หอบกูเป็นตอนเด็กพ่นทั้งยาบ้อง หลังๆพ่นยาเล็กๆ โตมาหายเอง
Last posted
Total of 1000 posts
หอบกูเป็นตอนเด็กพ่นทั้งยาบ้อง หลังๆพ่นยาเล็กๆ โตมาหายเอง
กระแดะทำเป็นสำออย แค่นี้ยังทนไม่ได้จะไปทำอะไรกิน
บทเรียนที่ดีบทหนึ่งจากเรื่อง joke
“A Japanese company and a North American company decided to have a canoe race on the St. Lawrence River. Both teams practiced long and hard to reach their peak performance before the race.
On the big day, the Japanese won by a mile. The North Americans, very discouraged and depressed, decided to investigate the reason for the crushing defeat.
A management team made up of senior management was formed to investigate and recommend appropriate action. Their conclusion was the Japanese had 8 people rowing and 1 person steering, while the North American team had 8 people steering and 1 person rowing. So, North American management hired a consulting company and paid them a large amount of money for a second opinion.
They advised that too many people were steering the boat, while not enough people were rowing.
To prevent another loss to the Japanese, the rowing team’s management structure was totally reorganized to 4 steering supervisors, 3 area steering superintendents and 1 assistant superintendent steering manager. They also implemented a new performance system that would give the 1 person rowing the boat greater incentive to work harder.
It was called the”Rowing Team Quality First Program“, with meetings, dinners and free pens for the rower. There was discussion of getting new paddles, canoes and other equipment, extra vacation days for practices, and bonuses.
The next year the Japanese won by two miles. Humiliated, the North American management laid off the rower for poor performance, halted development of a new canoe, sold the paddles, and canceled all capital investments in new equipment. The money saved was distributed to the Senior Executives as bonuses and the next year’s racing team was outsourced to India.”
การค้นพบที่ดี ต้องมากับวาจาที่ไพเราะ
Ignaz Semmelweis คือสูติแพทย์ในยุโรปที่มีฝีมือ สมัยนั้นแพทย์ที่ทำคลอดจะประสบปัญหาว่าคนไข้ที่มาทำคลอดในโรงพยาบาลมีการตายสูงถึง20% เรียกว่ามีคนไปทำคลอด 5 คน ก็จะตาย 1 คน
ในขณะที่การคลอดที่บ้านในสมัยนั้น อาจจะตายเพียง1%(ถ้าไม่คลอดติด ซึ่งถ้าติดที่บ้านตายเกือบ100%)
Semmelweis สังเกตว่าเวลาคนไข้ป่วยเป็นไข้หลังการคลอด มักจะเกิดขึ้นติดๆกันหลายคน และสังเกตว่าเวลาเป็นไข้ มักจะเป็นเรียงๆกันกับการทำคลอด
หากหมอไปทำคลอดเคสแรกแล้วมีไข้ เคสที่ทำต่อๆมาก็มักมีไข้เหมือนกัน
เนื่องจากยุคนั้นยังไม่ค้นพบเชื้อโรค ไม่มีใครรู้ว่าเกิดไข้หลังการคลอดจากอะไร ทุกคนเลยลงความเห็นว่าเป็นเพราะอากาศถ่ายเทไม่ดี
แต่Semmelweis ไม่คิดแบบนั้น เขาคิดว่ามีอะไรบางอย่าง ติดต่อจากคนที่คลอดแล้วมีไข้คนแรก ติดต่อผ่านมือหมอ ข้ามไปยังคนไข้อีกคน
เขาจึงสั่งให้ทุกคนที่ทำคลอดในสถาบันของเขาล้างมือให้สะอาด ล้างด้วยสบู่ไม่พอ ให้เอาคลอรีนมาล้างมือ
หลังจากการทดลองล้างมือปรากฎว่าอัตราการป่วยตายของแม่ที่มาคลอด ลดจาก20%เหลือ1% เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และSemmelweis ก็ได้บอกเล่าต่อไปยังเพื่อนแพทย์คนอื่นๆ รวมทั้งกระจายวิธีการนี้ไปคลินิกอื่นๆในยุโรป
ปัญหาคือ Semmelweis ปากหมา
เขาไม่ทราบว่าเหตุผลอะไรทำให้การตายลดลง เขาเดาเอาว่าบางสิ่งบางอย่างในช่องคลอดหรือตัวคนไข้ทำให้ป่วยและมันติดต่อกันได้ ... และเขาพิสูจน์ได้จริงด้วยการกระทำว่าการล้างมือได้ผล
แพทย์หลายคนหัวแข็ง ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม แม้จะเห็นชัดๆว่าทำให้คนไข้ตายน้อยลง
Semmelweis เลยด่าหมอพวกนั้นว่า "ไอ้ฆาตกร"
พวกหมอ พยาบาล และคนในโรงพยาบาลเลยต่อต้าน นอกจากไม่ยอมล้างมือแล้วบางครั้งยังจงใจทำให้สกปรกเพื่อทำให้ความพยายามล้างมือของ Semmelweis ไม่สำเร็จ
สุดท้าย Semmelweis โดนเตะโด่งไปทำงานในคลินิกเล็กๆห่างไกล
วันนึงเพื่อนร่วมงานมองว่าเขาก้าวร้าวจิตไม่ปกติซึมเศร้า เลยวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิต จากนั้นหลอกไปโรงพยาบาลบ้าจับขังไว้
ผ่านไปสองอาทิตย์ Semmelweis หมอสูติผุ้ยิ่งใหญ่คนนี้ก็เจอผู้คุมโรงพยาบาลบ้าทำร้ายจนตาย
ตามระเบียบเมื่อแพทย์ที่เป็นสมาชิกสมาคมแพทย์ตายลง จะต้องเขียนประกาศไว้อาลัยในหนังสือรายปี
แต่สำหรับ Semmelweis แพทย์ที่มีเรื่องกับแพทย์คนอื่นๆไปทั่ว ... ไม่มีใครไปงานศพ ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครประกาศรำลึก
ผ่านไป 20 ปี หลุยส์ปาสเตอร์ค้นพบเชื้อโรคท่ามกลางความขัดแย้งไม่เชื่ออย่างรุนแรง ... แต่เขาใช้ความสุภาพ อดทน และทดลองซ้ำให้คนที่ไม่เชื่อดูหลายครั้งหลายหนจนทุกคนเชื่อและยกย่องเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
เรื่องเดียวกัน แต่จุดจบคนละแบบอย่างสิ้นเชิง
"เมื่อวานพาลูกไปมอบตัวชั้น ม.1 รร.มัธยมของรัฐ ที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณ 20 กม.
.
ไม่ได้เป็น รร.ที่มีชื่อเสียงอะไรเพียงแต่ก็ไม่ได้เป็น รร ในระดับสุสานคนเป็น เหมือนกับ รร. ที่อยู่ติดกับบ้าน
.
ไปถึงโรงเรียนเพื่อมอบตัวส่งและเซ็นเอกสารเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ชี้ให้ไปที่ฝ่ายการเงิน จ่ายเงินไป 1,420 บาท
.
ถามว่ามีใบเสร็จไหม จนท. บอกว่าเปิดเทอมจะออกใบเสร็จให้
.
ที่เขียนก็เพื่อจะบอกว่าที่เราเข้าใจว่าเรียนฟรีมันไม่จริง
.
รัฐเพียงแค่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเรียนเพียงบางส่วนเท่านั้น
.
ค่าอาหาร เสื้อผ้า(ส่วนใหญ่) ของใช้เบ็ดเคล็ด และค่าอาหารเป็นภาระของผู้ปกครอง เด็กในพื้นที่ธุรกันดารถ้าอยากเรียนก็ต้องเสียค่าเดินทางเพื่อไปเรียน
.
ได้ไปเรียนก็ไม่ได้หมายความว่าได้เรียนรู้ ก็เพราะโรงเรียนในที่ห่างไกลส่วนใหญ่มันเหมือนกับสิ่งที่เขาเรียกว่าสุสานคนเป็น
.
สุสานคนเป็นหมายถึงสถานที่ซึ่งใช้เป็นที่กลบฝัง ขรก. ครูเหลือเลือก ไม่มีโรงเรียนไหนต้องการ โรงเรียนในที่ธุรกันดารจึงเป็นแหล่งรองรับ
.
ทำงานลงชื่อเข้าสอนไปวันๆ ผอ.ติดภาระประชุมแทบไม่เข้าโรงเรียน อาจารย์บางคนเกี่ยวหญ้าเลี้ยงวัว เลี้ยงไก่ชนอยู่นา บางคนก็เมาเหล้าเมากัญชามาสอน ควัก -วย ออกมาเยี่ยวในห้องเรียนก็ยังเคย
.
ขรก. ครูส่วนใหญ่ กู้เงินสหกรณ์จนเต็มลิมิต พูดทีเล่นทีจริงว่าเป็นหลักประกันว่าจะได้ไม่โดนไล่ออกแน่ๆ
.
