ใครอยากรวยทยอยซื้อบิทคอยกันนะ
ยิ่งเราช่วยกันซื้อ ช่วยกัน hold ราคาจะยิ่งสูง
พวกเราจะยิ่งรวย ๆ
Last posted
Total of 1000 posts
ใครอยากรวยทยอยซื้อบิทคอยกันนะ
ยิ่งเราช่วยกันซื้อ ช่วยกัน hold ราคาจะยิ่งสูง
พวกเราจะยิ่งรวย ๆ
"นักลงทุน Bitcoin ไม่ควรเสียเวลาวิเคราะห์อะไรให้มากเกินไป ภายใน 10 ปีข้างหน้าถ้าราคา Bitcoin จะไม่พุ่งไป 1 ล้านเหรียญ มันก็จะร่วงมาจะเหลือแค่ 0 เหรียญ มันไม่มีทางออกอะไรอื่นใดอีกแล้ว
ผมเคยคิดว่าโอกาสที่ Bitcoin จะพุ่งไป 1 ล้านเหรียญนั้นมีเพียงแค่ 1% แต่ถ้าถามผมตอนนี้... ผมคิดว่าโอกาสนั้นสูงได้ขึ้นมาเป็น 5% - 10% แล้ว"
Chamath Palihapitiya นักลงทุนที่ได้ชื่อว่าจะกลายเป็น Warren Buffett คนต่อไปกล่าว
-----------------------------
ถึงแม้ผลตอบแทนในการลงทุนของ Chamath ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้นจะไม่ได้ด้อยไปกว่าปู่ Warren Buffett ในสมัยแรกๆเลย แต่แนวทางการลงทุนของเขานั้นต่างกับปู่โดยสิ้นเชิง
Chamath เป็นนักลงทุนที่เชื่อมั่นในเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนโลกอนาคตโดยตลอด นอกจากเขาจะเข้าลงทุนในบริษัท Tesla และ Amazon ในสมัยรุ่นบุกเบิกแล้ว เขายังลงทุนใน Bitcoin มาตลอดอีกด้วย !
ครั้งหนึ่งในช่วง 2013 ทาง Chamath เคยถือ Bitcoin มากที่สุดถึง 5% ของอุปทานในตลาดในเวลานั้น ! ก่อนที่เขาจะทยอยขายมันออกมาบ้าง
โดย Chamath นั้นเคยกล่าวว่าเขาลงทุนใน Bitcoin เพื่อเป็น "Schmuck Insurance" หรือแปลว่าถือมันไว้เป็นประกันในยามฉุกเฉิน เผื่อวันไหนที่รัฐบาลสหรัฐไม่สามารถควบคุมระบบการเงินของประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นจากการพิมพ์เงินมากเกินไปหรือการสูญเสียพลังในการควบคุมตลาดก็ตาม หากวันนั้นเกิดขึ้นจริงๆ Chamath เชื่อว่าราคา Bitcoin จะดีดไป 1 ล้านเหรียญ (หรือสูงกว่าปัจจุบันอยู่ 20 เท่า) แน่ๆ
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทาง Chamath เคยเชื่อว่าโอกาสที่ระบบการเงินของสหรัฐจะล่มสลายลงไปนั้นมีเพียงแค่ 1% เท่านั้น เขาจึงถือ Bitcoin ไว้เพื่อความอุ่นใจ ไม่ได้ต้องการจะทำกำไรจากมันจริงๆ
แต่ใน Podcast Episode ล่าสุดของ Chamath ตัวเขาเองนั้นยอมรับว่าโอกาสที่ระบบการเงินของสหรัฐจะสูญเสียอำนาจไปนั้น กลับอาจมีสูงถึง 5% - 10% แล้วตอนนี้ !
📌 ในส่วนของนักลงทุนที่พยายามจะวิเคราะห์ทิศทางราคาของ Bitcoin รายวันนั้น ทาง Chamath บอกว่าอย่าทำไปให้เสียเวลาเลย มันเครียดป่าวๆ
ราคา Bitcoin ไม่ว่าคุณจะวิเคราะห์ด้วยวิธีไหนก็ตาม ราคาในอนาคตก็มีทางออกเพียงสองทางเท่านั้น จะไม่ไป 1 ล้านเหรียญก็จะลดมาเหลือ 0 เหรียญเท่านั้น
Chamath แนะนำให้ปันสัดส่วนเงินลงทุนส่วนนึงที่พอใจ และลงทุนใน Bitcoin เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงในระยาวๆไปจะดีกว่าการพยายามนั่งเทรดเข้าออกรายวัน
🤔 ทุกท่านมองกันว่าอย่างไรครับ ? เห็นด้วยกับ Chamath ไหม ?
