา ETH สูงมากขึ้นไปอีก
-----
ถ้าถามนักธุรกิจว่า ดัชนีไหนคือตัวชี้วัดว่ากิจการใด ๆ เข้าสู่ยุคทอง ผมคิดว่าหลายคนน่าจะตอบเหมือนกัน - เมื่อมีลูกค้าหรือผู้ใช้งานแตะ 1000 ล้าน
แอปเปิ้ล เฟสบุ๊ค amazon ล้วนเคยเป็นบริษัทเล็กมาก่อน แต่เมื่อลูกค้าแตะ 1000 ล้าน สามารถผันตัวกลายเป็นบริษัทมูลค่า ล้านล้าน ดอล ได้ภายในไม่กี่ปี
ตอนนี้ ETH มีผู้ใช้งานแค่ประมาณหนึ่งร้อยล้านเท่านั้น
ยังห่างไกลยุคทองของมันอยู่มาก
ถ้ามีคนใช้งานแค่ร้อยล้าน ETH ยังราคาหน่วยละแสน ถ้ามีคนใช้งานพันล้านเมื่อไหร่ ตอนนั้นจะราคาหน่วยละเท่าไหร่
แล้ววิธีการใดล่ะที่จะทำให้มีคนใช้งาน ETH มากขึ้นในเวลาสั้น ๆ
ดึงมันเข้ามาในวงการต่าง ๆ ไงครับ
ในเมื่อบล็อคเชน และ Smart Contract สามารถประยุกต์เข้ากับอะไรก็ได้ ก็เอามาใช้กับวงการอื่น ๆ ซะเลยสิ
ปีนี้มีเหรียญไอดอล เหรียญพนันบอล และ NFT ศิลปะและเกมเกิดขึ้นจำนวนมาก จนติดกระแสหลัก
และวาฬก็ตามกระแสเหล่านั้น เพื่อเพิ่มจำนวน user เพื่อดันราคาเหรียญให้สูงขึ้นไปอีก
100 ETH สำหรับหน้าใหม่ในวงการ เป็นจำนวนที่ชีวิตนี้ก็อาจจะไม่สามารถหาเงินมาซื้อได้ แต่สำหรับคนที่ซื้อตั้งแต่หลายปีก่อน สละ 100 เพื่อให้อีกหมื่นในมือราคาขึ้นอีก 10 เท่า เป็นอะไรที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ทีนี้พอจะเข้าใจหรือยังครับ ว่าทำไมเหรียญจาก 3000 ดอล ภายในเดือนเดียวถึงขยับมาแตะ 4000
-----
ถามว่า NFT ทำให้ศิลปินลืมตาอ้าปากได้ไหม ได้ครับ หลายคนในนี้น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ดี
งานของหลายคนสามารถขายไปในราคาหลักหมื่น ถึงหลักแสนได้
แต่ผมจะบอกว่า NFT จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของกระแสธุรกิจล้วน ๆ
คนขายได้ ขายไม่ได้ บางทีไม่สามารถวัดกันด้วยฝีมืออย่างเดียว
แล้วคนที่ซื้อเพราะชอบงานจริง ๆ มีไหม มีครับ แต่เป็นส่วนน้อย
ส่วนใหญ่ตอนนี้ เป็นการซื้อเก็งกำไร เพื่อไปวางขายต่อเป็นทอด ๆ
หรือปาเงินทีเดียวตู้มเดียวให้เป็นกระแส หรือสร้างประโยชน์เชิงการโฆษณา และการเพิ่มจำนวน user มากกว่า เหมือน VISA ที่ซื้อ punk ราคาแพง ๆ เพื่อโปรโมทตัวเองว่าซี้กับคริปโตนะ
นี่คือสาเหตุที่ทำไมคนนอกวงการถึงจ่ายค่าแก้สลำบากเหลือเกิน ในขณะที่คนในวงการ หรือคนที่ทำ DeFi อยู่แล้ว ไม่กี่วันก็หามาจ่ายได้สบาย ๆ
และนี่คือสาเหตุที่บางคนถูกกวาดงานทั้งเซ็ตไปในหลักหมื่น แต่งานถูกเอาไปขายต่อหลักล้าน แน่นอนเราอาจจะภูมิใจที่งานขายได้ราคาแพง แต่เอาจริง ๆ แล้วถ้าระบบสร้างมาเพื่อศิลปินจริง เงินส่วนใหญ่ไม่ควรไปเข้ากระเป๋าพ่อค้าคนกลางหมด มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นครับ
-----
แล้วที่ผมเอามาพูดถึง ต้องการอะไร ต้องการดิสเครดิต NFT หรือเปล่า ไม่ใช่ครับ แต่ผมต้องการให้คนที่อยู่ในวงการ NFT หรือกำลังจะเข้า NFT เข้าใจธรรมชาติของมันเสียก่อนจะจ่ายเงินครึ่งหมื่นเพื่อเข้ามา หรือเสียเวลามากมายให้มัน
บางคนหวังว่าจะเป็นทุนตั้งตัวใหม่ เป็นโอกาสที่จะลืมตาอ้าปาก หรือเป็นบ่อทองของเรา
ก็ไม่ได้ห้ามครับ แต่ความจริงอาจจะไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น
รวมถึงกระแส NFT จะอยู่นานแค่ไหน อันนี้ไม่มีใครรู้
อาจจะ 1 ปี 2 ปี 3 ปี หรือแค่สิ้นปีนี้ หลังจากนั้นวาฬก็แห่ไปที่อื่นกันหมด ก็เป็นไปได้
คนในวงการเจ็บเพราะวาฬมาเยอะครับ วาฬเขามองเห็นเราเป็นแหล่งทำเงินให้เขาเท่านั้น
แต่แน่นอนในเมื่อเราห้ามกระแสไม่ได้ เราก็ตามกระแสให้เป็น แล้วเราก็จะได้ส่วนแบ่งที่สมน้ำสมเนื้อ
อย่างสุดท้ายคือ อยากให้กำลังใจนักวาดครับ
อย่าไปน้อยใจเวลาเห็นงานคนอื่นขายได้เป็นล้าน แล้วงานเราขายไม่ได้
เรียนรู้ตลาดไปเรื่อย ๆ และมีความสุขกับงานของเรา
น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ
BTC is a shitcoin
Change my mind
ทำไมช่วงนี้แดงกันเยอะอ่ะ
กดลงจนกราฟแตกแบบนี้เหตุผลเดียวเลยครับ คือ ล้าง Long สะสม ไม่งั้นพวก Exchange เจ๊งกันหมดครับ อย่าลืมว่าเจ้ามือตัวจริงคือ Exchange นี่แหละ เวลามีสัญญาค้างปิดเยอะๆมันจะกดล้างทีเดียว เพื่อรีเซ็ตรอบใหม่ ตลาดไหนที่มีฟิวเจอร์เยอะๆเป็นแบบนี้หมด ยิ่งคริปโตยิ่งง่ายเลยครับ เพราะทุบตัวเดียว ลงได้ทั้งตลาด
เหมือนกันครับ แต่ Leverage เป็นส่วนนึงครับ ที่สำคัญคือมูลค่าสัญญา
ถ้ากราฟหักแบบนี้มีอย่างเดียวนี่แหละ ลองคิดดูนะครับเวลากลับเป็นเทรนขาขึ้นใครมันจะอยากShort จริงไหม? มีแต่คนจะเปิด Long พอไม่มีคนรับซื้อ Short จากคน Long
ทาง Exchange ซึ่งเป็น Maketmaker ก็ต้องมาดูแลสภาพคล่องเรื่อยๆ ไม่งั้นมันก็จะไม่เกิดการซื้อขายเพราะสัญญาไม่มีคู่ กล่าวง่ายๆคือต้องมาซื้อรับซื้อเองนั่นแหละครับ
พอมี Short ในมือเยอะๆ และไม่มีคนปิด Long position ซักที ถือกันอยู่นั่นแหละ เพราะมันยังไมมีท่าทีจะลง แม้Funding rate จะต้องจ่ายเพิ่มแค่ไหนก็ไม่ปิด ฝั่ง Short จึงขาดทุนบานตะไท ทีนี้ทำไง? สัญญา Short ค้างอยู่ในมือ Exchange เต็มไปหมด ก็กดขายใส่ฝั่งซ้ายทีเดียวแรงๆ เลยสิครับ ไม่ว่าอะไรก็ต้านไม่อยู่ คนก็กลัวและขายสมทบไปอีก ภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็นครับ
Ata Shin เดี๋ยวช่วงประมาณ20ธันวามีทุบอีกรอบครับ ถึงตอนนั้นราคา BTC น่าจะอยู่ประมาณ 80K แล้วครับ ถ้าเดือนนี้ลงสุดให้ไล่ซื้อเก็บเหรียญไว้เลย เดือนนี้น่าจะลงอีก(แต่ไม่ถึง 30K แล้วนะ อันนั้นเป็นการร่วมมือร่วมใจทุบลงก่อน Halving) คนจะทะยอยขายลดพอร์ต และต้นๆปีหน้าจะวิ่งชุดใหญ่อีกรอบครับ ถือเป็นต้องขายเป็นด้วยครับ ไม่งั้นรถกลับมาส่งที่เดิมหรือครึ่งทางที่ไปแล้ว เหมือนวันนี้