ผมเชื่อว่าพวกเขาคิดอย่างนี้จริงๆ และเดาว่าพวกเขาก็คงจะไม่โดนไล่ออก
.
เพราะระดับผู้บริหารก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน
.
แล้วเด็กบ้านนอกบ้านนามันจะได้อะไร มันจะมีอะไรติดตัว
.
ได้ข่าวเรื่องการเกษียณอายุราชการเป็น 65 ปี แล้วยิ่งหนักใจ ครูที่มีปัญหาส่วนใหญ่แล้วเป็นครูอายุมาก แก่พรรษา เรียกว่าแทบจะไม่ได้ทำการทำงานให้คุ้มค่าเงินเดือน อยู่กินเงินเดือนเปล่าๆถึงหกสิบปีนี่เยาวชนก็ซวยพอสมควรแล้ว แต่นี่ คสช. จะให้ซากเดนพวกนี้เกาะกินโอกาสของเด็กไทยเพิ่มอีกห้าปี
.
จากข้างต้น การประกาศว่าเรียนฟรี 12 ปี แต่เป็นการลดระดับการสนับสนุนเรื่องการเรียนลงจาก ม. 6 เหลือเพียงแค่ ม.3 ยิ่งเป็นสิ่งที่แย่กว่าสำหรับเยาวชนผู้ต้องการโอกาสทางการศึกษา
.
ถ้า กรธ. คนชั้นสูง ผู้นำเผด็จการทหาร มีความจริงใจในการที่จะเห็นคนไทยพัฒนาขึ้นจริง ควรประกาศ ปฏิรูปมาตรฐานการศึกษ ลดเกณฑ์การเกษียณอายุ ขรก. ลงเหลือ 55 ปี เพื่อเปลี่ยนถ่ายเม็ดเลือดใหม่ที่มีศักยภาพเข้าสู่ระบบ
.
และประกาศสนับสนุนการศึกษาฟรีทุกช่วงชั้นตลอดชีวิตให้กับคนไทยทุกคน"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
เป็นเกย์กรุงเทพฯ แต่ไม่เป็นสมาชิกฟิตเนส ไม่มีบัตรเครดิต ไม่มีของแบรนเนมสักชิ้น ไม่ไปพักร้อนที่เสม็ด ไม่เที่ยวสีลมซอย2 ไม่ไปงานTrasher Bangkok ไม่อ่านหนังสือบันทึกของตุ๊ด ถือว่าผิดไหมคะ
ขอพูดมั่งเรื่อง Startup กับ SME.... อย่าด่ากรูนะ
SME เป็นองค์กรธุรกิจขนาดเล็ก (ในไทยถือเกณฑ์ revenue ต่อปีไม่เกิน 200 ล้านบาท) เป็นเรื่องของ Real Sector - ผู้ผลิต ผู้ขายส่ง ขายปลีก ตาม business model ดั้งเดิมของการส่งผ่าน value ไปตาม value chian แบบ Pipe business model คือ จากผู้ผลิต ไป distributor, dealer, retail shop จนถึงผู้บริโภค เป็นส่วนใหญ่ของธุรกิจที่เราดำเนินกันมาหลายร้อยปี
เมื่อมีเทคโนโลยีไอทีเข้ามา...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Software และ Internet เริ่มมีบทบาทในทางธุรกิจมากขึ้น จนหลายปีก่อน Marc Andressen นักลงทุนเจ้าพ่ออินเตอร์เน็ต ได้เอ่ยว่า "Software is eating the world" เพราะมันกินไปทีละอุตสาหกรรม ไม่ว่า เพลง ภาพยนต์ กล้องถ่ายรูป นาฬิกา ฯลฯ
และมันวิวัฒนาการต่อไปจนมากกว่านั้น มีการใช้ IT ไปสร้าง Business Model ใหม่ๆ (ตอนนี้ Business Model ต่างหากที่กำลังแดรกโลก) เช่น Uber, Airbnb ที่ชอบยกตัวอย่างกัน คือ Business Model เดิมมันมีปัญหา แท็กซี่เรียกยาก โรงแรมหายาก ราคาแพง ก็เอาไอทีมาทำ Business Model ใหม่ ในรูปแบบที่เรียกว่า Platform ตัด Supply chain แม่มหมด เอาผู้ให้บริการ มาชน (interact) โดยตรงกับผู้บริโภค โดย Business ใหม่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง (Platform) เล่นเอา อุตสาหกรรม Taxi และ โรงแรม ที่อยู่มาร่วมร้อยๆปี ถอยร่นไม่เป็นกระบวน จนต้องออกมาเดินขบวนกันใหญ่
ไอ้ธุรกิจที่มี Business Model แบบ Platform นี่แหละ มันเลยกลายเป็น trends ใครๆก็เริ่มหาปัญหาใหม่ๆ (จริงๆต้องเรียกว่าปัญหาเก่าๆที่เราเผชิญอยู่มานาน) แล้วก็เขียน Business model ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา
ทีนี้ใครมันจะรู้ว่าไอ้ Business model ใหม่นี่มันจะแก้ปัญหาได้จริงหรือป่าว ก็เลยเกิด phase ที่เรียกว่า "Startup" ขึ้นมา คือมีไอ้บ้าที่คิดว่าอะไรมีปัญหาแล้วก็เขียน Business Model ขึ้นมา แล้วก็ป่าวประกาศ โดยที่เป็นองค์กรที่ยังไม่มีรายได้ มีแต่กระดาษกับคนทำงาน ที่หลายคน "เชื่อ" ว่าความคิดพวกมรึงเจ๋งมาก กรูอยากลงทุนด้วย ก็ให้เงินที่เรียกว่า "Seeding Money" ไปลองทำดู เจ๊งเป็นเจ๊ง แค่อยากลอง
เนื่องจากไอ้ Business Model พวกนี้ถ้ามันคลิ๊ก มันก็จะโตเร็วเลย เรียกว่าสามารถ scale ได้ (ขยายตัวเร็ว) และ duplicate ได้ เช่น Uber ทำในประเทศนึง พอจะทำอีกประเทศนึง ก็ duplicate หรือ ทำซ้ำได้ โดยลงทุนไม่มาก ไม่เหมือนทำ Taxi เพราะไม่ต้องซื้อรถเอง ไม่ต้องจ้างคนขับ ฯลฯ
คนก็แห่กันไปลงทุน แห่กันไปเป็น Startup
บริษัท Startup เมื่อได้ seeding money มาแล้ว มาลองทำดู เมื่อมีรายได้เป็นจริงจังแล้ว ก็พ้นจาก stage ที่เรียกว่า Startup เข้าสู่ stage ของบริษัทธรรมดาสามัญ ที่สามารถระดมทุนต่อไปได้ อีตรงนี้จะเรียก SME ก็ได้ หรือถ้ามันโตเร็วมาก ระดมทุนรอบนี้ได้มาก มันก็ไม่ใช่ SME ถ้าเกินพันล้านดอลล่าห์ ก็เรียกว่า "ยูนิคอร์น" ไอ้หน้าม้ามีเขา นั่นแหละ
ในประเทศที่กรูอยากเท่ ก็คิดว่าเราควรมี Startup ดูบ้าง ก็เลยลองจัดงานดู ทำให้เราส่งเสริม Startup กัน
ยกตัวอย่าง
ลุงจิมขายน้ำพริกหนุ่ม ลุงจิมเป็น SME และมี SME อีกเป็นร้อยเป็นพันทำแบบเดียวกัน
ปัญหาคือคนอยากซื้อน้ำพริกหนุ่ม แต่ซื้อยาก ไม่แน่ว่าถูกใจ อร่อยปากหรือไม่
ลุงจิมเห็นปัญหา คิดเครื่องชิมน้ำพริกหนุ่ม แล้วก็ทำศูนย์รวมน้ำพริกหนุ่ม มีบริการส่งรสให้ชิมทางเว็บ ผู้ใช้เลียหน้าจอแล้วได้รสน้ำพริกหนุ่ม สั่งง่าย ส่งเร็ว มีแคชออนเดลิเวอรี่ ก็เอาไอเดียไป เสนอนักลงทุน นักลงทุนเห็นว่าดี เอ็งเอาเงินไปลองทำดู
ลุงจิมก็กลายเป็น Startup
ถ้าทำสำเร็จ ก็ระดมทุนต่อ เป็น SME ขนาดใหญ่ หรือเป็น ยูนิคอร์น แห่งวงการน้ำพริกหนุ่มไป
ถ้าเจ๊ง ก็ตัวใครตัวมัน ลุงจิมก็กลับมาเป็น SME ขายน้ำพริกหนุ่ม
ทั้งหมดนี้เป็นการเปรียบเปรย เท่าที่รู้ ผิดถูกยังไงก็ท้วงติงกันมานะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์
"คิดว่าสุริยาหีบศพนี่ก็คงอยากจะออกโปรโมชั่นแบบ ซื้อ 3 แถม 1 อะไรงี้น่ะครับ แต่ก็คงเล็งเห็นแล้วว่าน่าจะโดนว่าว่าไม่เหมาะสมแน่ๆ"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
สงกรานต์ถ้าจับนมทีนึงจะโดนปรับ20,000 แต่ถ้านำเงิน20,000 ไปเปิดเมม จะได้เหล้าด้วย และจับนมอีกกี่ทีก็ได้
#ใช้เงินให้เป็น
เคยดูตีสิบนานมาเเล้ว อ.เฉลิมชัยแกเล่าว่า
ซื้อรถเบนซ์เพราะมีคนมามองเเกเหยียดๆตอนแกขี่มอเตอร์ไซค์
แต่เเกขับรถไม่เป็น เลยจอดรถเบนซ์ไว้เฉยๆ
ไม่รู้ป่านนี้แกขับรถเป็นหรือยัง..แกยังบอกว่าโง่มากที่ไปสนใจคนๆนั้น
เราล่ะอึ้งเลย..