---------------------------
🔊 ทางเพจจะคอยนำข่าวสารการลงทุนที่ #ทันโลก มาฝากทุกท่านเสมอ
แนะนำให้ทุกท่านเปิดกระดิ่งตั้งค่า #รายการโปรด หรือ #Favourite ไว้บนเพจได้เลยครับ เพื่อจะได้ไม่โดนการปิดกั้นการมองเห็นจากทาง Facebook และอาจพลาดข่าวสารที่สำคัญจากทางเพจไป
🙏 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากกด Like และ Share เพื่อให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 👍😊
ลงทุนจิ๊บๆ นั่งกดเกมNft
ตอนนี้ออกบิ๊กไบค์ได้ล่ะ
พวกหน้าโง่ กูนอนให้ผู้หญิงดูดควยก็มีเงินใช้มหาศาลละ
อยากซื้อคริปโต อยากรวย แต่ขกศึกษา มีอะไรแนะนำกูมั้ยโม่ง
มันเป็น scam อย่าซื้อ
ช่วงนี้มีเกมแนะนำมั้ยเพื่อนๆ
ไอ้พวกโง่ พวกมึงจะฝากออมทรัพย์จนเกษียญหรือไง
แบ่งเงินไปฝาก BTC, ETH แล้วเริ่มรวยได้แล้วไอ้พวกควาย
https://www.blognone.com/node/123549
กะว่าจะซื้อ ETH แต่ กลต ไทย แบน Binance ตัดบัตรเครดิตไม่ได้ โม่งแนะนำเว็บนายหน้าเจ้าอื่นที
สมัครเรียน Trade กับ IM Academy ดีไหม
ค่าเครื่องมือจ่ายครั้งแรก 234.95 USD
รายเดือนอีก 175.95 USD
>>14 https://www.youtube.com/watch?v=_WfQ5I00SNw
ตัวนี้ IM Academy
ทำไม NFT ขายได้แพงจัง
NFT สร้างมาเพื่อให้ศิลปินได้ลืมตาอ้าปากจริงหรือ
-----
สวัสดีครับ บทความในวันนี้อาจจะไม่ค่อยถูกใจศิลปิน และชาว NFT เหมือนหลายบทความที่ผมได้ลงไปก่อนหน้า และผมก็คิดอยู่นานมากกว่าควรจะเขียนดีหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าชาว NFT ควรจะได้รู้ ก่อนจะตัดสินใจจ่ายเงินแพง ๆ เพื่อมาลงงานขาย ว่าเรากำลังตั้งใจทำอะไรอยู่กันแน่ในตลาด NFT
อนึ่ง บทความนี้แตกต่างจากบทความก่อนหน้าที่เป็นเรื่องของความรู้จากข้อเท็จจริงล้วน ๆ แต่ในบทความนี้จะเป็นความเห็นเป็นบางส่วนของผม ซึ่งเป็นคนที่อยู่ในวงการคริปโต DeFi และ NFT ดังนั้นถ้าจะมีความเห็นขัดแย้งกัน ก็สามารถถกกันได้นะครับ
-----
หลายคนอาจจะเห็นภาพ pixel หรือหินถูกขายไปในราคาหลายสิบ ถึงหลายร้อยล้านในโลกของ NFT และก็รำพึงกับตัวเองว่า โลกของศิลปะนั้นไม่ต้องการเหตุผล
คำกล่าวนี้เป็นจริงหรือ จะดีกว่าไหมถ้าเราหาเหตุผลของมันได้ เพื่อที่จะเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วมันเกิดจากสาเหตุอะไร เพื่ออย่างน้อยเราจะได้ไม่ต้องเดาสุ่ม เวลาขายงานใน NFT
ในโลกความจริง งานศิลปะมากมายถูกใช้ในการฟอกเงิน หรือการเลี่ยงภาษี นี่คือสาเหตุที่ทำไมกล้วยติดเทป หรือภาพเปื้อน ๆ ภาพนึงถึงมีราคาหลายร้อยล้าน
แล้ว NFT ล่ะ ทำไมถึงบางภาพมีราคาแพงสนั่น
ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องรู้ก่อนว่าใครที่ซื้องาน NFT และซื้อไปทำไม
-----
ถ้าเราติดตามทวิตเตอร์มาพักหนึ่ง เราจะสังเกตได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ในโลก NFT นั้นเป็นวาฬขนาดเล็ก ย่อม ถึงใหญ่ยักษ์ ที่เรียกตัวเองว่า collector