สิ่งที่ควรรู้เมื่อคุณเข้ามา “เทรด” ในตลาด cryptocurrency
1. การเทรด crypto ใช้หลักการเดียวกับการเทรดหุ้น ดัชนีหุ้น ทองคำ แร่เงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และ forex หลักการที่ว่า คือ เทคนิคอล หรือการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีกราฟที่ถอดแบบจากราคาของสินค้าเป็นฐานให้เราวิเคราะห์เพื่อเข้าซื้อขาย ใครที่ผ่านสมรภูมิตลาดเก่ามาแล้ว จะมีความอดทนในสมรภูมิตลาดใหม่อย่างเห็นได้ชัด
2. ต้องแยกให้ออกระหว่างนักลงทุนสายเน้นคุณค่า (VI) กับ เทรดเดอร์ (trader) โดยที่นักลงทุนเน้นคุณค่าจะมองสินค้าเป็นสินทรัพย์ถือระยาว 5-10 ปี หรือมากกว่านั้น ยึดโยงกับวิชาบัญชีการเงิน การเข้าซื้อสินทรัพย์จะเลือกสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่าคุณค่าที่แท้จริงของมัน กินดอกเบี้ย เงินปันผล (crypto มี saving , staking) ส่วนเทรดเดอร์เรียกอีกอย่างว่านักเก็งกำไร คือ เน้นทำกำไรส่วนต่างของสินค้า เก็บกำไรระยะสั้นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน กระทั่งรายวินาที
3. ต้องแยก “การพนัน” ให้ออกจาก “การลงทุน” และ “การเก็งกำไร” กล่าวคือ การพนันนั้นขึ้นอยู่กับความโลภ ตัณหา อุปาทาน ความอยาก ความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ ขณะที่การลงทุนและการเก็งกำไรเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมได้ บริหารจัดการเงินทุน ทรัพยากรได้ มีสัดส่วนทางคณิตศาสตร์รองรับการขึ้นลงของราคาสินค้า ต้องบริหารความโลภ อารมณ์ หรือถ้าจะให้กล่าวแบบพุทธศาสนา ต้องควบคุมผัสสะเพื่อไม่ให้เกิดตัณหาให้ได้ จึงจะกำหนดความเป็นไปของเงินในกระเป๋าได้ ตรงข้ามกับการพนันที่เล่นเท่าไหร่ก็หมดตัว
4. อย่าเชื่อการวิเคราะห์ราคาสินค้าของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ และคนอื่น จนกว่าจะวิเคราะห์ ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง (ในทางพุทธศาสนาคือกาลามสูตร 10-โยนิโสมนสิการ การพิจารณาอย่างแยบคาย) ให้ฟังแนวคำอธิบายการวิเคราะห์เหล่านั้นเพื่อมาปรับกับการที่เราจะเอาไปวิเคราะห์ ไปพูดกับสากลโลกให้รู้เรื่อง
นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆเสมอ วันใดที่เรารู้สึกยินดีพอใจกับระบบที่เราเทรด จิตของเราจะปิดกั้นการเรียนรู้ ไม่เปิดรับ เมื่อไม่เปิดรับ ผู้เล่นในตลาดก็จะหาทางเอากำไร เอาเงินต้นจากเราไปจนหมด
เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเราจะเข้าใจ ที่เราคิดว่าตลาดยากนั่นเป็นเพราะเราไม่มีวินัยการเทรด ตลาดง่ายเพราะเรายังไม่มีประสบการณ์มากพอ
5. อย่าเข้าใจผิดระหว่าง “วิเคราะห์” กับ “ทำนาย” วิเคราะห์คือการแยกแยะ จำแนกแตกประเด็น ตั้งสมมุติฐานที่หลากหลาย ส่วนทำนายคือการฟันธงกับเรื่องซึ่งไม่มีความแน่นอน แปรปรวน เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นอนิจจัง คนส่วนใหญ่ในตลาดมักทำนายตลาดมากกว่าการวิเคราะห์ นิสัยที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งที่ติดมากับการชอบทำนายตลาด คือ “ความประมาท” ไม่มีแผนรองรับว่าถ้าหากราคาทะลุแนวนี้จะทำอย่างไรต่อไปต่อเงินทุนและสถานะซื้อขายที่เปิดอยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่า “ปมาโท มัจจุโน ปทัง” ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย หลายต่อหลายคนล้างพอร์ท ขายรถ ขายบ้าน มาเยอะแล้ว
6. แยก “เทคนิคอล” ให้ออกจาก “ทำนาย” ไม่มีเทคนิคอล เครื่องมือซื้อขายใดที่สมบูรณ์แบบ เป๊ะ แม้แต่ทฤษฎี Elliott wave ซึ่งนักลงทุน เทรดเดอร์ ถือกันว่าเป็นยอดวิชาเทคนิคอลก็ยังไม่เป๊ะ เมื่อเจอกับตลาดหนึ่งกลับเป็นไปตามทฤษฎี แต่เมื่อไปเจออีกตลาดกลับไม่เป็นไปตามนั้นโดยอาจคลาดเคลื่อนเล็กน้อย เป็นต้น (Elliott wave อาจแตกต่างโดดเด่นกับเทคนิคอลอื่นตรงที่มีสภาพบังคับให้ผู้ใช้ทฤษฎีตั้งสมมุติฐานต่างๆอยู่เสมอ)
“เทคนิคอลเป็นแต่เพียงตัวช่วยในการเข้าซื้อขายเท่านั้น ให้มีหลักว่าเข้าซื้อตรงไหน จะออกจุดใด ไม่ใช่เครื่องทำนายหยั่งรู้อนาคต)
7. อย่าเพิ่งตั้งต้นด้วยคำถามว่า “เราจะทำอย่างไรจึงจะมีกำไรมาก” แต่ให้ตั้งคำถามว่า “เราจะทำอย่างไรจึงจะเอาตัวรอดจากตลาดได้” เมื่อเอาตัวรอดได้แล้ว กำไรจะตามมา และสำคัญกว่าการได้กำไรครั้งละมากๆ คือ การได้กำไรสม่ำเสมอ
8. วินัย คือ ระเบียบ และระเบียบคือความสม่ำเสมอซึ่งมีลักษณะถูกจัดวางไว้เป็นแนวเดียวกัน วินัยนี้มีประโยชน์มากในฐานะที่เป็นเครื่องให้เรามีความสะดวก ลดอุปสรรค เช่น การจัดชั้นหนังสือให้เป็นระเบียบ จะทำให้เราง่ายต่อการค้นหา หยิบจับ ,การตรงต่อเวลาจะทำให้คู่นัดทำหน้าที่ของตนไ้ด้ตามแผนที่วางไว้ ไม่ผิดแผนกับคนอื่นเป็นทอดๆ
วินัยการเทรด คือ ความสม่ำเสมอในการเทรด เราเทรดด้วยเทคนิคอะไร ระบบใด ก็ขอให้ยึดเทคนิคนั้น ระบบนั้น เช่น ถึงจุด stoploss ก็ต้อง stoploss ไม่มีข้อยกเว้น เป็นต้น นั่นเป็นเพราะว่า จะทำให้เราวัดผลได้ว่า เทคนิคมีจุดเด่น จุดด้อยอะไร จะรักษาเงินต้นไว้ได้หรือไม่ กำไรมากน้อยเพียงใด ถ้ารู้แล้ว เราจึงค่อยเลือกเปลี่ยนวิธี ปรับปรุง หรือยึดระบบเดิมไปเลย
9. การมีวินัยในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นนอนตรงเวลา นัดคนตรงเวลา ทำอะไรเป็นกิจจะลักษณะสม่ำเสมอ จะส่งผลให้เรามีวินัยการเทรดมากขึ้น
10. เราไม่จำเป็นต้องเทรดตลอดเวลา เพ่งกราฟ แอบดูกราฟบ่อยๆหรือตลอดเวลา เพราะนั่นหมายถึงเรามีความกลัว ความกังวล ความทุกข์ ความไม่มั่นใจในระบบของตนเอง วางระบบแล้วก็ปล่อยให้มันทำงานไป แล้วค่อยวัดผล สังเกตเรื่อยๆ เราจะเป็นผู้สังเกต ไม่ใช่ผู้ถูกสังเกตหรือยึดติด การทำตัวเครียดจะทำให้มองตลาดไม่ทะลุปรุโปร่ง ไม่รอบด้าน ไม่ผ่อนคลาย
11. ทุกวันช่วงที่ตลาดออสเตรเลีย เอเชีย ยุโรป อเมริกา เปิด-ปิด ช่วง 30 นาทีแรก-สุดท้าย พยายามอย่าเข้าเทรด เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาที่ตลาดชุลมุน แย่งซื้อขายของกัน มีความผันผวนของราคามาก โอกาสผิดพลาดในการเข้าซื้อขายมีสูง รอให้ตลาดนิ่งผ่าน 30 นาทีแรก-สุดท้ายในช่วงตลาดเปิด-ปิดก่อน จึงค่อยพิจารณาเข้าซื้อขาย (จริงๆ crypto เปิด 24 ชั่วโมง จะเป็นช่วงเวลาดังกล่าว (ล้อกับตลาดหุ้น) ที่ผันผวน)
12. เราเข้ามาในตลาดกำลังเล่นกับใคร สู้กับอะไร อย่าลืมว่าเราไม่ได้เอาเงินมาจากสิ่งเลื่อนลอย มันเป็นทุนนิยมที่ว่ามีผู้ได้ ผู้เสียประโยชน์ ผลกำไรของอีกคนจะเป็นผลขาดทุนของอีกคนเสมอ ฉะนั้น อย่าประมาทและหมั่
⚠️[BREAKING]⚠️ ราคา Bitcoin เริ่มร่วงลงอีกครั้งแล้วบ่ายนี้ ! ช่วงบ่ายวันนี้ Bitcoin ยังโดนเทขาย -15% กลับลงมาเกือบหลุด 44,000 เหรียญแล้ว หลังจากเพิ่งฟื้นตัวจากการเทขายเมื่อคืนไปไม่นาน
ราคา Bitcoin ร่วงจากระดับ 52,888 เหรียญเมื่อวานตอนเย็น (ระดับสูงที่สุดในรอบ 4 เดือน) ร่วงลงมาจนแตะระดับ 43,000 เหรียญเมื่อคืนนี้ (จากข่าวที่เอลซัลวาดอร์ได้เผชิญกับปัญหาความผิดพลาดทางเทคนิคในการเปิดใช้งานสกุลเงินดิจิทัลอย่างถูกต้องตามกฎหมายเล็กน้อยในวันแรก) ก่อนที่ราคาจะค่อยๆฟื้นตัวกลับไปที่ระดับ 47,000 เหรียญตลอดช่วงเช้าวันนี้
อย่างไรก็ตามตอนนี้ตลาดก็เริ่มโดนเทขายลงมาอีกครั้ง และราคา Bitcoin ก็ร่วงลงมาเหลือ 44,000 เหรียญอีกครั้งแล้ว ตอนนี้เรายังไม่เห็นข่าวอะไรออกมาในตลาดที่จะกดดันราคา Bitcoin ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ #แต่แนะนำให้นักลงทุนทุกท่าน เปิดกระดิ่งตั้งค่า #รายการโปรด หรือ #Favourite ไว้บนเพจได้เลยครับ (เพื่อจะได้ไม่โดนการปิดกั้นการมองเห็นจากทาง Facebook) แล้วทางเราจะมารายงานให้อย่างรวดเร็วแน่นอน
📊 ราคาคริปโตในตลาดในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- Bitcoin -14.5%
- Ethereum -16.2%
- XRP -24%
- ADA -17%
- Dogecoin -20%
- Solana -19%
🙏 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากกด Like และ Share เพื่อให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 👍😊
#ทันโลกกับTraderKP
TG wardenlism-talk error,price everything freedom
https://t.me/joinchat/P-GMbqyNSEtlOTNl
ฝากกลุ่มแลกเปลี่ยนพูดคุยครับ กลุ่มดีมีคุณภาพ อารมณ์ดี อิอิ
………………
คำถามที่พบบ่อยๆ
1.ถามว่าโปรเจค wad ดีไหม
-ดีครับ dev ทำงานทำในสิ่งที่ควรทำกับโปรดักคือ best rate
2.ถามว่าทำไมต้องด่า wad
-พอดีซื้อแพง ขายถูก(-90%++)อันนี้โง่เอง เรื่องการเข้าซื้อที่ยอดดอย และเจ็บแค้นที่คอมมูมีแต่กาว และไม่ค่อยฟังเหตุผลอื่นนอกจากเหตุผลสนับสนุนให้ wad ราคาไป go to the moon (ถ้าผมมองก็มองห้องนั้นเป็น fomo ครับ)
-การด่าอาจจะทำให้คนบางคนตกใจและขายของออกมาทำให้ราคาลงมา และทำรอบขายเอากำไรครับ(แล้วแต่คน)
3.ความท้าทายในการถือ wad
-ลุ้นเป็น best rate จริงๆ เวลาใช้งาน(รวม gas แล้วด้วยนะ)
-ลุ้นการตลาดว่าคนจะรู้จักและนิยมใช้กันไหม
-ลุ้นว่าจะไปดิวหลังบ้านให้กับโปรเจคไหนได้บ้าง
-รายได้จะโตอย่างคาดไหม ถ้าไม่ก็โดนลงโทษเท่านั้นเอง
4.สิ่งที่น่าน้อยใจ
-dev ทำงานแบบไทยๆครับ วิสัยทัศน์อาจดีแต่การทำมาเก็ตติ้งต้องพัฒนาอยู่ สังเกตยอดที่เทรดกันซื้อเก็บก็ไทยทั้งนั้น ต่างชาติน้อย >>> แล้วทำไมโปรเจคดีขนาดนี้ต่างชาติไม่เข้ามาซื้อละ? ลองคิดดูครับ
-ความไม่หนักแน่นของแผนงานและการติดต่อสื่อสารกับคอมมูโดยตรง ในกรณีปรับแผน devก็ไม่ต้องออกมาเองก็ได้ให้ pr ตัวแทน บ.มาพูดก็ได้แบบรอประกาศทางการงี้ …คนที่ให้ข้อมูลส่วนใหญ่ในคอมมูมันก็จินตนาการกันไปเอง ทั้งที่ออฟฟิตเชียวก็รับรู้เท่ากัน บางประเด็น dev แทบจะยังไม่พูดด้วยซ้ำ
5. $wad ยังมีความเสี่ยงที่สูงมากเพราะอำนาจอยู่ที่ dev ครับ และการถือ wad ก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยกับผู้ถือในตอนนี้ … ในอนาคตก็คงต้องรอทาง dev บอกอีกทีอะไรที่ยังไม่ฟันธงก็อย่าจินตนาการเกินไปมันจะเจ็บเปล่าๆ Dev ชอบปรับเอง เออเองอยู่ด้วย มีอะไรหลายอย่างที่ wad ต้องพิสูจตัวเองนะ แล้ว dev ก็ต้องพิสูจตัวเองด้วย คุณคิดหรือถ้า dev ดังเก่งจริงๆ โปรเจคดีจริงๆ ป่านี้ราคาไปไกลแล้วครับไม่ถึงเราหรอก อีกอย่างลองเปรียบเทียบกับโปรเจคที่เกิดใหม่เหมือนกันดูครับ ลองเปิดมุมมองดู tenfi babyswap … ที่จริง อัลปาก้าก็ของคนไทยนะ ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จ ทรงมาแบบไหน แล้วมาเทียบ wad ดูครับ ลองตั้งคำถามเล่นๆดู
6.ผมอาจจะมองผิดก็ได้เพราะ wad ยังเป็น startup อยู่แต่อย่างลืมว่าแบรนมันไม่ได้แข็งนะ คุณคิดว่า ถ้า 1inch มาแย่งตลาดเขาจะทำไม่ได้รึ?? ชื่อชั้นห่างกันเยอะ
……………..
ยังไงทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดผมนะ อย่าลืม MM กันด้วยนะครับ
อุ๊ย!!!
เกมเปิดใหม่ช่วงนี้มีตัวไหนน่าเข้าบ้างคับพี่ๆ
"Not your fiat, not your value"
ไม่น่าจะเข้าใจยาก
คนที่ซื้อ บิทคอย เขาซื้อเพื่ออะไร เพราะความโลภ และเก็งกำไร เมื่อมูลค่าของ บิทคอย แปรปรวน ตามการเก็งกำไรของตลาด แบบนี้ ก็หมายความว่า บิทคอย ไม่ใช่ สิ่งที่เหมาะจะมาใช้แทนเงิน แลกเปลี่ยนสินค้า ดังนั้น บิทคอย ก็ล้มเหลว ไม่ตอบโจทย์ ในประเด็นนี้
เมื่อมอง ย้อนกลับมา เรื่อง การซื้อขาย บิทคอย เพื่อ เก็งกำไร ถามว่า ตัวบิทคอยเอง สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างผลิตผล อะไรที่ออกมาเป็นประโยชน์ ทำให้กิจการเติบโต ขยายผลผลิต ทำให้สังคม การบริการ หรือสิ่งของที่นำมาเป็นประโยชน์ ได้บ้าง?
อย่างในกรณีทอง แม้ทอง จะแพงขึ้นอย่างไร ก็ยังต้องมีคนซื้อทอง เพื่อนำมาประดิษย์ เป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์
การซื้อหุ้นบริษัท เขาก็เอาไปลงทุน ขยายกิจการ เพิ่มผลผลิต สร้างงาน สร้างกำไร เพิ่ม ถามว่า การลงทุนบิทคอย มันสร้างอะไร ให้โลก
บิทคอย ไม่ตอบโจทย์ ตรงนี้ ซึ่งหมายความว่า บิทคอย มีอยู่ และยังดำรงอยู่ เพราะยังมีพวกแมลงเม่า หลงเข้าไปซื้อ เมื่อถึงจุดหนึ่ง มันก็จะพังลงมาทั้งกอง
เมื่อการลงทุนในบิทคอย ไม่ได้สร้างผลิตผลออกมา หากมองว่า การเข้าซื้อบิทคอย เป็นการบริการ บันเทิง ให้คนลุ้น เหมือนเล่นพนัน หรือซื้อบริการบันเทิง ดังนั้นมัน ก็จะหมดค่าในตัวของมันเอง เมื่อกาลเวลาผ่านไป เมื่อคนเลิกนิยม ไม่มีแมลงเม่า ตัวใหม่บินเข้าไปเป็นเหยื่อ เป็นฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดำรงอยู่ในระยะยาว ของบิทคอย ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐ ประเทศใหญ่ๆ ที่เป็นมหาอำนาจ ไม่มีทางที่ยอม เสียเอกราชทางการเงิน ให้กับบิทคอย ดังนั้นเมื่อ มาถึงจุดที่ บิทคอย เป็นภัยต่อระบบการเงินของประเทศ บิทคอย ก็จะถูกกำจัดออกไป ไม่ต่างจากการที่รัฐ ควบคุม ไม่ให้มี แบงค์เถื่อนออกมาใช้ในระบบ
เกิดไรขึ้นในตลาดสินทรัพย์วะ ราคาลงทุกตัว ทอง น้ำมัน หุ้น เหรียญ พันธบัตร เหมือนกำลังโดนเทขาย ดอลล่ห์แข็งโป๊ก
Bitcoin is 'disgusting and contrary to the interests of civilization'
พี่หมีตื่นมา
เหมือนกำลังอยู่ในภาวะบรรลุสัจธรรมหลังน้ำแตก
ก็เลยมีมาพิมพ์เล่าเรื่องในห้วงเวลานี้ครับ
.
หัวข้อในวันนี้ เกี่ยวกับการลงทุนครับ
พูดโดยภาพรวม แบบอคติ แบบ คหสต ของพี่หมี
ถึงพวก กรนลท (กระหรี่นักลงทุน)
.
พี่หมีไปค้างกับ กรนลท หลายคนแล้วนะครับ
รวมถึงเคยวอร์พวกนี้มาหลายสมัย
จนปัจจุบัน เลิกแล้วค่ะ หนูเลิกวอร์แล้วค่ะ
.
ขอสรุปเป็นข้อๆ เพื่อให้ง่ายต่อการพิมพ์
กูพิมพ์สดๆนะไอ้สัส
.
1. หลายครั้ง พี่หมีไปค้างกับ กรนลท
พี่หมีก็เลยทดสอบง่ายๆ ด้วยคำว่า
demand supply ไอ้สัส แม่งก็ไม่รู้ความหมาย
ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ถถถถ
.
2. กำไร ที่เราได้มาจากอะไรสักอย่าง
มันจะต้องมีที่มาจาก คุณค่าอะไรสักอย่าง
สำหรับใครบางคน
แต่ว่า กำไร % มหาศาลที่ กรนลท บอก
พี่หมีถามหาที่มา แม่งก็ตอบวนไปวนมา
ตอบไม่ได้ เหมือนกับพวกแชร์ลูกโซ่
หรือ พวกโค้ชโง่ๆ อีกหลายคน ถถถ
.
3. พี่หมีออกตัวก่อนเลยว่า
พี่หมีอาจจะคิดผิดก็ได้
แต่ทีนี้ มันมีพวกขุด bitcoin
ไปซื้อการ์ดจอมา ทำเหมือง
การทำแบบนี้ ไม่ได้อยู่ในแนวคิดของพี่หมีเลยครับ
เพราะว่า การขุด bitcoin แบบนี้
มันสร้างคุณค่าให้อะไร ให้ใคร
เพื่ออะไร มันดูไร้ค่ามากๆ
ไม่สามารถต่อยอดได้ด้วย
เสียเวลาสัสๆ
.
4. พี่หมี ตอนนี้ เข้าสู่ภาวะงานฟาร์มเงินรัวๆๆๆ
จนเข้าใจแก่นแท้ในเรื่องการหาเงินไปทุกที
เราจะต้องสร้างคุณประโยชน์อะไรให้กับ
กลุ่มคน กลุ่มนึง ที่เต็มใจจะจ่ายกับราคานี้
ที่เราทำต้นทุนได้ให้เราพอมีกำไร
มันมีรากฐาน มี knowledge มีเน็นแฝงอยู่ข้างใน
คือ เราจะต้องสร้าง value ขึ้นมาจริงๆ
มันถึงจะยั่งยืน และต่อยอดได้
.
5. ส่วนไอ้พวก กรนลท และ แม่ข่ายของ กรนลท
พวกมันสร้างคุณค่าอะไรหรือเปล่า ก็ไม่
มันก็เลยนัดกันสร้างภาพ เหมือนสมัยแชร์ลูกโซ่
จะต้องใช้ชีวิตไฮโซ ทำชีวิตให้ดูฉลาด
ไปหลอกคนโง่ๆเลเวล 1 อีกที
.
6. พี่หมี แม่ง bias สัสๆ กับเรื่องนี้
กูสงสัยมาก ไอ้พวกโค้ชพวกนี้
ที่มันทำมาเป็นอ่านหนังสือ
โพสคำคมโง่ๆ อ่านหนังสือโง่ๆ
มึงก็แค่ลงทุนโง่ๆ ในอะไรโง่ๆ
เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว
ไอ้สัส พวกนี้ ทำแปบเดียว
แล้วก็หายหัวกันหมด ถถถถถถถ
.
7. พี่หมีเลยอยากจะสอนมวยพวกมึง
ใครที่ต้องการจะฟาร์มเงินแบบแท้ทรู
ต้องการสร้างรากฐานทางการเงิน
อย่าไปยุ่งกับไอ้เหี้ยพวกนี้เลย
เสียเวลาสัสๆ ยกเว้นว่า จะไปกระแทกพวกมัน
ตอนที่พวกมันตกอับ ถถถถถ
.