เมื่อวานมีนัดคุยเรื่องงานที่เซ็นทรัลพระรามเก้ากับเจ้าของสินค้าตัวนึงตั้งแต่สองทุ่มจนเที่ยงคืน
แต่กว่าสามชั่วโมงคือการอธิบายถึงสภาวะของการทำสมาธิและการแยกอารมณ์ให้เค้าเข้าใจ เพราะผมเองก็อธิบายเค้าไม่เก่งเลยแนะนำว่าการฝึกขั้นตอนไหนต้องไปปรึกษาหลวงพ่อวันไหนแทน
เรื่องมันเริ่มมาจาก คุยงานอยู่แล้วแกก็บอกผมว่า ด้วยเงินที่มีตอนนี้กับที่จะหามาอีกในอนาคต รวมแล้วเท่านี้ พออายุ 40 แกจะบวชและทิ้งเงินก้อนนี้ให้เป็นสาธารณะกุศลซึ่งความคิดเราสองคนตรงกันมาก
เลยถามว่าที่ตัดได้นั่นเพราะว่าได้อารมณ์จากการทำสมาธิมาถึงขั้นไหนแล้ว เลยผลัดกันเล่า
ของผมฟังเค้าเล่าก่อน แล้วเค้าเลยถามผมบ้างก็เลยเล่าให้ฟังว่าชอบอ่านหนังสือมาก อ่านจนเกือบครบทุกเล่มในห้องสมุดและตัวเองก็เข้าออกโรงพยาบาลบ่อย แต่เข้าใจว่าเป็นกรรมเก่า และการทำสมาธิภาวนาจะทำให้กรรมเบาบางได้ เลยหัดฝึกมาตั้งแต่เด็ก ตอนอยู่กับแม่ฝึกตอนวันหยุด วันละ 3-4 ชม พอมาอยู่คนเดียวก็ทำมาเรื่อยๆ
และอธิบายเป็นตารางว่าอารมณ์ตอนนอนโรงพยาบาลแบบรู้สึกว่าเราจะจากโลกนี้ไปโดยทิ้งแต่ร่างกายไว้ กับการทำสมาธิแต่ละขั้นเหมือนกันยังไง โดยเริ่มตั้งแต่ อาการ ตาพร่า หมดแรง ร้อนกลางอก หูอื้อ ปากหูดับ เทียบกับ การทำสมาธิ ซึ่งก็แนะนำหลวงพ่อที่สอนผมไปด้วยแม้บางองค์จะละสังขารไปนานแล้ว
ของผมไม่ได้ฝึกพุทโธ แบบพี่เค้า แต่เล่นกสิณมาตลอด เริ่มแรกคือไฟเพราะแม่เคารพหลวงพ่อโอภาสี ต่อมาก็กสิณน้ำมีพระอาจารย์ที่ไปบวชที่วัดพระรามเก้าสอน ต่อมาก็ฝึกกสิณลม ที่วัดหินหมากเป้งสอนมา จนตอนนี้ ภาวะหูดับ ใจดับ สามารถทำให้เราอยู่ในสภาวะไม่รู้อะไรเลย
เลยชวนกันไปฝึกสมาธิแบบแทบไม่ได้คุยธุรกิจซะงั้น แต่บอกเทคนิคไปเยอะมาก ตอนนี้พี่เค้าขยับจาก 2 ชมมาเป็น 1 วันได้แล้ว และเค้าบอกว่าอยากได้ทำได้แบบผมทีละ 2-3 วัน แต่ผมบอกให้เค้าใจเย็นๆเพราะเค้าต้องมีครูอาจารย์สอนด้วย และมีศีลสม่ำเสมอ เค้าเลยบอกผมว่าเค้าถือศีล 10 มาหลายปีแล้ว และกินอาหารมื้อเดียวใน วันพระ กับวันเกิด (ทุกวันจันทร์)
บอกตรงๆว่าหายากมากที่จะเจอคนแบบนี้และได้มาร่วมงานกัน ช่วงนี้รู้สึกว่าโชคชะตาพาให้มาเจอคนแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
"คบคนเช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้น"
มันเป็นเรื่องของ mindset
"สถานะ" ว่าเราเป็นอะไร มันเป็น "ผลลัพธ์" ที่เกิดจาก "กระบวนการ" และ/หรือ "วิธีการ" ซึ่งตัวกระบวนการและวิธีการเองก็เป็น "ผลลัพธ์" ที่ตั้งต้นจาก mindset อีกทีหนึ่ง
โบราณท่านว่า "คบคนเช่นไร ย่อมเป็นเช่นนั้น" ไม่ใช่เพราะมันจะทำให้เรามีสถานะเช่นนั้นทันที
แต่มันจะทำให้เรามี mindset แบบนั้น เป็นจุดตั้งต้น
คบคนเก่ง ไม่ทำให้เราเก่งไปในทันที หรือแปลว่าเราก็เก่ง (สถานะ) และ ณ วันที่เรายังไม่เก่ง ไปทำตัวเก่ง (วิธีการ) ก็ไม่มีวันเก่ง ก็จบกัน ... แต่ถ้าเราเริ่มเรียนรู้ mindset .... สักวันหนึ่งเราอาจจะเก่งด้วย
ความเก่ง เป็น mindset ไม่ใช่เงินเดือน ปริญญา หรือคะแนนสอบ
ความรวย เป็น mindset ไม่ใช่รายได้ เงินในบัญชี ทรัพย์สินสมบัติ
ความสำเร็จ เป็น mindset ไม่ใช่ถ้วยรางวัล การถูกยกย่อง
Entrepreneur เป็น mindset ไม่ใช่การเป็นเจ้าของกิจการ
คบคนเช่นไร ย่อม "eventually" เป็นเช่นนั้น
eventually ... ไม่ใช่ now
สิ่งสำคัญของความรักที่มีความสุขคืออะไร ?