วาฬเหล่านี้ คือคนที่อยู่ในวงการคริปโตมานาน และมี asset ในคริปโตจำนวนมาก หลายคนมีหลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น ETH
แน่นอนว่าเขาไม่ได้เพิ่งมาซื้อ ETH กันปีนี้ เหมือนนักวาดทั้งหลายที่พยายามเจียดเงินจ่ายค่าแก้ส 0.03 เขาเก็บ ETH กันมาตั้งแต่หลายปีที่แล้ว บางคนเก็บตั้งแต่ ปี 2015 ปีที่เริ่มก่อตั้ง Etheruem
หลายคนอาจจะไม่ทราบว่า ETH ที่ราคาเป็นแสนตอนนี้ เมื่อปีที่แล้ว ราคาอยู่ที่ 3000 - 6000 บาทเท่านั้น (เท่ากับค่าแก้สปีที่แล้วอยู่ที่หลักร้อย) และยิ่งถ้าซื้อตั้งแต่ปี 2015 ราคาของ ETH เคยอยู่ที่ไม่กี่ดอลมาก่อน
วาฬเหล่านี้มี ETH ในมือตั้งแต่ราคาไม่กี่สิบบาทจำนวนมาก และสิ่งเดียวที่วาฬเหล่านี้ต้องการ แน่นอน คือต้องการให้ราคา ETH สูงมากขึ้นไปอีก
-----
ถ้าถามนักธุรกิจว่า ดัชนีไหนคือตัวชี้วัดว่ากิจการใด ๆ เข้าสู่ยุคทอง ผมคิดว่าหลายคนน่าจะตอบเหมือนกัน - เมื่อมีลูกค้าหรือผู้ใช้งานแตะ 1000 ล้าน
แอปเปิ้ล เฟสบุ๊ค amazon ล้วนเคยเป็นบริษัทเล็กมาก่อน แต่เมื่อลูกค้าแตะ 1000 ล้าน สามารถผันตัวกลายเป็นบริษัทมูลค่า ล้านล้าน ดอล ได้ภายในไม่กี่ปี
ตอนนี้ ETH มีผู้ใช้งานแค่ประมาณหนึ่งร้อยล้านเท่านั้น
ยังห่างไกลยุคทองของมันอยู่มาก
ถ้ามีคนใช้งานแค่ร้อยล้าน ETH ยังราคาหน่วยละแสน ถ้ามีคนใช้งานพันล้านเมื่อไหร่ ตอนนั้นจะราคาหน่วยละเท่าไหร่
แล้ววิธีการใดล่ะที่จะทำให้มีคนใช้งาน ETH มากขึ้นในเวลาสั้น ๆ
ดึงมันเข้ามาในวงการต่าง ๆ ไงครับ
ในเมื่อบล็อคเชน และ Smart Contract สามารถประยุกต์เข้ากับอะไรก็ได้ ก็เอามาใช้กับวงการอื่น ๆ ซะเลยสิ
ปีนี้มีเหรียญไอดอล เหรียญพนันบอล และ NFT ศิลปะและเกมเกิดขึ้นจำนวนมาก จนติดกระแสหลัก
และวาฬก็ตามกระแสเหล่านั้น เพื่อเพิ่มจำนวน user เพื่อดันราคาเหรียญให้สูงขึ้นไปอีก
100 ETH สำหรับหน้าใหม่ในวงการ เป็นจำนวนที่ชีวิตนี้ก็อาจจะไม่สามารถหาเงินมาซื้อได้ แต่สำหรับคนที่ซื้อตั้งแต่หลายปีก่อน สละ 100 เพื่อให้อีกหมื่นในมือราคาขึ้นอีก 10 เท่า เป็นอะไรที่คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม
ทีนี้พอจะเข้าใจหรือยังครับ ว่าทำไมเหรียญจาก 3000 ดอล ภายในเดือนเดียวถึงขยับมาแตะ 4000
-----
ถามว่า NFT ทำให้ศิลปินลืมตาอ้าปากได้ไหม ได้ครับ หลายคนในนี้น่าจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ดี
งานของหลายคนสามารถขายไปในราคาหลักหมื่น ถึงหลักแสนได้
แต่ผมจะบอกว่า NFT จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของกระแสธุรกิจล้วน ๆ
คนขายได้ ขายไม่ได้ บางทีไม่สามารถวัดกันด้วยฝีมืออย่างเดียว
แล้วคนที่ซื้อเพราะชอบงานจริง ๆ มีไหม มีครับ แต่เป็นส่วนน้อย