8. แนวคิดพวกนี้ มันจะแบบ ไม่อยากทำงาน
ไอ้สัส ไม่เหมือนพี่หมีเลย พี่หมีอยากทำงาน
กูอยากทำงานไปจนแก่ ไม่อยากหยุดงานเลย
การทำงานของกู แม่งสนุกมากๆ
เหมือนเล่นเกมส์เลย กูไม่อยากเลิก
กูทำงานแล้วได้เงินด้วย คนรอบๆตัวกูก็ได้เงิน
ลูกค้า คู่ค้า ก็มีความสุข
ระบบนิเวศน์ขององค์กรพี่หมี ก็มีความสุข
เราเติบโตไปเรื่อยๆ ไม่เหมือนไอ้พวก กรนลท
.
9. กูไม่อยากจะโม้เลย ในบรรดาเพื่อนๆ
ช่วง covid แม่งเงิบกันหมดไอ้สัส
แต่ของพี่หมีแม่งเอ้ย เป็นปีที่เติบโตเยอะสุด
ปีที่แล้วกูตั้ง kpi ไว้ขำๆ ไอ้สัส ทำได้ด้วย
ก็คิดว่าเยอะแล้วนะไอ้ห่า
ปีนี้ แม่งเยอะกว่าปีที่แล้วอีก โหดสัส
สวรรค์ของพี่หมีชัดๆ ได้เงินเยอะๆ
แถมมีพวกตกอับเยอะ ได้ลองอาชีพใหม่ๆ
แต่อย่างว่า พอทั้งระบบมันตกต่ำ
มันเลยก่ออาชีพพวกกลุ่ม กรนลท เสมอ
เป็นมาทุกยุค ทุกสมัย มันแค่เปลี่ยนรูปแบบ
.
10. พี่หมีแม่ง ไม่ค่อยได้มาทำเพจแล้ว
เพราะว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่สนุกกับการทำงาน
สนุกกับการฟาร์มเงิน สนุกกับการใช้ชีวิต
กับการกระแทกอาชีพใหม่ๆ
เพราะถ้าสถานการณ์ปกติ พี่หมีน่าจะไม่ได้กระแทก
มันเหมือนกับว่า ไปออกเดทแบบคืนเดียว
กับดอกไม้ที่เพิ่งเบ่งบาน
ดอกไม้แต่ละดอก กว่าจะออกมาเป็นแบบนี้่
มนุษย์กว่าจะเกิดมา 1 คน ใช้ต้นทุนไปเท่าไหร่
กว่าจะออกมาให้น่าผสมพันธุ์แบบนี้
อายุที่เหมาะสม คือ ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี
แต่ต้องมาโดนสัตว์เพศผู้แบบพี่หมี ผสมพันธุ์
แลกกับตัวเลขดิจิตอลในมือถือ
ที่ไม่ได้มีผลห่าอะไรเลยกับพี่หมี
แค่เศษเสี้ยวของเงิน แต่พี่หมีได้เข้าไปถึงส่วนลึกของร่างกาย
ไม่ต้องเสียเวลาไปจีบ ไม่ต้องเสียเวลาศึกษา
ไม่ต้องเสียเวลาไปคุย ไม่ต้องเสียเวลาพาไปกินข้าว
.
ขอบคุณโลกนี้ ที่ให้พี่หมีเกิดมา
พี่หมีคิดว่า ถ้าสมัยอดีต คนที่จะทำแบบนี้ได้
คงมีแต่ราชา ของอาณาจักรต่างๆ
แต่ด้วยโลกทุกวันนี้ เราสามารถเป็นราชาได้
เราคัดเลือกคนจะมาผสมพันธุ์ได้รัวๆๆๆ
แล้วไม่ต้องมีพันธะใดๆด้วย
พี่หมีเหมือนเป็นราชาเลย ในช่วงเวลานี้
ขอบคุณจริงๆ ที่ได้เกิดมา
ขอบคุณที่พี่หมี วิ่งแซงชนะตัวอื่นๆ
มาปฏิสนธิก่อนใคร จนเกิดมาจนถึงทุกวันนี้
จนถึงตอนนี้ ที่พี่หมีนั่งพิมพ์อยู่
พี่หมีซาบซึ้งในคุณค่าของการมีชีวิตมากๆครับ
Axie Infinity สร้างรายได้ หรือ หลอกลวง
มีหลายคน ถามอนันต์เสมอๆ ว่า..
• ทำไมถึงเล่นเกม อย่าง Axie?
• มันทำเงินได้จริงเหรอ?
• แชร์ลูกโซ่ไหม?
• หลอกลวงหรือเปล่า?"
อนันต์ก็เลยอยากจะเขียนบทความนี้ขึ้น เพื่อเพิ่มความเข้าใจให้คนทั่วไปได้เข้าใจ Axie มากขึ้น!
** ขออนุญาต ออกตัวก่อนว่า แม้จะพอเข้าใจด้านเศษฐศาสตร์ แต่ไม่ใช่นักวิชาการ และ แม้จะเข้าใจระบบ Blockchain แต่ก็ไม่ใช่ Engineer ดังนั้น หากเข้าใจอะไรผิดไป อนันต์ขออภัยไว้ ณ ที่นี้เลยครับผม **
เท้าความก่อนเลยครับ เกี่ยวกับการสร้างผลตอบแทนจากการเล่นเกม ไม่ได้พึ่งเกิดขึ้นในเดือนสองเดือนที่ผ่านมา
แต่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยมีเกมออนไลน์ยุคแรกๆ เช่น เกมในตำนานอย่าง Ragnarok ที่สามารถซื้อขายไอเทมหายากที่หาได้จากการเล่นเกมไปในราคาหลายล้านบาท
หรือแม้แต่คุณต๊อบ เถ้าแก่น้อย ก็ยังเคยเล่าเกี่ยวชีวิตวัยเด็ก ที่สามารถหาสร้างผลกำไรมากมายจากการเล่นเกม
แล้วทำไมกระแสการเล่นเกม หรือที่เรียกกันว่า "Play to earn" ถึงบูมมากในขณะนี้!
อนันต์คิดว่ามันมาจากหลายปัจจัยด้วยกันครับ
• การมาถึงของ Technology Blockchain
ทำให้ทรัพย์สินในเกมมีความโปร่งใสมากขึ้น เพราะ ในสมัยก่อนหากเราเป็นเจ้าของบริษัทเกม หรือแค่ทำงานในนั้น เราจะแอบสร้าง "ไอเทมหายาก" ขึ้นมาขายก็ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้
แต่กับเกมที่ถูกออกแบบบน Blockchain นั้น สามารถตรวจสอบได้ด้วยใครก็ได้บนโลก เพราะ Data บน Blockchain นั้นเปิดเผย และสามารถเข้าตรวจสอบได้ตลอดเวลา "เสมือนวางอยู่ในอากาศ"
• ทรัพย์สินที่เป็นของเราจริงๆ
ข้อดีของระบบ Blockchain คือ ทรัพย์สินที่หาได้จากในเกม หรือ Data ที่ทำการซื้อขายกัน จะเป็นทรัพย์สินของผู้ถือครองอย่างแท้จริง
ไม่มีใครมายึด หรือ ทำลายทิ้งได้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผิดกับเกมสมัยก่อน ที่เจ้าของเกม มีสิทธิทำทุกอย่างกับทรัพย์สินที่เราหาได้ในเกม
• ผลกระทบของ Covid-19 ทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไป
วิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้คนจากผลกระทบของ Covid-19 ทำให้คนไม่ได้ออกจากบ้านได้ และการเล่นเกมที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ ดูจะเป็นสิ่งที่น่าเย้ายวนใจเป็นอย่างมาก
ที่ประเทศ "ฟิลิปปินส์" ถึงกับต้องทำข่าวเพื่ออธิบายเกี่ยวกับตัวเกมกันเลย เพราะ ชาวฟิลิปปินส์หลายพันคน สามารถมีชีวิตรอดพ้นจากผลกระทบของ Covid-19 ได้ ก็จากการเล่นเกม
ถึงตรงนี้ ทุกคนน่าจะพอเข้าใจถึงกระแสการสร้างรายได้จากเกมกันบ้างพอสมควรแล้วนะครับ ว่าทำไมผู้คนถึงเข้ามาในวงการนี้อย่างไม่ขาดสาย
ต่อไปที่เหลือคงจะเป็นคำถามที่ว่า...