สำหรับเรา เราคิดว่า สิ่งสำคัญของมันคือ ความรักต้องเป็นสิ่งเดียวกับความจริง มันถึงจะมีความสุขอย่างแท้จริง
ไอ้พวกความรักแบบหลอกตัวเองว่าเขารัก หลอกตัวเองว่าไม่มีอะไร ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่ามี
ถามจริงๆเถอะ มีความสุขจริงเหรอ ในเมื่อก็รู้ๆอยู่ว่าเขาไม่ได้จริงใจกับเรา ที่เห็นๆนี่คือการสร้างภาพ
คนที่มันไม่ดีเนี่ย ถ้ามันจะไปก็ให้มันไปเถอะ เก็บไว้ทำไม
ที่จริงเรื่องการเมิองนี่กูขอให้คนทั่วไปต้องเข้าใจก่อนว่ามีงเกิดมาเป็นประชากรแล้วทีหน้าที่ทำให้สังคมมันดีขี้นๆไปสร้างสภาวะที่ดีให้ลูกหลายสืบต่อไปจะได้สู้กับรัฐอื่นๆได้ ถ้าจะพูดไปคือคนที่คิดว่ากูดีในตัวลอยตัวเหนือปัญหาการเมืองมันก็ผิดอ่อนๆเหมือนกันตรงที่มีปัญญาทำให้สังคมดีขี้นแต่ดันละทิ้งปล่อยให้พวกเหี้ยๆมันครองอำนาจ
ไอ้พวกมาแนวอ่าห์กูฟินจังเลยที่นั่งสมาธิได้ขั้นนู้นขั้นนี้มันเป็นความสุขแบบสันโดษไปหน่อยไม่ต้องมาอวดคนที่ยังไม่ถึงแบบมึงหรอก เพราะสังคมยังต้องการคนปฏิบัติแบบอุทิศตนอีกเยอะ
Myth อย่างหนึ่งของ Tech Startup คือ "ใช้คนน้อย ไม่กี่คนก็เกิดได้" แล้วก็คิดเท่ๆ โดยการเอาตัวอย่างพวก Facebook, Instagram ที่เกิดจาก Founding Team แค่ไม่กี่คน มาเป็นตัวรับรองว่ามันจริง
จริงๆ มันเป็นภาพลวงตาครับ .... จำนวนคนไม่เกี่ยวข้องขนาดนั้นมาตั้งแต่ต้น .... ต้องถามว่า "ประสบการณ์รวมของคนเหล่านั้นน่ะ เท่าไหร่"
ไม่ใช่จะเริ่มจากมี Business Idea ที่มันโคตรจะ Killer แต่ไปหาโปรแกรมเมอร์เด็กจบใหม่ที่ไม่เคยทำงานจริงจังมาทีมนึง 3-4 คน แล้วคิดว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้
ถ้าคิดแบบนั้น ก็ฝันไปเถอะ ฝันอย่างเดียวเท่านั้น
มันต้องใช้คนน้อยที่สุด (ไม่งั้น Bootstrap ช่วงแรกลำบาก ทีมใหญ่เกินไป) ที่ประสบการณ์ (ในด้านที่เกี่ยวข้องนะ) รวมกันแล้วเพียงพอ (มากที่สุดเท่าที่จะมากได้)
ถ้าดูแค่จำนวนคนอย่างเดียว มันก็ misleading พอๆ กับบอกว่า steve jobs, bill gates, mark zuckerberg ไม่จบมหาลัย
ตัวอย่างการเขียน E-mail แบบญี่ปุ่น
เรียน K ซังที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณที่สละเวลาอ่านจดหมายอันออกจะยืดยาวนี้ของผม
ตอนนี้อากาศร้อนขึ้นอีกแล้ว K ซังสบายดีหรือเปล่าครับ ผมสบายดี
เมื่อวานนี้เจ้าแมวสามสีเดินผ่านหน้าบริษัทของเราอีกแล้ว จากโต๊ะทำงานของผมมองเห็นมันค่อยๆก้าวไปบนกำแพงได้อย่างชัดเจน ท่าทางเดินอย่างองอาจ ว่องไว ไปพร้อมๆกับระมัดระวังของมันนั้นนั่นทำให้ผมละลึกถึง K ซังขึ้นมา และเป็นความโง่เงาของผมอย่างที่สุดที่พึ่งตระหนักได้ว่าทางเราหาใบเสนอราคาที่ K ซังส่งมาให้แล้วไม่พบ
ทางเราจึงต้อง ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง ที่ไม่ได้ตรวจเช็คให้รอบครอบจึงอาจจะทำใบเสนอราคาที่ K ซังส่งมาแล้วหายไป โปรดให้อภัยกับความผิดพลาดของทางเรา และหากว่าจะกรุณา ทางเราต้องขอกรุณาให้ K ซัง ได้โปรดส่งใบเสนอราคามาอีกครั้งได้หรือไม่ครับ?
และหากเป็นไปได้ ถ้าKซังพอจะหาช่วงเวลาที่สะดวกใจในช่วงสิ้นเดือนนี้ได้ ท่านประทานของทางเราก็มีความประสงค์ที่จะไปขออภัย K ซังโดยตรง และอาจจะได้พูดคุยถึงเรื่องหมากล้อมซึ่งท่านประทานของเราสนในและ ทราบว่า K ซัง เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้
ขออภัยที่ทำให้เสียเวลาอันมีค่า ด้วยเรื่องราวไร้สาระของทางเราครับ และขอความขอบใจความช่วยเหลือที่มีให้กันมาโดยตลอด
ด้วยความเคารพนับถืออย่างหาที่สุดมิได้
ทานากะ
+++++++++++++
แปลว่า ไอ้สัส มึงยังไม่ส่งใบเสนอราคานะเว้ย รีบๆส่งมา กูให้เวลามึงถึงสิ้นเดือน
โพสต์นี้จาก wit.ai (บริษัทที่เฟซบุ๊กซื้อมา 15 เดือนก่อนเปิดตัว Messenger Platform) อธิบายการทำงานของ Bot Engine ที่เฟซบุ๊กใช้ใน Messenger Platform
มีสองคอนเซปต์หลัก คือ Stories กับ Action
Stories คือตัวอย่างของบทสนทนา ที่จะไปแมตช์กับบทสนทนาจริงๆ และทำให้รู้ว่าจะมี Action อะไรเกิดขึ้นได้บ้างจากการคุยนี้
การทำงานของ Bot Engine จะใช้ Stories เหมือนเป็นกฎในการทำงาน ซึ่งก็คือ expert system แบบสมัยก่อนนั่นแหละ เขียนกฎขึ้นมารองรับ use case ต่างๆ
ความต่างระหว่าง Stories กับกฎทั่วไปก็คือ ในระบบ AI แบบ rule-based มันจะเจอปัญหาในการออกแบว่า จะทำกฎไหนก่อนหลัง แล้วถ้ากฎมันขัดกันจะทำยังไง (ความต่างระหว่าง rule-based กับ data-based หยาบๆ ก็คืองี้: rule-based มีกฎน้อยๆ ก็ทำงานได้แล้ว เวลาผ่านไปพอมีกฎเยอะๆ จะปวดหัว จะเพิ่มความฉลาดได้ยาก vs data-based มีข้อมูลน้อยๆ ยังทำงานไม่ได้ ต้องมีข้อมูลเยอะถึงระดับนึงจึงจะเริ่มทำงานได้ พอเวลาผ่านไปจะยิ่งฉลาด)
แต่ใน Bot Engine ตัว Stories มันกึ่งๆ rule กึ่งๆ data คือถ้า Stories ไหนยังไม่มีข้อมูลมาช่วย มันก็จะทำงานเหมือน rule ปกติ แต่พอเวลาผ่านไป พอมีข้อมูลบทสนทนาจำนวนนึงแล้ว ก็จะเอาข้อมูลมาช่วยด้วย ผมเข้าใจว่ามันคือ weighted rule น่ะแหละ
ซึ่งการทำแบบนี้มันก็ไม่ต้องสนใจว่า Stories มันจะขัดกัน ก็ปล่อยมันขัดไป แต่เดี๋ยวตอนทำงาน เครื่องมันจะตัดสินใจได้ว่าจะใช้อันไหนตอนไหน จากน้ำหนักที่ได้จากข้อมูล
แน่นอนว่า Stories (rule) พวกนี้นี่ไม่จำเป็นต้องให้คนเขียน แต่คอมมันเรียนเองได้ แต่จะเรียนได้ดีก็ต้องมีคนมาช่วยไกด์หน่อย (และ Bot Engine เปิดให้ทำตรงนี้ผ่าน Wit Inbox คอนเซปต์ที่สามที่อธิบายในโพสต์นั้น) ที่ผ่านมาข้อมูลการสนทนานั้นเฟซบุ๊กมีอยู่แล้วมหาศาล แต่การเปิด Messenger Platform และให้คนทำบอตผ่าน Bot Engine ของตัวเอง (ไม่เหมือนแพลตฟอร์มอื่นที่ให้นักพัฒนาไปทำข้างนอก) จะทำให้เฟซบุ๊กมี Stories (rule) ไปเรียนได้อีกเยอะ
คือต่อไปจะไม่ใช่แค่ผู้ใช้ที่แชตๆ ที่ทำงานให้เฟซบุ๊ก แต่นักพัฒนาของบริการต่างๆ ที่ใช้ Bot Engine ก็จะทำงานให้เฟซบุ๊กด้วย tongue emoticon
https://wit.ai/blog/2016/04/12/bot-engine
ใครจะค้นต่อเรื่องพวกนี้ลองคีย์เวิร์ด question answering system
ซึ่งก็เหมือนกับระบบ NLP ทั่วไปที่มันจะมี 2 ส่วน คือ natural language understanding (NLU) กับ natural language generation (NLG) เข้าใจว่าบริการทั่วไปของแชตบอตอย่างที่เฟซบุ๊กโฆษณาอยู่ คงไม่ต้องใช้ NLG ที่ซับซ้อนมาก เอาคำยัดใส่ลงเทมเพลตที่เตรียมไว้ล่วงหน้าก็น่าจะได้ (กรณีของ CNN ที่เป็นบริการข่าว น่าจะไปทับกับสาขาที่ตอนนี้ก็เริ่มมีใช้แล้ว คือ robot journalism)
ถ้าสนใจหาข้อมูลไปเล่น ใน TREC มี QA Track อยู่ด้วย ไปโหลดมาเล่นได้
http://trec.nist.gov/data/qa.html
(ของภาษาไทย BEST ยังไม่เคยเปิดแข่งระบบตอบคำถาม แต่อนาคตก็ไม่แน่นะ http://thailang.nectec.or.th/best/ )
ที่ลุงโพสเรื่อง Startup ติดต่อกันมายืดยาว ไม่ใช่เพราะอวยหรือชื่นชม Startup จริงๆแล้วลุงค่อนข้างจะรังเกียจ Startup ด้วยซ้ำไป...