ส่วนใหญ่ตอนนี้ เป็นการซื้อเก็งกำไร เพื่อไปวางขายต่อเป็นทอด ๆ
หรือปาเงินทีเดียวตู้มเดียวให้เป็นกระแส หรือสร้างประโยชน์เชิงการโฆษณา และการเพิ่มจำนวน user มากกว่า เหมือน VISA ที่ซื้อ punk ราคาแพง ๆ เพื่อโปรโมทตัวเองว่าซี้กับคริปโตนะ
นี่คือสาเหตุที่ทำไมคนนอกวงการถึงจ่ายค่าแก้สลำบากเหลือเกิน ในขณะที่คนในวงการ หรือคนที่ทำ DeFi อยู่แล้ว ไม่กี่วันก็หามาจ่ายได้สบาย ๆ
และนี่คือสาเหตุที่บางคนถูกกวาดงานทั้งเซ็ตไปในหลักหมื่น แต่งานถูกเอาไปขายต่อหลักล้าน แน่นอนเราอาจจะภูมิใจที่งานขายได้ราคาแพง แต่เอาจริง ๆ แล้วถ้าระบบสร้างมาเพื่อศิลปินจริง เงินส่วนใหญ่ไม่ควรไปเข้ากระเป๋าพ่อค้าคนกลางหมด มันไม่ควรจะเป็นแบบนั้นครับ
-----
แล้วที่ผมเอามาพูดถึง ต้องการอะไร ต้องการดิสเครดิต NFT หรือเปล่า ไม่ใช่ครับ แต่ผมต้องการให้คนที่อยู่ในวงการ NFT หรือกำลังจะเข้า NFT เข้าใจธรรมชาติของมันเสียก่อนจะจ่ายเงินครึ่งหมื่นเพื่อเข้ามา หรือเสียเวลามากมายให้มัน
บางคนหวังว่าจะเป็นทุนตั้งตัวใหม่ เป็นโอกาสที่จะลืมตาอ้าปาก หรือเป็นบ่อทองของเรา
ก็ไม่ได้ห้ามครับ แต่ความจริงอาจจะไม่ได้สวยหรูขนาดนั้น
รวมถึงกระแส NFT จะอยู่นานแค่ไหน อันนี้ไม่มีใครรู้
อาจจะ 1 ปี 2 ปี 3 ปี หรือแค่สิ้นปีนี้ หลังจากนั้นวาฬก็แห่ไปที่อื่นกันหมด ก็เป็นไปได้
คนในวงการเจ็บเพราะวาฬมาเยอะครับ วาฬเขามองเห็นเราเป็นแหล่งทำเงินให้เขาเท่านั้น
แต่แน่นอนในเมื่อเราห้ามกระแสไม่ได้ เราก็ตามกระแสให้เป็น แล้วเราก็จะได้ส่วนแบ่งที่สมน้ำสมเนื้อ
อย่างสุดท้ายคือ อยากให้กำลังใจนักวาดครับ
อย่าไปน้อยใจเวลาเห็นงานคนอื่นขายได้เป็นล้าน แล้วงานเราขายไม่ได้
เรียนรู้ตลาดไปเรื่อย ๆ และมีความสุขกับงานของเรา
น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ
BTC is a shitcoin
Change my mind
ทำไมช่วงนี้แดงกันเยอะอ่ะ
กดลงจนกราฟแตกแบบนี้เหตุผลเดียวเลยครับ คือ ล้าง Long สะสม ไม่งั้นพวก Exchange เจ๊งกันหมดครับ อย่าลืมว่าเจ้ามือตัวจริงคือ Exchange นี่แหละ เวลามีสัญญาค้างปิดเยอะๆมันจะกดล้างทีเดียว เพื่อรีเซ็ตรอบใหม่ ตลาดไหนที่มีฟิวเจอร์เยอะๆเป็นแบบนี้หมด ยิ่งคริปโตยิ่งง่ายเลยครับ เพราะทุบตัวเดียว ลงได้ทั้งตลาด
เหมือนกันครับ แต่ Leverage เป็นส่วนนึงครับ ที่สำคัญคือมูลค่าสัญญา
ถ้ากราฟหักแบบนี้มีอย่างเดียวนี่แหละ ลองคิดดูนะครับเวลากลับเป็นเทรนขาขึ้นใครมันจะอยากShort จริงไหม? มีแต่คนจะเปิด Long พอไม่มีคนรับซื้อ Short จากคน Long
ทาง Exchange ซึ่งเป็น Maketmaker ก็ต้องมาดูแลสภาพคล่องเรื่อยๆ ไม่งั้นมันก็จะไม่เกิดการซื้อขายเพราะสัญญาไม่มีคู่ กล่าวง่ายๆคือต้องมาซื้อรับซื้อเองนั่นแหละครับ