"ใครเป็นคนจ่ายเงินให้กับคนที่มาเล่นเกม"
"แชร์ลูกโซ่" คงเป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถอธิบายห่วงโซ่ในขณะนี้ได้ดีที่สุด
เนื่องจากทุกคนที่เข้ามาเล่นเกม คาดหวังผลกำไรจากการเล่นเกม ทำให้เกิด Demand ที่สูงมาก แต่ในเมื่อ Supply ที่มีจำกัด (กำลังที่ผู้เล่นเก่าจะหาทรัพย์สินในเกมมาขายได้) จึงทำให้ราคากระโดดขึ้นสูงตามกฏของ "Demand & Supply"
• Demand แปลว่าความต้องการซื้อ
• Supply แปลว่าความต้องการขาย
ดังนั้นคำตอบของสมการคือ ผู้เล่นใหม่ จ่ายเงินให้ผู้เล่นเก่า ซึ่งเห็นแบบนี้แล้ว หลายคนอาจจะส่ายหัว และมองว่านี่มันกลโกงชัดๆ
แต่อนันต์ขอบอกความแตกต่างของแชร์ลูกโซ่ที่สร้างมาเพื่อโกง กับ สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มันแตกต่างกันตรงที่..
แชร์ลูกโซ่ถูกออกแบบมาให้มีผู้รับผลประโยชน์เป็นคนเพียงกลุ่มเดียวที่รวมหัวกันสร้างเรื่องตรงนี้ขึ้นมา
แต่ระบบเศษฐศาสตร์ที่ถูกออกแบบไว้ในเกมนั้น แตกต่างออกไปมาก
อนันต์อยากให้ลองจิตนาการทรัพย์สินในเกมเป็น กระเป๋าแบรนเนมสักชิ้นนึง มันเป็นสิ่งที่มีมูลค่าทางจิตใจต่อบุคคลบางคนมาก
และการที่ผู้เล่นสามารถสร้างทรัพย์สินในเกมได้ ก็เปรียบเสมือนตัวเกมนั้นเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถสร้างกระเป๋าแบรนเนม เพื่อขายออกสู่ตลาดได้ด้วยตัวเอง
ดังนั้นหากวันใดวันนึง คนเลิกชอบกระเป๋าแบรนเนมอันนี้ ก็จะทำให้บริษัทผลิตกระเป๋าเจ๊งได้ การสร้างรายได้จากการเล่นเกมก็ย่อมสามารถมีจุดสิ้นสุดได้เช่นเดียวกัน
นั่นเป็นเพียงหนึ่งเหตุผลว่าทำไมเข้ามาคนสุดท้าย ตัวเกมก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้อยู่ดี เพราะมันจะมีกลุ่มคนอยู่กลุ่มนึงที่ยังมีความผูกพันธ์กับสิ่งๆนั้น แม้จะเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ก็ตาม
แต่สิ่งที่น่ากลัวของกระแสตอนนี้คือ "ฟองสบู่" เพราะ กระแส Play to earn นั้น เป็นกระแสที่แรงมากๆในช่วงระยะเวลานี้
จึงทำให้ราคาดีดตัวขึ้นสูงกว่าที่มันควรจะเป็น อนันต์ขอเปรียบเทียบกับ วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ ในช่วงปี 2550 ที่ทุกคนกำลังนำเงินมาลงทุนกับ ทรัพย์สินที่ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น แต่ดันลงทุนเพราะความเชื่อว่า มันจะต้องไปได้อีก (จริงๆ วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ มีกลไกลที่ต้องอธิบายละเอียดกว่านี้ แต่อนันต์ขอยกเป็นตัวอย่างคร่าวๆ)
ดังนั้น อนันต์ขอให้พี่ลูกเพจทุกท่าน ลงทุนแต่พอดี ลงทุนเท่าที่เสียได้ อย่ามองแต่อนาคตที่มีกำไร ขอให้มองถึงความเป็นไปได้ที่จะเสียเงินตรงนั้น "ทั้งหมด"
หากลองคำนวนแล้ว เงินที่หายไปไม่กระทบกับชีวิตประจำวันของตัวเอง อนันต์ก็อยากให้ลองดู เพราะ มันก็เป็นการลงทุนในมิติใหม่ ถือซะว่า ซื้อ ลอตเตอรี่ แล้วกันนะครับ
รู้งี้แล้ว อย่าหาว่า อนันต์ไม่เตือน ไม่ได้นะะะะ!!
⚠️คำเตือน⚠️
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
Not financial Advise!
To The Moon! 🚀🌕
#ArnanGamer
#axieinfinity
#blockchain
จะลงเรื่องคริปโตอะไรก็ได้นะโม่ง เลาอ่านอยู่
เหรียญไทยคือขยะอย่าไปเล่น
ตำรวจที่รวยจาก Bitcoin จริง ๆ แล้วคือฟอกเงิน
ระหว่าง bitkub / zipmax / binance จะเทรดบนไหนดี แนะนำหน่อย
พอดีตั้งใจจะลองถือยาว แบบ dca สะสม สัก 1-2 ปี เลยลังเล
>>57 ไม่ต้องสนใจว่าตัวเองเชื่อหรือเปล่า
สนใจแต่ว่าคนอื่น ๆ เชื่อหรือเปล่าก็พอ
ถ้ามีคนที่ซื้อมากกว่าคนขาย ราคาขึ้น ทำกำไรได้
ตอบคำถามนี้มา
เข้าใจใช่ไหมว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ และไม่ตรงตามหลักเศรษฐศาสตร์
เพราะ Bitcoin จำกัด 21 ล้านเหรียญเสมอแล้วเป็น Decentralized นโยบายทางการเงินไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้เมื่อมีการพิมพ์ Dollars ออกมามากราคาจะสูงขึ้นเสมอ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่จริง เศรษฐศาสตร์มีอะไรมากกว่านั้น เข้าใจใช่ไหม
[ด่วนสุด!!!] ประกาศตามหาคนหาย 😆
“สมชาย สมจริง” ได้ข่าวว่าปิดหนีทั้งแอคหลุม แอคหลัก ถถถถถถ
.
ใครเจอฝากบอกแกหน่อยนะผมนี่ FC no.1 แกเลยนะ เมื่อวานเห็นโพสท์ FuD วันนี้ลบโพสท์หายไปละ มา recap ให้ฟังอีกที
.
เท่าที่ย้อนอ่านๆดู นายคนนี้นี่ข้อมูลแน่นนะเนี่ย FC Warden ตัวจริงปะเนี้ย แหนะๆ 😏….เออนี่ อยากขอความช่วยเหลือเพือนๆหน่อย
ฝากตามหาคนนิดนึงสิ เดี๋ยวให้ข้อมูล 55555
1. Position: เป็น Owner จัดตั้งลัทธิ Wardenlism ใน telegram มีเด็กข้างอัณ 3-4 ตัว #ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว
2. General info: ชอบโพสท์ เน้นแดกดัน พลันประชดทั้งใน Defi วัยรุ่น, Wardenswap Thailand ส่วนใหญ่เป็นแค่กับ Warden เลยนะเออ! แปลกป้ะ
3. Background: เข้ามาลงทุน Defi น่าจะช่วงก่อน March 2021 สักนิดนะ ส่วนลงทุน Warden ไม่เป็นที่ระบุแน่ชัด (tentative: July 2021)
4. 1st Skill: แต่เท่าที่สังเกตเวลาตอบคอมเมนต์มักจะสลับไปใช้อีกรหัสมาตอบ มองเผินๆแลดูเหมือนเป็นคนดีนะ แต่สันดรดิบนี่ไม่น่า
5. 2nd Skill: ที่ผ่านๆตามาเนี่ย เห็นเคยทำทีเป็นโพสท์ตั้งถามด้วยนะว่า “ทำไมราคา Warden ร่วงจังคับ” นั่นนี่ สลับแอคเค้ามาตอบเอง กับเด็กข้างอัณมาตอบโบ๊ะบ๊ะมากเชียว (แต่ลบไปละแหละ สงสัยกลัวคนจับได้55555)
6. Job: เกาะแฟนกิน เอ้ย หยอก!!! มีช่วยเมียทำกิจการแหละ ไม่รู้ป่านนี้ยังช่วยทำไหม แลดูว่างจัด…
7. Fund: เชื่อว่าทุนหนา ไป raised fund จากเมียมาลง Warden มั้ง…ไม่รู้ที่เห็นโพสท์บ่อยๆ …รอคอยจนดอยแดก หรือแบกกำไรกลับจนติดใจ โพสท์ไม่พักจิมๆ
8. Goal: เน้นโจมตี Warden ทั้งหายใจเข้าและออก ชอบไปตั้งฐานปั่นตามที่ต่างๆ หวังผลทางการลงทุน คือหวังรอช้อนของถูกแล้วสาดของใส่หน้ามือใหม่ #ไม่เน้นกาวไม่มอมเมาเยาวชน แต่!!! #เน้นfudใส่เม่าปลีกอ่อนปล่อยละช้อนถูกมาเทใส่หน้า
9. Location: ส่วนใหญ่พบเจอได้ตาม FB, TG, และล่าสุดเจอแลบลิ้นเดินขอบริมตลิ่ง ถถถถ ถ้าจะขอลายเซ็นหาแกได้ตามสถานที่ด้านบน ผนวกกับที่มี Warden communities อยู่เยอะๆ
อ่ะ…นี่ข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่แจ้งได้ ขอแรงเพื่อนๆช่วยหาหน่อยนะ TT…
เอาจริง มีแอบคิดๆอยู่ว่าถ้ายังเจอแกแวะมาแถวนี้อีก อาจจะต้องแวะมาให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่ม กับคนหมู่มากเพื่อจะได้สร้างภูมิคุ้มกัน หรือช่วยตามสืบประวัติ
…ดีไม่ดีอาจจะมีคนกด “แนบรูปหน้า” มาแบ่งปันก็ได้ 😍 พี่สมชาย นายคือความหวังขับเคลื่อนของชุมชน!!