ความเห่อบ้าคลั่งของเรื่อง Startup นอกจากทำให้ร้านกาแฟที่ลุงชอบนั่งเต็มไปด้วยไอ้เด็กฝันเฟื่องทั้งหลายจนหาที่นั่งไม่ค่อยได้แล้ว มันยังนำมาซึ่งหายนะหลายอย่างในสังคมและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศที่เต็มไปด้วยความฉาบฉวย แห่ตามกันไปทำโดยไม่ยั้งคิด และขาดความรู้โดยสิ้นเชิง
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการเกิดทัศนคติที่ว่า ถ้าเป็น startup แล้ว ทำงานน้อย หาเงินได้มาก โดยธรรมชาติของ Startup Business Model ที่เล่ามาแล้วในสองโพสที่แล้ว มันมีความ "ได้เปรียบ" คนที่ทำ real sector อยู่แล้ว เช่น ที่เห็นความขัดแย้งระหว่างคนขับ Taxi กับ Uber ที่เกิดขึ้นทั่วโลก หรืออย่างเว็บไซต์ e-commerce ขนาดใหญ่ที่ระดมทุนมหาศาลมาเพื่อ subsidise ราคาสินค้าจนสามารถขายสินค้าต่ำกว่าทุนได้ และทำให้ supplier ตายไปตามๆกัน ยังไม่นับอาชีพตาม Pipe Supply Chain ที่ทะยอยล้มหายตายจากไปอีกมหาศาล
ไอ้ทัศนคติที่ว่าเป็น Startup แล้วทำงานน้อยได้เงินมาก กำลังจะฆ่าสังคมและระบบเศรษฐกิจของเราเอง
และเมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลต้องการสนับสนุนให้เกิด Startup จำนวนมาก มีเงินมาแจกให้รายละหลายแสน เพื่อสร้าง Startup ผมยิ่งรู้สึกกลัวว่าเยาวชนเรากำลังเข้าสู่กับดักของความอยากมีอยากได้แต่ไม่อยากทำงาน
ผมคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลควรจะทำคือการหามาตรการให้เกิด Startup จำนวนหนึ่งที่เป็นจริงได้ และในขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมป้องกันให้ธุรกิจใน real sector สามารถคงอยู่ต่อไปได้ การส่งเสริม SME และ OTOP เป็นเรื่องที่ยังควรที่จะต้องทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นรากฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่
ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลอาจจะมีความคิดล้ำเลิศ จึงเอาเรื่อง Startup มายำรวมกับเรื่อง SME และ OTOP จนมันมั่วกันไปหมด ไม่รู้จริงๆว่าไอ้งาน Thailand Startup ที่กำลังจะเกิดขึ้นมันจะเป็นยังไงต่อไป จะออกมาในรูปแบบไหน
ผมได้แต่หวังว่า บทความที่เขียนมาทั้งสามโพส จะนำมาซึ่งความเข้าใจของคนที่ได้อ่าน และทำให้เรื่องราวพวกนี้ได้รับการจัดการ และส่งเสริมไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ให้มากที่สุด
การเป็น Startup อาจเป็นเรื่องเท่ ได้รับเงินลงทุนมหาศาลโดยไม่ยาก สิ่งสำคัญที่สุดคือเมื่อได้รับทุนแล้ว เอ็งช่วยลุกออกจากร้านกาแฟ กลับไปห้องทำงานเพื่อทำงานจริงๆซะที เหมือนอย่างที่มาร์ค (Blognone) เคยโพส
ลุงทำงานไอทีมานาน และยังคงเป็น SME เพราะหลงไหลในเรื่องความเป็นเลิศทางวิชาการ และก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการเกิดขึ้นของ startup นักหนา มันก็แค่ทำธุรกิจอีกแบบ
หวังว่าที่เขียนมาคงเป็นประโยชน์...
มิตรสหายลุงท่านหนึ่ง
นั่งฟังท่านผู้นำบอกว่าคนตัดหญ้า ชาวนาโง่ ไม่เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยแล้วตลกดี
อันที่จริงเป็นเรื่องจริงที่คนไทยเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยกันน้อย แต่พวกที่ไม่เข้าใจจริงๆไม่ใช่รากหญ้าหรอก แต่เป็นพวกชนชั้นกลางในเมือง
สิ่งที่เรียกว่ารัฐคือการเอาภาษีมากองกันเป็นกองกลาง การปกครองคือการตัดสินว่าจะเอาเงินกองกลางเนี่ยไปทำอะไรดี
ทุกคนต่างก็อยากเอาเงินมาใช้เพื่อตัวเองทั้งนั้น ประชาธิปไตยคือการที่เราถือว่าทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเท่าๆกัน ดังนั้นจึงตัดสินว่าจะใช้เงินกองกลางอย่างไร ผ่านการตัดสินโดยเสียงส่วนใหญ่
คนต่างจังหวัดคุ้นเคยกับระบบนี้มากกว่า เพราะหลังจากการกระจายอำนาจของรัฐธรรมนูญ 40 เป็นต้นมา ชีวิตประจำวันของเขาก็อยู่กับระบบแบบนี้
ถนนจะตัดผ่านบ้านไหน ที่ไหนจะได้อ่างเก็บน้ำ จะปล่อยน้ำเมื่อไหร่ ประปาไฟฟ้าจะมาหรือไม่ จะสร้างตลาดที่ตรงไหน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งท้องถิ่น
การหาเสียงคือการสัญญาว่าจะใช้เงินภาษีไปทำอะไรบ้าง ส่วนการเลือกตั้งคือการสนับสนุนการใช้อำนาจปกครองให้เป็นไปดังที่โฆษณา
การบอกให้ไปเลือกคนดีนั้นเป็นสิ่งที่ตลก เพราะเราไม่รู้เลยว่าคนดีจะเอาเงินภาษีและอำนาจไปทำอะไร เราไม่รู้ว่าคนดีจะสร้างถนนผ่านหน้าบ้านเรามั้ย คนดีจะทำอ่างเก็บน้ำที่ไหน
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่คนดีทำก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนดี ไม่ใช่ประโยชน์ของมหาชนเลย คนแบบนี้เก็บไว้ในวัดนั่นแหละดี ไม่เหมาะจะให้ใช้ภาษีของทุกคน
ชนชั้นกลางมีความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยต่ำมาก ส่วนใหญ่แทบไม่ได้ไปประชุมเลือกกรรมการคอนโดของตัวเองด้วยซ้ำ เท่าที่ผมเห็นส่วนใหญ่เอาแต่บ่น แต่ไม่ยอมไปประชุมกรรมการคอนโด แล้วมันจะได้อย่างที่บ่นมั้ยล่ะ
วิธีอยากได้สิ่งที่คุณต้องการจากเงินส่วนกลาง คือการไปบอกนักการเมืองของคุณ (ชนชั้นกลางอาจจะไม่รู้จักแต่ชาวบ้านเขารู้ดีว่าต้องไปหาใคร) และต่อรองด้วยคะแนนเสียงเลือกตั้ง นี่แหละคือประชาธิปไตย
สมมุติว่าอยากให้ฟิตเนสเปิดถึงเที่ยงคืนเพราะทำงานดึก ก็ไปเคาะประตูหาคนลงชื่อสักห้าสิบคน แล้วไปประชุมบอกว่า เนี่ย ผมมีห้าสิบรายชื่อที่เลิกงานดึก เราน่าจะเอาเงินส่วนกลางไปจ่ายโอทียามดูแลฟิตเนสแล้วเปิดมันดึกๆนะ ถ้าพี่ทำได้ เดี๋ยวสมัยหน้าผมเลือกพี่เป็นกรรมการอีกรอบ... หรือถ้าคอนโดคุณคนน้อยหน่อย เป็นแบบประชุมทางตรง คุณเสนอไป คนเห็นด้วยเกินครึ่งที่เข้าประชุม ก็ได้ตามต้องการแล้ว ก็แค่นั้นเอง
เพราะมันไม่มีเทวดาที่จะรู้ทุกเรื่อง ทำดีตามใจคุณทุกอย่าง สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือไปบอกมัน แล้วบีบบังคับต่อรองให้มันทำในสิ่งที่คุณต้องการ
คนต่างจัดหวัด ชาวบ้านที่ห่างไกล เข้าใจสัจธรรมนี้ดี จึงรู้ว่าการเลือกตั้งทำให้ชีวิตดีขึ้นเพียงใด แต่ชนชั้นกลางเมืองไม่เคยรู้เลย และยังหวังโง่ๆว่าจะมีเทวดาอยู่จริงบนโลกนี้
เหตุผลที่รัฐธรรมนูญของท่านผู้นำมันจัญไรเพราะว่ามันทำลายระบบการต่อรองที่สมบูรณ์ และมอบอำนาจให้ใครไม่รู้ที่คุณต่อรองกับมันไม่ได้แทน
สมมุติว่าคุณอยากได้อ่างเก็บน้ำ โดยทั่วไป คุณก็รวมตัวกันจำนวนมากส่งเรื่องไปที่นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองท้องถิ่นก็จ ส่งเรื่องไปที่ สส. จากนั้น สส. ก็จะไปล็อบบี้เอางบมาจากสภา หรือเอาไปเสนอ ครม. นายกฯ ถ้ามันไม่ทำให้ คุณก็บอกว่า "ครวย ไหนมึงว่าจะไปเอางบทำอ่างเก็บน้ำให้ สมัยหน้ากูไม่เลือกให้แม่งละ มึงไปขอข้าววัดแดรกเอาละกันสมัยหน้า"
แต่รัฐธรรมนูญใหม่ของท่านผู้นำ ทั่น สว.ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ อาจจะปัดตกด้ือๆ หรือว่านายกฯ อาจจะมาจากไหนก็ไม่รู้ ก็ไม่ต้องฟัง สส.