พอมี Short ในมือเยอะๆ และไม่มีคนปิด Long position ซักที ถือกันอยู่นั่นแหละ เพราะมันยังไมมีท่าทีจะลง แม้Funding rate จะต้องจ่ายเพิ่มแค่ไหนก็ไม่ปิด ฝั่ง Short จึงขาดทุนบานตะไท ทีนี้ทำไง? สัญญา Short ค้างอยู่ในมือ Exchange เต็มไปหมด ก็กดขายใส่ฝั่งซ้ายทีเดียวแรงๆ เลยสิครับ ไม่ว่าอะไรก็ต้านไม่อยู่ คนก็กลัวและขายสมทบไปอีก ภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็นครับ
Ata Shin เดี๋ยวช่วงประมาณ20ธันวามีทุบอีกรอบครับ ถึงตอนนั้นราคา BTC น่าจะอยู่ประมาณ 80K แล้วครับ ถ้าเดือนนี้ลงสุดให้ไล่ซื้อเก็บเหรียญไว้เลย เดือนนี้น่าจะลงอีก(แต่ไม่ถึง 30K แล้วนะ อันนั้นเป็นการร่วมมือร่วมใจทุบลงก่อน Halving) คนจะทะยอยขายลดพอร์ต และต้นๆปีหน้าจะวิ่งชุดใหญ่อีกรอบครับ ถือเป็นต้องขายเป็นด้วยครับ ไม่งั้นรถกลับมาส่งที่เดิมหรือครึ่งทางที่ไปแล้ว เหมือนวันนี้
สิ่งที่ควรรู้เมื่อคุณเข้ามา “เทรด” ในตลาด cryptocurrency
1. การเทรด crypto ใช้หลักการเดียวกับการเทรดหุ้น ดัชนีหุ้น ทองคำ แร่เงิน สินค้าโภคภัณฑ์ และ forex หลักการที่ว่า คือ เทคนิคอล หรือการวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งมีกราฟที่ถอดแบบจากราคาของสินค้าเป็นฐานให้เราวิเคราะห์เพื่อเข้าซื้อขาย ใครที่ผ่านสมรภูมิตลาดเก่ามาแล้ว จะมีความอดทนในสมรภูมิตลาดใหม่อย่างเห็นได้ชัด
2. ต้องแยกให้ออกระหว่างนักลงทุนสายเน้นคุณค่า (VI) กับ เทรดเดอร์ (trader) โดยที่นักลงทุนเน้นคุณค่าจะมองสินค้าเป็นสินทรัพย์ถือระยาว 5-10 ปี หรือมากกว่านั้น ยึดโยงกับวิชาบัญชีการเงิน การเข้าซื้อสินทรัพย์จะเลือกสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่าคุณค่าที่แท้จริงของมัน กินดอกเบี้ย เงินปันผล (crypto มี saving , staking) ส่วนเทรดเดอร์เรียกอีกอย่างว่านักเก็งกำไร คือ เน้นทำกำไรส่วนต่างของสินค้า เก็บกำไรระยะสั้นรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน กระทั่งรายวินาที
3. ต้องแยก “การพนัน” ให้ออกจาก “การลงทุน” และ “การเก็งกำไร” กล่าวคือ การพนันนั้นขึ้นอยู่กับความโลภ ตัณหา อุปาทาน ความอยาก ความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ ขณะที่การลงทุนและการเก็งกำไรเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมได้ บริหารจัดการเงินทุน ทรัพยากรได้ มีสัดส่วนทางคณิตศาสตร์รองรับการขึ้นลงของราคาสินค้า ต้องบริหารความโลภ อารมณ์ หรือถ้าจะให้กล่าวแบบพุทธศาสนา ต้องควบคุมผัสสะเพื่อไม่ให้เกิดตัณหาให้ได้ จึงจะกำหนดความเป็นไปของเงินในกระเป๋าได้ ตรงข้ามกับการพนันที่เล่นเท่าไหร่ก็หมดตัว
4. อย่าเชื่อการวิเคราะห์ราคาสินค้าของโบรกเกอร์ นักวิเคราะห์ และคนอื่น จนกว่าจะวิเคราะห์ ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง (ในทางพุทธศาสนาคือกาลามสูตร 10-โยนิโสมนสิการ การพิจารณาอย่างแยบคาย) ให้ฟังแนวคำอธิบายการวิเคราะห์เหล่านั้นเพื่อมาปรับกับการที่เราจะเอาไปวิเคราะห์ ไปพูดกับสากลโลกให้รู้เรื่อง