เฮ้ยเกือบลืม!!! ก่อนไป…ขอฝากลายแทงคลิปหวานซึ้งน้ำตาหยดแหมะ ไม่มีแหวะดั่งซีรีส์เกาเหลา ดูได้ทุกเพศทุกวัยใครดอยอยู่ว่างๆรับชมสิ่งบันเทิงแก้เบื่อ หาชมได้ในยูทูป
#หรู่มายยยยใครโสดในโหมดสเปเฉียว
#เฉียวอาราย #เฉียวขี #เนื้อแน่นแน่น
#เมียดีกรีเทคมีเอ้าท์ คริคริ 😝
Bitcoin เป็นแชร์ลูกโซ่
แม่งเอ้ย กูดันขายหมูที่ 51K จะเข้าใหม่ก็ไม่ทันล่ะ โคตรเซ็งเลย = ="
Elliott Wave คือ วิชาลวงโลก..???
เห็นโพสของเพจนึงแซะ Elliott Wave ผมก็อยากเขียนอะไรกับ Elliott Wave บ้าง
ผมเองนับ Wave มั้ย.. นับครับ
แต่ผมเชื่อ Elliott Wave มั้ย.. ผมเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง
สิ่งที่ผมมั่นใจคือ กฏใดๆ ในโลก มันไม่ได้ตายตัว
สิ่งที่ผมไม่เชื่อใน Elliott Wave เลยคือ ราคาสินทรัพย์มันไม่จำเป็นต้องวิ่ง 1,2,3,4,5 หรือต้องลง a,b,c เสมอไป
มันเป็นเพียงการอธิบาย "ลักษณะพื้นฐาน" ของราคาสินทรัพย์เท่านั้น
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสินทรัพย์ทุกตัวในโลก ทุกช่วงเวลา จะมีพฤติกรรมสอดคล้องกับแนวความคิดนี้
และผมต่อต้านคนที่พยายามเอากราฟใส่เข้าทฤษฏี Elliott Wave ให้ได้ ทำทุกอย่าง ออกกฏแปลกๆ มาจนการนับคลื่นมีกฏเกณฑ์เป็นสิบๆ ข้อ
มันไม่ควรต้องซับซ้อนขนาดนั้น
เรื่อง Fibonacci ก็เช่นกัน การวัด Fibonacci มันใช้งานได้ดีในหลายๆ โอกาส แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกกราฟ ทุกช่วงเวลา จะตอบสนองกับ Fibonacci เสมอไป
สำหรับผม Wave ไม่จำเป็นต้องขึ้น 5 และลง 3 เสมอไป
ความเชื่อส่วนตัวของผม การมอง Wave ให้ออกนั้นผมสนใจที่ปัจจัยพื้นฐานและอารมณ์ตลาด มากกว่าการดูกราฟหรือ Fibonacci อย่างเดียว โดยไม่สน fundamental
ดังนั้นคำอธิบายเรื่อง Wave ของผมอาจจะแตกต่างไปจากผู้เชี่ยวชาญท่านอื่นๆ นะครับ
หลายๆ คนพยายามมอง Wave ขาขึ้นว่าจะต้องเป็น 1-2-3-4-5 ขาลงจะต้องเป็น a-b-c และพยายามจะฝืนยัดเยียดคลื่นเข้าไปในกราฟให้ได้
ทุกๆ อย่างในโลกนี้มีข้อยกเว้น ถ้าใครเคยอ่าน Elliott Wave ของผม จะเข้าใจว่า Wave นั้นมันเกิดจากจิตวิทยามวลชนที่กระทำต่อราคาสินทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลา เช่นตอนขาขึ้น มันไม่ได้ขึ้นรวดเดียว พอมีความโลภ กับความกลัวของคนเข้ามาเกี่ยวข้อง Wave มันก็เลยยึกยักเป็นทรง 1-2-3-4-5
แล้วพอตอนสินทรัพย์มันตก มันก็ไม่ได้ตกรวดเดียว มันเจอความกลัวกับความโลภของคนเข้ามา Wave มันก็เลยยึกยักเป็นทรง a-b-c
แต่นั่นคือกรณีการขึ้นลงของสินทรัพย์ทั่วๆ ไปที่ไม่มีปัจจัยอื่นๆ มากระทบกระเทือน แต่ถ้าจู่ๆ สถานการณ์ในภาพใหญ่เปลี่ยนไป มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่รุนแรงอาจจะทำให้คลื่นมันพังไปเลยทั้งๆ ที่ฟองสบู่ยังไม่แตกก็เป็นได้
หากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในเชิงปัจจัยพื้นฐาน โอกาสที่ Wave จะพัง และทุกอย่างจะถูก reset มานับหนึ่งกันใหม่ อย่ายึดติดว่ามันต้องขึ้น 5 ลง 3 แล้วคุณจะเข้าใจธรรมชาติของราคาสินทรัพย์ได้อย่างถ่องแท้
ยกตัวอย่างตอนช่วงทศวรรษที่ 80 สหรัฐอเมริกายกเลิกการผูกดอลล่าร์กับทองคำ ไม่สามารถเอาดอลล่าร์สหรัฐไปแลกทองคำคืนได้ เป็นช่วงเวลาที่ราคาทองคำวิ่งอย่างแรงจากออนซ์ละ $35 ไปถึงเกือบๆ ออนซ์ละ $700
📍 Wave 1 ช่วง 1971-1974
ถ้ามองในแง่ Elliott Wave หรือภาวะตลาดนั้น ผมต้องบอกว่า ช่วง 1971-1974 ในภาพนั้น เป็น Wave 1 คือ มีคนไม่กี่คนที่เพิ่งสังเกตถึงความผิดปกติของดอลล่าร์ หลังการล้ม Bretton Woods ของปธน. Richard Nixon ทำให้คนเริ่มทิ้งดอลล่าร์มาถือทองคำ
📍 Wave 2 ช่วง 1975-1976
ช่วงนั้นคนจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมทองคำถึงราคาขึ้น เมื่อมีกำไรจึงแห่เทขายทอง (คิดภาพว่าสินทรัพย์ตัวนึงที่ราคา $35 มาเป็นสิบปี อยู่ๆ พุ่งขึ้นเกือบ $200 คนไม่เข้าใจ จึงรีบขายทองทำกำไรมหาศาล) บทวิเคราะห์ของสถาบันการเงินในยุคนั้น บอกว่า ทองคำเกิดฟองสบู่ด้วยซ้ำ บ่งบอกว่าแม้แต่นักวิเคราะห์ยุคนั้นเองก็ยังไม่เข้าใจสถานการณ์การด้อยค่าของดอลล่าร์ดีพอ
📍 Wave 3 ช่วง 1977-1981
คลื่นหลักของทองคำมาในช่วงนี้ ราคาทองวิ่งพุ่งสวนทางการเฟ้อและด้อยค่าของดอลล่าร์ จนทองคำวิ่งไปเกือบถึง $700 ต่อออนซ์ คำถามคือ ทองคำเป็นฟองสบู่ไหม..? ผมต้องตอบว่า "ไม่ใช่" ที่ทองคำวิ่งแรงในยุคนั้นเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มเข้าใจการอ่อนค่าของดอลล่าร์หลังการล้ม Bretton Woods คนแห่ทิ้งดอลล่าร์มาถือทองคำ
นี่คือเวฟหลัก ที่ทองคำไม่ได้แพงเกินพื้นฐานเลย และมันจะยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ หากไม่ถูกแทรกแซงจากผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก นั่นก็คือ ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED
📍 ไม่มี Wave 4 และ 5
ในช่วงปลายปี 1980 เข้าสู่ปี 1981 ผู้นำของ FED ในยุคนั้นคือคุณ Paul Volcker เห็นท่าไม่ดี ดอลล่าร์มีโอกาสล้ม จากการสูญเสียความเชื่อมั่นของคน สุดท้าย Paul Volcker ตัดสินใจเด็ดขาด กระชากอัตราดอกเบี้ยขึ้นร่วม 20% เพื่อดึงให้คนกลับมาถือดอลล่าร์
ทันทีที่นโยบายประกาศ แรงเทขายทองคำเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เข้าสู่ Wave A-B-C ทันที โดยไม่ผ่านจังหวะฟองสบู่ของ Wave 5
สาเหตุเพราะราคาทองไม่ได้วิ่งตามกลไกตลาด แต่ถูกแทรกแซงจากธนาคารกลาง ทำให้อารมณ์นักลงทุนและปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน
หลายคนที่เป็นสาวก Elliott Wave พยายามจะใส่ Wave 4 และ Wave 5 เข้าไปในกราฟทองคำช่วงยกเลิก Bretton Woods และสุดท้ายจะล้มเหลว เกิดการนับ Wave แบบแปลกๆ พร้อมเงื่อนไขประหลาดๆ จำนวนมาก เพื่อให้ทฤษฏี Wave ที่ตนเองเชื่อนั้น ยังคง "ศักดิ์สิทธิ์"
นี่คือสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย..