แล้วแบบนี้อยากได้อ่างเก็บน้ำต้องไปคุยกับใครล่ะ?
ประเทศเป็นของคุณ อ่างเก็บน้ำก็อยู่หน้าบ้านคุณ แต่ถ้าอยากได้ก็ต้องรอว่าวันนึง คนดีเขาจะนึกขึ้นมาว่าน่าจะอ่างเก็บน้ำให้หมู่บ้านนี้นะ งั้นเหรอ
ฝันไปป่ะ ท่านผู้นำแกขี้มอไซค์เล่นในทำเนียบ เขาไม่รู้จักบ้านคุณด้วยซ้ำ แกก็พูดอยู่ทุกวันว่าแกไม่แคร์ฐานเสียง
ประเทศนี้นะ ผู้ชาย ลูกเล็กเด็กแดง วัยรุ่น คุณลุง อาแปะ นุ่มผ้ขาวม้าเดินเปลือยท่อนบนในชุมชนเพราะอากาศร้อน คนเปลือยท่อนบนลงคลอง ลงแม่น้ำ ลงทะเล ลงน้ำตก เล่นน้ำจับปลา ถ่ายรูปลงเซเชียลกันสนุกสนาน มีกิจกรรม อีเวนต์ และสารพัดมากมายที่เห็นผู้ชายโชว์ท่อนบน บ้างก็มีแค่กางเกงในตัวเดียวเดินกันกลางห้าง ไม่เคยมีปัญหาอะไร แถมยังกรีดร้องกันอยากได้มาเป็นผัวกันอีกต่างหาก
จู่ ๆ วัน3 วันมานี้ ผู้ชายไม่ใส่เสื้อสาดน้ำวันสงกรานต์โดนข้อหาอนาจารในที่สาธารณะจ้า
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
เกร็ดความรู้
ประเทศไทยรับเอาวัฒนธรรมวิคตอเรียนที่รังเกียจและปิดกั้นเรื่องเพศเข้ามาในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะว่าชาวบ้านไทยในสมัยนั้นผู้หญิงเดินนมหกหัวนมดำกันเป็นเรื่องปกติ วัฒนธรรมการปกปิดร่างกายของชาวไทยจึงเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นเพื่อไม่ให้พวกฝรั่งมองว่าคนไทยเราไม่ศิวิไลศ์
ณ ปัจจุบันปี 2016 ยุคที่ฝรั่งมังค่าก้าวข้ามผ่านวัฒนธรรมวิคตอเรียนไปไกลแล้ว รู้จักเรื่องสิทธิ์มนุษยชน ความเท่าเทียมกันทางเพศ สิทธิของเพศทางเลือก ประเทศไทยกลับคิดว่าการรักนวลสงวนตัว การปิดปิดร่างกายที่เราไปรับมาจากฝรั่งมาทั้งดุ้นนั้นเป็นวัฒนธรรมอันดีงามของชนชาติไทยแต่โบราณ แถมยังเหยียดหนามฝรั่งที่แต่งตัวไม่ปกปิดมิดชิดว่าไร้อารยธรรม นุ่งบิกินี่สมควรโดนข่มขืน ล่าสุดแม้แต่หัวนมผู้ชายก็สั่นสะเทือนศีลธรรมและความดีงามของสังคมได้
ขอประเทศไทยจงเจริญ
ขอเรียกอาการของคนส่วนใหญ่ ( คนไทยน่าจะเป็นเยอะ!!! ) ที่แก้ยาก แก้ไม่ค่อยจะหาย ว่า
' ใกล้เกลือกินด่าง syndrome '
อะไรดีๆมีประโยชน์
ที่อยู่ใกล้ตัว ที่หาได้ง่ายๆ ไม่แพง
มักถูกมองข้าม หรือไม่เชื่อในสรรพคุณ
เมื่อ 17 ปีก่อน
Kamal Meattle
พำนักที่ Delhi ประเทศอินเดีย
สภาพอากาศใน Delhi มีมลภาวะสูง ละอองฝุ่นผงมีปริมาณสูง ทำให้ Kamal ป่วยเป็นโรคแพ้อากาศรุนแรง แพทย์ประจำตัวทำการตรวจปอดอย่างละเอียด ปรากฎว่า อาการแพ้ทำให้ปอดทำงานได้เพียง 70% เท่านั้น หากไม่ทำการรักษา อาการจะยิ่งทรุดถึงขั้นเสียชีวิตได้
Kamal Meattle ลงมือหาข้อมูลทันที เพื่อฟื้นฟูสุขภาพตนเอง เขาได้รับการช่วยเหลือด้านคำแนะนำ/ผลการทดลองต่างๆจาก :
IIT : Indian Institutes of Technology
TERI : The Energy and Resources Institute
และ NASA
เขาค้นพบว่า เราสามารถปรับ/เพิ่มคุณภาพอากาศภายในอาคารได้ เพื่อสุขภาพของผู้พักอาศัย ด้วยการปลูกต้นไม้ 3 ประเภทนี้ :
1. Areca Palm - ปาล์มหมาก
2. Mother-in-law's Tongue - ลิ้นมังกร
3. Money Plant - พลูด่าง
• ปาล์มหมาก
มีประสิทธิภาพสูงในการขจัด คาร์บอนไดออกไซด์ แล้วแปลงเป็นออกซิเจน
เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพ/ผล ต้องปลูกปาล์มหมาก ความสูงขนาดเท่าหัวไหล่ผู้ใหญ่ จำนวน 4 ต้น/คน
( หมั่นเช็ดใบให้สะอาด และนำออกรับแดดกลางแจ้งทุกๆ 3-4 เดือน )
• ลิ้นมังกร
มีประสิทธิภาพในการปรับคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นออกซิเจน โดยเฉพาะช่วงกลางคืน จึงมักปลูกในห้องนอน เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์ยามพักผ่อน
เพื่อประสิทธิภาพ/ผล ต้องปลูกลิ้นมังกร ความสูงเท่าเอว จำนวน 6-8 ต้น/คน
( จากการวิจัยของ NASA : ต้นลิ้นมังกรมีคุณสมบัติพิเศษ ช่วยปรับคุณภาพอากาศภายในห้องได้ดี นิยมปลูกในห้องนอน จนได้รับฉายาว่า bedroom plant )
• พลูด่าง
มีคุณสมบัติขจัด formaldehyde ( ชื่อที่คุ้นๆ คือ ฟอร์มาลีน - น้ำยาอาบศพ ) และสารเคมีอื่นๆที่ระเหยง่าย ( volatile chemicals )
Kamal Meattle ทำการทดลองปลูกต้นไม้สามประเภทนี้ ในอาคารเก่า ( 20 ปี ) เนื้อที่ 50,000 ตารางฟุต มีผู้พักอาศัย 300 คน ต่อต้นไม้สามประเภทนี้จำนวน 1,200 ต้น
ภายในเวลา 10 ชั่วโมง ปริมาณออกซิเจนในระบบเลือดสูงขึ้นถึง 42%
และทำการทดลองต่อเนื่อง ปรากฎว่า โรคระคายเคืองตาของคนในอาคารนี้ ลดลง 52% โรคระบบทางเดินหายใจ ลดลง 34% โรคปวดศีรษะ ลดลง 24% โรคปอด ลดลง 12% โรคหืดหอบ ลดลง 9%
หยุดดูแคลนต้นไม้ที่แสนจะธรรมดาสามประเภทนี้
แม้ชื่ออาจไม่เก๋
ไม่มีนัยยะทางมงคล ไม่เสริมดวง
ไม่มีคำว่า รวย-ทอง-เศรษฐี-ฯลฯ
ราคาไม่แพง-ไม่สูงค่าพอจะนำไปพูดอวดกันใน FB
แต่ต้นไม้พื้นๆสามประเภทนี้ ให้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม...อย่างมหาศาล
หามาปลูกกันเถอะ !!!