นศึกษาหาความรู้ใหม่ๆเสมอ วันใดที่เรารู้สึกยินดีพอใจกับระบบที่เราเทรด จิตของเราจะปิดกั้นการเรียนรู้ ไม่เปิดรับ เมื่อไม่เปิดรับ ผู้เล่นในตลาดก็จะหาทางเอากำไร เอาเงินต้นจากเราไปจนหมด
เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเราจะเข้าใจ ที่เราคิดว่าตลาดยากนั่นเป็นเพราะเราไม่มีวินัยการเทรด ตลาดง่ายเพราะเรายังไม่มีประสบการณ์มากพอ
5. อย่าเข้าใจผิดระหว่าง “วิเคราะห์” กับ “ทำนาย” วิเคราะห์คือการแยกแยะ จำแนกแตกประเด็น ตั้งสมมุติฐานที่หลากหลาย ส่วนทำนายคือการฟันธงกับเรื่องซึ่งไม่มีความแน่นอน แปรปรวน เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เป็นอนิจจัง คนส่วนใหญ่ในตลาดมักทำนายตลาดมากกว่าการวิเคราะห์ นิสัยที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งที่ติดมากับการชอบทำนายตลาด คือ “ความประมาท” ไม่มีแผนรองรับว่าถ้าหากราคาทะลุแนวนี้จะทำอย่างไรต่อไปต่อเงินทุนและสถานะซื้อขายที่เปิดอยู่ พระพุทธเจ้าบอกว่า “ปมาโท มัจจุโน ปทัง” ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย หลายต่อหลายคนล้างพอร์ท ขายรถ ขายบ้าน มาเยอะแล้ว
6. แยก “เทคนิคอล” ให้ออกจาก “ทำนาย” ไม่มีเทคนิคอล เครื่องมือซื้อขายใดที่สมบูรณ์แบบ เป๊ะ แม้แต่ทฤษฎี Elliott wave ซึ่งนักลงทุน เทรดเดอร์ ถือกันว่าเป็นยอดวิชาเทคนิคอลก็ยังไม่เป๊ะ เมื่อเจอกับตลาดหนึ่งกลับเป็นไปตามทฤษฎี แต่เมื่อไปเจออีกตลาดกลับไม่เป็นไปตามนั้นโดยอาจคลาดเคลื่อนเล็กน้อย เป็นต้น (Elliott wave อาจแตกต่างโดดเด่นกับเทคนิคอลอื่นตรงที่มีสภาพบังคับให้ผู้ใช้ทฤษฎีตั้งสมมุติฐานต่างๆอยู่เสมอ)
“เทคนิคอลเป็นแต่เพียงตัวช่วยในการเข้าซื้อขายเท่านั้น ให้มีหลักว่าเข้าซื้อตรงไหน จะออกจุดใด ไม่ใช่เครื่องทำนายหยั่งรู้อนาคต)
7. อย่าเพิ่งตั้งต้นด้วยคำถามว่า “เราจะทำอย่างไรจึงจะมีกำไรมาก” แต่ให้ตั้งคำถามว่า “เราจะทำอย่างไรจึงจะเอาตัวรอดจากตลาดได้” เมื่อเอาตัวรอดได้แล้ว กำไรจะตามมา และสำคัญกว่าการได้กำไรครั้งละมากๆ คือ การได้กำไรสม่ำเสมอ
8. วินัย คือ ระเบียบ และระเบียบคือความสม่ำเสมอซึ่งมีลักษณะถูกจัดวางไว้เป็นแนวเดียวกัน วินัยนี้มีประโยชน์มากในฐานะที่เป็นเครื่องให้เรามีความสะดวก ลดอุปสรรค เช่น การจัดชั้นหนังสือให้เป็นระเบียบ จะทำให้เราง่ายต่อการค้นหา หยิบจับ ,การตรงต่อเวลาจะทำให้คู่นัดทำหน้าที่ของตนไ้ด้ตามแผนที่วางไว้ ไม่ผิดแผนกับคนอื่นเป็นทอดๆ
วินัยการเทรด คือ ความสม่ำเสมอในการเทรด เราเทรดด้วยเทคนิคอะไร ระบบใด ก็ขอให้ยึดเทคนิคนั้น ระบบนั้น เช่น ถึงจุด stoploss ก็ต้อง stoploss ไม่มีข้อยกเว้น เป็นต้น นั่นเป็นเพราะว่า จะทำให้เราวัดผลได้ว่า เทคนิคมีจุดเด่น จุดด้อยอะไร จะรักษาเงินต้นไว้ได้หรือไม่ กำไรมากน้อยเพียงใด ถ้ารู้แล้ว เราจึงค่อยเลือกเปลี่ยนวิธี ปรับปรุง หรือยึดระบบเดิมไปเลย
9. การมีวินัยในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ตื่นนอนตรงเวลา นัดคนตรงเวลา ทำอะไรเป็นกิจจะลักษณะสม่ำเสมอ จะส่งผลให้เรามีวินัยการเทรดมากขึ้น
10. เราไม่จำเป็นต้องเทรดตลอดเวลา เพ่งกราฟ แอบดูกราฟบ่อยๆหรือตลอดเวลา เพราะนั่นหมายถึงเรามีความกลัว ความกังวล ความทุกข์ ความไม่มั่นใจในระบบของตนเอง วางระบบแล้วก็ปล่อยให้มันทำงานไป แล้วค่อยวัดผล สังเกตเรื่อยๆ เราจะเป็นผู้สังเกต ไม่ใช่ผู้ถูกสังเกตหรือยึดติด การทำตัวเครียดจะทำให้มองตลาดไม่ทะลุปรุโปร่ง ไม่รอบด้าน ไม่ผ่อนคลาย
11. ทุกวันช่วงที่ตลาดออสเตรเลีย เอเชีย ยุโรป อเมริกา เปิด-ปิด ช่วง 30 นาทีแรก-สุดท้าย พยายามอย่าเข้าเทรด เพราะนั่นเป็นช่วงเวลาที่ตลาดชุลมุน แย่งซื้อขายของกัน มีความผันผวนของราคามาก โอกาสผิดพลาดในการเข้าซื้อขายมีสูง รอให้ตลาดนิ่งผ่าน 30 นาทีแรก-สุดท้ายในช่วงตลาดเปิด-ปิดก่อน จึงค่อยพิจารณาเข้าซื้อขาย (จริงๆ crypto เปิด 24 ชั่วโมง จะเป็นช่วงเวลาดังกล่าว (ล้อกับตลาดหุ้น) ที่ผันผวน)
12. เราเข้ามาในตลาดกำลังเล่นกับใคร สู้กับอะไร อย่าลืมว่าเราไม่ได้เอาเงินมาจากสิ่งเลื่อนลอย มันเป็นทุนนิยมที่ว่ามีผู้ได้ ผู้เสียประโยชน์ ผลกำไรของอีกคนจะเป็นผลขาดทุนของอีกคนเสมอ ฉะนั้น อย่าประมาทและหมั่
⚠️[BREAKING]⚠️ ราคา Bitcoin เริ่มร่วงลงอีกครั้งแล้วบ่ายนี้ ! ช่วงบ่ายวันนี้ Bitcoin ยังโดนเทขาย -15% กลับลงมาเกือบหลุด 44,000 เหรียญแล้ว หลังจากเพิ่งฟื้นตัวจากการเทขายเมื่อคืนไปไม่นาน
ราคา Bitcoin ร่วงจากระดับ 52,888 เหรียญเมื่อวานตอนเย็น (ระดับสูงที่สุดในรอบ 4 เดือน) ร่วงลงมาจนแตะระดับ 43,000 เหรียญเมื่อคืนนี้ (จากข่าวที่เอลซัลวาดอร์ได้เผชิญกับปัญหาความผิดพลาดทางเทคนิคในการเปิดใช้งานสกุลเงินดิจิทัลอย่างถูกต้องตามกฎหมายเล็กน้อยในวันแรก) ก่อนที่ราคาจะค่อยๆฟื้นตัวกลับไปที่ระดับ 47,000 เหรียญตลอดช่วงเช้าวันนี้
อย่างไรก็ตามตอนนี้ตลาดก็เริ่มโดนเทขายลงมาอีกครั้ง และราคา Bitcoin ก็ร่วงลงมาเหลือ 44,000 เหรียญอีกครั้งแล้ว ตอนนี้เรายังไม่เห็นข่าวอะไรออกมาในตลาดที่จะกดดันราคา Bitcoin ได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ #แต่แนะนำให้นักลงทุนทุกท่าน เปิดกระดิ่งตั้งค่า #รายการโปรด หรือ #Favourite ไว้บนเพจได้เลยครับ (เพื่อจะได้ไม่โดนการปิดกั้นการมองเห็นจากทาง Facebook) แล้วทางเราจะมารายงานให้อย่างรวดเร็วแน่นอน
📊 ราคาคริปโตในตลาดในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- Bitcoin -14.5%
- Ethereum -16.2%
- XRP -24%
- ADA -17%
- Dogecoin -20%
- Solana -19%