Elliott Wave และ Fibonacci มีประโยชน์ไหม ผมยืนยันสำหรับผมมันมีประโยชน์มาก
แต่มันไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนอย่างที่บางคนบอกว่า "ถ้า Fibo หรือ Elliott Wave แม่นจริง ก็รวยกันหมดแล้วสิ"
Elliott Wave และ Fibonacci สำหรับผมไม่ใช่ Silver Bullet ที่จะช่วยตอบคำถามทุกอย่างได้ แต่ยืนยันว่ามันมีประโยชน์ในฐานะองค์ประกอบหนึ่ง ที่สะท้อนถึง "พฤติกรรมมวลชน" ที่นำมาใช้วิเคราะห์ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ เท่านั้นเอง
แต่ผมไม่เห็นด้วยกับคนที่โจมตี เครื่องมือของใคร ว่าเป็นเรื่องลวงโลก เรื่อง bullshit ถ้าคุณไม่เอาเครื่องมือนั้นมาลวงโลก หลอกหากินกับคนอื่นๆ แล้วอวดอ้างว่ามันคือเครื่องมือเทพเจ้าที่จะทำให้คนชนะตลาดได้
คือถ้าคุณใช้อะไรเทรดแล้วทำกำไรได้ ก็ใช้ไปเหอะ.. มันจะไปหนักหัวใคร ก็เป็นปัญหาของคนนั้นๆ ไปแล้วกัน ไม่เกี่ยวกับเรา
ยินดีต้อนรับโม่งทุกตัวสู่อ้อมอกของ พก
https://discord.gg/dQXhcR7
ทำไมมู้นี้ไม่ไหลเลยวะ ไหนบอก #โม่งแม่งเสี่ย #โม่งแม่งรวย
ชาว Crypto หลายๆ คนโดยเฉพาะสาย Defi ต่างเฝ้ามอง (ด้วยความหวังเล็กๆ) อยากเห็น CBDC (Central Bank Digital Currency) หรือ Digital Currency ที่ออกโดยรัฐ เพราะมันจะช่วยให้ product ของพวกเขาซื้อง่ายขายคล่องขึ้นได้มาก
แต่ Fact ที่เขาไม่ได้นึกถึงคือ CBDC นั้น คือศัตรูของ Concept ของ Decentralized ที่ซาโตขิได้นำเสนอไว้ชนิดสุดขั้ว เพราะ Bitcoin หรือ Crypto อื่นๆ หลายๆ ตัวนั้นเกิดขึ้นจากการตั้งเป้าจะลดทอนอำนาจของรัฐบาลกลางของทุกประเทศ และหวังใจว่า Decentralized System พวกนี้จะทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนมูลค่าเกิดขึ้นได้ทั่วโลกกับทุกคนอย่างอิสระภาพและไร้การควบคุมจากใครก็ตาม
แต่ถ้าที่สุดแล้ว CBDC (เช่น หยวนดิจิทัล หรือใดๆ ที่ Digitalized Fiat) ถูกใช้งานอย่างกว้างขวาง มันจะยิ่งทำให้รัฐบาลกลางมีพลังในการ Control + Monitor ระบบการเงินได้หนักข้อขึ้นไปอีก เมื่อเทียบกับความพยายามในการควบคุมพวกมันผ่าน Exchange (ตัวเชื่อมโลกแห่ง Decentralized เข้ากับ Fiat) ในปัจจุบัน
และดูจากทิศทางของคนที่เขาสู่วงการ Crypto ที่มุ่งเข้ามาด้วยความย้อนแย้ง คือมองว่า Crypto นั้นจะรุ่งเรือง โดยความรุ่งเรืองนั้นคือการที่เขาเก็งกำไรเงิน Fiat ของเขาวันนี้ เพื่อปรารถนาใน Fiat ที่มากขึ้นกว่าเดิม
โลกแห่งอุดมคตินั้นไม่มีจริง...
ที่สุด วงการ Crypto นี้ ก็จะเป็น Digitally Centralized โดยใครสักคน สักกลุ่ม อยู่ดี
Cryto เหี้ยหมด 99% มันคือการเอาเงินคนใหม่มาจ่ายคนเก่า
ไมหลังๆมีโม่งมาด่าคริปโตเยอะจัง
ปตท. สผ. ประกาศขายหุ้นกู้ดิจิทัลครั้งแรกในเอเชีย ผ่านแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท
.
"ปตท.สผ.” ผนึก “กรุงไทย” ปฎิวัติการลงทุน เสนอขาย “หุ้นกู้ดิจิทัล ปตท.สผ.” บนช่องทางออนไลน์เต็มรูปแบบผ่านวอลเล็ตเป็นครั้งแรกในเอเชีย ซื้อ-ขายง่าย ได้ทันที 24 ชั่วโมง ผ่านแอปฯเป๋าตัง ตอกย้ำความเป็น “Thailand Open Digital Platform” เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน เปิดโอกาสเข้าถึงการลงทุนหุ้นกู้ภาคเอกชนอย่างเท่าเทียม ตอบโจทย์สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง ด้วยอันดับความน่าเชื่อถือที่ “AAA” จากทริสเรทติ้ง
.
หุ้นกู้ดิจิทัล ปตท.สผ. ที่เสนอขายครั้งนี้ เป็นหุ้นกู้ระยะยาวชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และ มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 5 ปี ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในปี พ.ศ. 2569 ด้วยอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดเริ่มต้น ที่ร้อยละ 2.00 ต่อปี และสูงสุดที่ร้อยละ 2.75 ต่อปี คิดเป็นอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ 2.25 ต่อปี กำหนดจ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน นักลงทุนสามารถลงทุนเพิ่มด้วยอัตราทวีคูณครั้งละ 1,000 บาท วงเงินลงทุนสูงสุดท่านละไม่เกิน 10 ล้านบาท หุ้นกู้ดิจิทัล ปตท.สผ. ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “AAA” โดยทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 ซึ่งถือเป็นอันดับสูงสุดของตราสารหนี้ในประเทศ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและความมั่นคงทางการเงินของบริษัท
.
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://techsauce.co/news/pttep-krungthai-first-digital-bond-in-asia
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.