Kamal Meattle : How to grow fresh air
http://youtu.be/gmn7tjSNyAA
"บริษัทรูออนไลน์ควรหยุดโกหกลูกค้าเรื่องบริการหลังการขายครบวงจรหรือบริการ 24 ชั่วโมง วันนี้เป็นอีกครั้งที่เจอประสบการณ์แย่ๆ จากรู เพราะแจ้งเรื่องเราเตอร์เสียตั้งแต่สามโมงกว่า รูบอกจะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับมา รอจนหกโมงยังไม่มีใครติดต่อเลย สรุปคือในสามชั่วโมงโทรหารูสองครั้ง อีเมลหนึ่ง และแชทอีกสอง ทุกครั้งต้องแจ้งปัญหาใหม่หมดตั้งแต่ต้น แต่ไม่มีคนรูติดต่อกลับ เท่ากับโดนเจ้าหน้าที่รูโกหกสี่ครั้งในสามชั่วโมง
เจอแบบนี้ทำให้เข้าใจเลยว่าทำไมลูกค้ารูเกลียดรู คือบริการไม่ได้ความก็เรื่องนึง ไม่บริการ 24 ชั่วโมงจริงก็อีกเรื่อง แต่ที่แย่ที่สุดคือโกหกลูกค้าซ้ำซากในเรื่องเดียวกันโดยเจ้าหน้าที่รูสี่คนแบบนี้
ทั้งที่ลูกค้าจ่ายเงินซื้อบริการคุณ แต่รูกลับทำเหมือนลูกค้าไปขอทาน ส่วนเรื่องบริการไม่เป็นอย่างโฆษณาก็คือการโกง"
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
ผู้เฒ่าเก็บเศษขยะ ทิ้งมรดกสิ่งหนึ่งไว้ให้คนตะลึง !!
เรื่องจริง..ที่แขร์กันมากในไลน์ อ่านหลายครั้งก็ยังซึ้งใจ
- - - - - - - - - -
ห้องสมุดหางโจว เปิดโอกาสให้คนเร่ร่อนเก็บเศษขยะขาย สามารถเข้ามาอ่านหนังสือได้ แต่ต้อง "ล้างมือ" ให้สะอาดก่อนถึงจะเข้าได้ , ผู้เฒ่าคนนี้มีชื่อว่า " อู๋ย ซือ เฮ้า " เป็นคนหนึ่งที่ขอร่วมเข้ามาอ่านหนังสือ เขาตั้งอกตั้งใจอ่านข่าวสารอย่างจริงๆจังๆ จนทุกคนต่างยกย่องให้เป็นคนเร่ร่อนที่ใฝ่หาความรู้อย่างแท้จริง .. จนได้ฉายานามว่า ผู้ เ ฒ่ า นั ก อ่ า น ...
.
ปัจจุบัน เขาหมดลมหายใจแล้ว เหตุเพราะหลายวันก่อนเดินข้ามถนนถูกรถชนจนเสียชีวิต เมื่อเขาตาย เรื่องราวชีวิตก็ได้ถูกเปิดเผย ความลับนี้ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึงและหลั่งน้ำตาไปตามๆกัน
.
- - - - - - - - - -
ประวัติของเขาจบมหาวิทยาลัย ปี 1960 ก่อนเกษียนอายุเป็นอาจารย์สอนใน รร.มัธยม ยังชีพด้วยเงินบำนาญไม่มากมายนัก และเขาก็เก็บขยะประทังชีวิตไปวันๆ ..
เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของเขา ล้วนแต่ไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย .. แต่กลับพบใบอนุโมทนาบัตร ที่บริจาคเงินเพื่อทุนการศึกษา ซึ่งเขาเก็บไว้จนกลายเป็นสีซีดเหลือง และการ์ดไปรษณียบัตรที่ส่งมาจากที่ต่างๆ ลงชื่อของผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากเขา แจ้งผลการเรียนทุกเทอมกลับมาให้เขาทราบทุกฉบับ
- - - - - - - - - -
pacman emoticon pacman emoticon
แท้จริง .. ผู้เฒ่าต้องการประหยัด กินน้อย- ใช้น้อย มอบเงินที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมกับเงินบำนาญอันน้อยนิด บริจาคให้นักเรียนยากจน โดยไม่ยอมแม้แต่จะใช้ชื่อจริง เขาใส่ใจบรรดาเด็กๆที่ส่งเสียให้เรียน และเด็กที่ได้รับทุนทุกคนก็ไม่รู้ว่าผู้ส่งเสียให้เรียนยากจนข้นแค้นแค่ไหน เพราะผู้เฒ่าใช้ชื่อปลอม ปกปิดชื่อจริงในการให้ทุนมาตลอด ..
.
ชั่วชีวิต ผู้เฒ่ามีแต่ความเรียบง่าย อยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์ นอนเตียงไม้ 1 ตัว เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ไม่มีเลย , เมื่อ 10 ปีก่อน ก็ได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด
= = = = = = = = = =
heart emoticon heart emoticon heart emoticon
วิญญาณของท่านคงจะเบิกบานและสงบ
ความรัก ความเมตตา หาผู้ใดมาเทียบเทียมยาก
ขอคารวะท่านผู้เฒ่า "อู๋ยซือเฮ้า " ผู้สร้างความอบอุ่นให้กับสังคมมนุษย์
ที่มา ... เรื่องเล่าจาก LINE (ไทยโพสต์)
= = = = = = = = = = = = =
1. ผมไปสิงคโปร์ครั้งแรกตอนอายุ 40 เพราะผู้หญิงคนหนึ่งบอกผมว่า “อย่าพูดว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยวเลย ถ้ามีปัญญาไปแค่ญี่ปุ่นหรือไต้หวัน หรือเดินงานไทยเที่ยวไทยแล้วซื้อแพคเกจทัวร์เกาะตาชัยแค่ไม่กี่พันก็กลับ”
หยิ่งผยอง ผมฉุนขาด
ผมคุยกับเธออีกสองประโยค (แต่ในใจด่าแม่มันเป็นสิบประโยค) ก่อนจะปลีกตัวออกมา เดินกลับไปหาเพื่อน ดนตรีหมอลำกระหึ่มเป็นฉากหลัง
“อีนมใหญ่นั่นใครวะ กวนตีนฉิบหาย”
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน แต่สงสัยจะเป็นกระเทย ผมหันกลับไปมอง ดูเหมือนเธอจะมาคนเดียว (ซึ่งก็ไม่แปลก ปากหมาอย่างนี้จะมีใครคบ) เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนเธอรู้ว่าถูกมอง เธอหันกลับมาสบตาผม นมใหญ่กระเพื่อมตามจังหวะเสียงดนตรี เธอทำสายตาเหมือนไม่ไยดี ผมด่าพึมพำว่า “อีตุ๊ด” ก่อนจะหันไปสนใจดนตรีต่อ
2. วันต่อมา มีคนโพสท์คลิปเธอถูกฝรั่งลวนลามในวันสงกรานต์ แต่ไม่มีใครแท่กเธอ คงเพราะไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร
3. สองสัปดาห์ต่อมา ผมเจอเธอในงานของศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำห่าอะไรที่นี่ แต่บังเอิญเธออยู่ที่นั่น ยอมรับว่าไม่ได้สนใจเธอแล้ว แต่นมเธอก็ใหญ่เหลือเกิน ผมเอ่ยประโยคแรก “ผมจะไปสิงคโปร์ คุณจะไปกับผมมั๊ย?”
เธอบอก “เพราะมันบินแค่สองชั่วโมงน่ะสิ”
เธออัปเปอร์คัตขวา ผมหลบไม่ทัน อะไรวะ อีห่านี่
“คุณทำงานอะไร” ผมอยากรู้จริงๆ “เป็นไกด์ เป็นบล็อกเกอร์ เป็นคนหิ้วของมาขาย หรือเป็นตำรวจท่องเที่ยว”
เธอตอบ “ชั้นไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น”
“แต่เป็นตุ๊ดใช่มั๊ย?” ผมถามโพล่งไปอย่างไม่รู้ตัว สายตาจับอยู่ที่หน้าอกของเธอ เธอตอบคำถามผมด้วยการตบฉาดเข้าที่ใบหน้า ในขณะที่ผมกำลังจะเอ่ยปากขอโทษ เธอก็พูดยิ้มๆ
“คุณชัดเจนดี ฉันจะไปสิงคโปร์กับคุณ”
4. ไม่น่าเชื่อ ผมมาสิงคโปร์ครั้งแรก กับผู้หญิงแปลกหน้า (เอาจริงๆผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือเปล่า) เรามาถึงสิงคโปร์ตอนเย็นๆ เธอบอกว่าเธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นี่เลย (อ้าว แล้วที่มึงด่ากูล่ะอีดอก) เธอเดินตามผมต้อยๆ ดูสงบและผยองน้อยลงกว่าที่เคยเป็น ผมพาเธอไปเดินเที่ยวริมอ่าวมารีน่า ดูโชว์แสงสีของตึก Marina Bay Sands ถ่ายรูปเมอร์ไลอ้อนยามค่ำคืน ก่อนจะพาเธอไปกินบักกุดเต๋ที่ร้าน Songfa อากาศที่อบอ้าวทำให้ผมและเธอเหงื่อแตกพลั่ก เสื้อบางๆของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ มองเห็นสายยกทรงสีดำและเนินอกใหญ่ตระหง่าน “ร้อนจังเลย” เธอบ่น “คนสิงคโปร์เค้ามีอารมณ์เอากันได้ยังไงนะ อากาศแบบนี้” ผมสะดุ้งกับคำถามลอยๆของเธอ นึกในใจว่า “แต่กูไม่ใช่คนสิงคโปร์นี่หว่า...”