🙏 ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเรา ฝากกด Like และ Share เพื่อให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 👍😊
#ทันโลกกับTraderKP
TG wardenlism-talk error,price everything freedom
https://t.me/joinchat/P-GMbqyNSEtlOTNl
ฝากกลุ่มแลกเปลี่ยนพูดคุยครับ กลุ่มดีมีคุณภาพ อารมณ์ดี อิอิ
………………
คำถามที่พบบ่อยๆ
1.ถามว่าโปรเจค wad ดีไหม
-ดีครับ dev ทำงานทำในสิ่งที่ควรทำกับโปรดักคือ best rate
2.ถามว่าทำไมต้องด่า wad
-พอดีซื้อแพง ขายถูก(-90%++)อันนี้โง่เอง เรื่องการเข้าซื้อที่ยอดดอย และเจ็บแค้นที่คอมมูมีแต่กาว และไม่ค่อยฟังเหตุผลอื่นนอกจากเหตุผลสนับสนุนให้ wad ราคาไป go to the moon (ถ้าผมมองก็มองห้องนั้นเป็น fomo ครับ)
-การด่าอาจจะทำให้คนบางคนตกใจและขายของออกมาทำให้ราคาลงมา และทำรอบขายเอากำไรครับ(แล้วแต่คน)
3.ความท้าทายในการถือ wad
-ลุ้นเป็น best rate จริงๆ เวลาใช้งาน(รวม gas แล้วด้วยนะ)
-ลุ้นการตลาดว่าคนจะรู้จักและนิยมใช้กันไหม
-ลุ้นว่าจะไปดิวหลังบ้านให้กับโปรเจคไหนได้บ้าง
-รายได้จะโตอย่างคาดไหม ถ้าไม่ก็โดนลงโทษเท่านั้นเอง
4.สิ่งที่น่าน้อยใจ
-dev ทำงานแบบไทยๆครับ วิสัยทัศน์อาจดีแต่การทำมาเก็ตติ้งต้องพัฒนาอยู่ สังเกตยอดที่เทรดกันซื้อเก็บก็ไทยทั้งนั้น ต่างชาติน้อย >>> แล้วทำไมโปรเจคดีขนาดนี้ต่างชาติไม่เข้ามาซื้อละ? ลองคิดดูครับ
-ความไม่หนักแน่นของแผนงานและการติดต่อสื่อสารกับคอมมูโดยตรง ในกรณีปรับแผน devก็ไม่ต้องออกมาเองก็ได้ให้ pr ตัวแทน บ.มาพูดก็ได้แบบรอประกาศทางการงี้ …คนที่ให้ข้อมูลส่วนใหญ่ในคอมมูมันก็จินตนาการกันไปเอง ทั้งที่ออฟฟิตเชียวก็รับรู้เท่ากัน บางประเด็น dev แทบจะยังไม่พูดด้วยซ้ำ
5. $wad ยังมีความเสี่ยงที่สูงมากเพราะอำนาจอยู่ที่ dev ครับ และการถือ wad ก็แทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยกับผู้ถือในตอนนี้ … ในอนาคตก็คงต้องรอทาง dev บอกอีกทีอะไรที่ยังไม่ฟันธงก็อย่าจินตนาการเกินไปมันจะเจ็บเปล่าๆ Dev ชอบปรับเอง เออเองอยู่ด้วย มีอะไรหลายอย่างที่ wad ต้องพิสูจตัวเองนะ แล้ว dev ก็ต้องพิสูจตัวเองด้วย คุณคิดหรือถ้า dev ดังเก่งจริงๆ โปรเจคดีจริงๆ ป่านี้ราคาไปไกลแล้วครับไม่ถึงเราหรอก อีกอย่างลองเปรียบเทียบกับโปรเจคที่เกิดใหม่เหมือนกันดูครับ ลองเปิดมุมมองดู tenfi babyswap … ที่จริง อัลปาก้าก็ของคนไทยนะ ทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จ ทรงมาแบบไหน แล้วมาเทียบ wad ดูครับ ลองตั้งคำถามเล่นๆดู
6.ผมอาจจะมองผิดก็ได้เพราะ wad ยังเป็น startup อยู่แต่อย่างลืมว่าแบรนมันไม่ได้แข็งนะ คุณคิดว่า ถ้า 1inch มาแย่งตลาดเขาจะทำไม่ได้รึ?? ชื่อชั้นห่างกันเยอะ
……………..
ยังไงทั้งหมดนี้เป็นแค่ความคิดผมนะ อย่าลืม MM กันด้วยนะครับ
อุ๊ย!!!
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.