5. เรากลับเข้าห้อง หลังจากที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำ เธอก็พุ่งตัวเข้าห้องน้ำ ไม่มีท่าทีเขินอายใดๆกับสายตาของผมที่จ้องมอง ห้องน้ำโรงแรมเป็นกระจกใส แต่เธอทำทุกอย่างราวกับผมไม่ได้มีตัวตนอยู่ที่นั่น เธอเปลื้องผ้า ขับถ่าย แปรงฟัน อาบน้ำราวกับจะใช้น้ำทั้งสิงคโปร์ไปกับการอาบครั้งนี้ ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูพันตัวหลวมๆ และล้มตัวนอนทันที ผมสำรวจ สำรวจเธอ แล้วก็ได้รู้ว่านมเธอใหญ่จริงๆ มือก็ใหญ่ เท้าก็ใหญ่ ไม่ใช่สเปคผมหรอกที่จริง ผมชอบผู้หญิงที่มือเท้าเล็กๆ (แต่ช่างแม่งเถอะ ใครจะสนวะนาทีนี้)และที่แน่ๆ เธอไม่ใช่กระเทย
สิงคโปร์มีอะไรดีบ้างผมไม่รู้แล้ว เพราะหลังจากวันนั้น เราสองคนก็แทบจะไม่ได้ออกจากห้องกันอีกเลย...
6. กลับจากสิงคโปร์ ผมก็หายไปจากชีวิตเธออย่างถาวร มีเพียงสายสัมพันธ์ทางโซเชียลที่ไม่ได้ตัดขาด
7. กลางดึกคืนหนึ่ง เธอโทรมา หนึ่งปีได้มั้ง หลังจากคืนนั้น
เธอถามว่า “เราไม่ดีตรงไหน”
ผมตัดสายทิ้งทันที
8. ผมไม่กล้าบอกเธอ ว่าตอนนี้ผมเจอผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คนที่ด่าว่าผมไม่ใช่หนอนหนังสือเพียงเพราะผมไม่เคยอ่านหนังสือของมาร์เกซ ก่อนหน้านั้นผมก็เจอผู้หญิงคนหนึ่ง ที่หาว่าผมเป็นนักดื่มจอมปลอมเพราะไม่เคยดื่มเบียร์ BrewDog End of History หรือก่อนหน้านั้นอีก กับผู้หญิงที่ดูถูกผมว่าอย่าเรียกตัวเองว่าซีเนไฟล์ ถ้าไม่เคยดูหนังของทรูว์โฟ ผมเจอผู้หญิงแบบนี้เยอะแยะมากมาย ทุกคนล้วนไม่ใช่สเป็ค แต่ผมก็นอนกับพวกเธอ
9. คิดดูแล้ว นักบินอวกาศก็คงเป็นแบบนี้ใช่ไหม บนพื้นโลกจะได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่าไม่รู้ ขอแค่ได้เอากันในอวกาศก็พอ...
(ชาวท่าแซะท่านหนึ่ง)
มีคนส่งบทความนี้มาให้ผม บอกว่าเป็นบทวิเคราะห์ว่าทำไมอีก 20 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มว่าคนไทยจะโง่ลง และเขมร พม่า แขก จีน ฝรั่ง จะเข้ามายึดอาชีพคนไทยเกือบหมด คนไทยจะเป็นลูกจ้างคนพวกนี้
ผมอ่านแล้วก็เชื่อว่ามีคนไทยที่เริ่มจะกลัว คำพยากรณ์นี้จะเป็นจริง จึงขอให้ช่วยกันคิดว่าจะหาทางป้องกัน ไม่ให้ความกลัวนี้เป็นความจริง
เขาวิเคราะห์ว่าอย่างนี้
1. เด็กไทยสมัยนี้สนใจแต่โทรศัพท์ เล่นไลน์กันทั้งวันทั้งคืน ไม่ต้องหลับต้องนอนกัน นอนดึกตื่นสาย หนังสือไม่สนใจเรียน ตื่นไม่ทันโรงเรียน เลยกินข้าวเช้าไม่ทัน พอสายก็หนีไปกินข้าว ขาดเรียนชั่วโมงแรกวิชาหนึ่ง รุ่งขึ้นแบบเดิม เป็นอย่างนี้ทุกวัน ก็หมดทุกวิชา เมื่อเรียนไม่ทัน ไม่รู้เรื่องก็เบื่อ ก็ชวนกันหนีเรียนไปตั้งแก๊งค์ ไปติดยา มั่วเซ็กซ์
ใครเรียน...ก็แกล้งก็กวน ก็เลยทำให้ทั้งห้องเหมือนกันหมด ความรู้(ไม่)เก่งเหมือนกันหมด ไอ้เรื่องที่จะให้ทบทวนให้ทันเขา บอกได้คำเดียวว่า “ยากมาก”
2. ครูก็สอนไปตามหน้าที่ ลองไปเข้มงวดลูกท่านซิ...เดี๋ยวพ่อเสือแม่เสือก็มาถึงโรงเรียนอีก ผู้บริหารยังต้องเกรงใจเลย ครูก็เลยปล่อยไม่ยุ่งด้วย...เด็กก็ได้ใจเพราะได้แบ็ค (พ่อแม่รังแกฉัน...เข้าใจมั้ย...พ่อแม่บางคนไม่รู้เรื่องว่าอะไร ?)
3. การวัดผล เด็กสอบตกก็ต้องยัดเยียดให้ผ่านให้ได้ ไม่งั้นเสียชื่อครูว่าสอนไม่เก่ง แถมถูกผู้ปกครองด่าอีก
กฎหมายใหม่ก็เอื้อให้ทำโทษเด็กไม่ได้ จะเรียกเด็กมาสอบใหม่ ท่านไม่มาสอบ เอ้า...เอาคำตอบไปลอก อ้อนวอนสารพัดจนเด็กผ่านไปได้ โล่งอก ขนาดได้เกรด 1.8 ก็ผ่านได้ ทั้งที่มันแค่ 40% ผ่านได้ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว นี่ไงความรู้ของเด็กไทยขณะนี้โดยทั่วไป
4. การเข้าทำงาน เก่งไม่ค่อยจะได้ แต่ถ้ามีเส้นถึงจะ Ok ต่อไปเราจะได้ปลัดกระทรวงที่เก่งมากๆ แต่มาจากเส้น ได้ข้าราชการที่เก่ง ก็มาจากเส้นอีก
5. เด็กสมัยนี้ทำอะไรไม่เป็น ไม่ยอมลำบาก ไม่อดทนต่อความลำบาก (สังเกตให้ดี ลูกๆเราเป็นอย่างงี้มั้ย ถ้าเป็นครู ลูกศิษย์เราเป็นอย่างงี้มั้ย) ไม่มีวินัย พอเข้าทำงาน เจอระเบียบวินัย เจอเข้มงวด เจองานหนักเข้าก็มาบ่นให้พ่อแม่ฟัง ถ้าพ่อแม่มีตังค์ มีอำนาจ (เลี้ยงลูกแบบคุณหนู) จะบอกลูกว่าอยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ ลาออกมาพ่อแม่เลี้ยงได้ เด็กก็เลยได้ใจ ไม่ต้องทำอะไรกินแล้ว
พอได้ครอบครัวก็เอาผัวเอาเมียมาเกาะพ่อแม่กิน พอพ่อแม่ตาย สมบัติพอมี ก็ขายกินอีก ขยับขยายทำให้กำไรไม่เป็น แล้วรุ่นหลานจะเอาอะไรขายกิน หลานเหลนก็ต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่อีก
6. เดี๋ยวนี้เราจะเห็นแขก พม่า เขมร และต่างชาติ ต่างมาค้าขายในไทยมากแล้ว และรัฐก็ยกเลิกมาตรการต่างๆ ให้ต่างชาติทำได้ ตอนแรกก็ขายพวกเดียวกันก่อน ต่อมาก็ขายคนไทย ตอนนี้ก้าวหน้า มีผัวไทยเมียไทย จ้างคนไทยเป็นลูกมือ แล้วต่อไปก็ครองเศรษฐกิจ แบบแถวแม่สาย แม่สอด มุกดาหาร หนองคาย กรุงเทพฯ และทั่วทุกเมือง
นี่เป็นเพราะพวกเรามองไม่เห็นภัยที่กำลังคืบเข้ามา ยังสนุกอยู่ ยังมีพ่อมีแม่อยู่ พอพ่อแม่ตาย สมบัติเก็บไม่อยู่แน่ เพราะไม่มีความรู้ในการบริหารงานทำงาน กฎหมายไม่คุ้มครอง ทุกอย่างจะเสียเปรียบหมด เงินทองจะเสียเร็วมาก กว่าจะฉลาดก็หมด หรือเกือบหมด ตัวทีนี้แหละจะอยู่ด้วยความแร้นแค้นละ...
ช่วยกันคิดนะครับว่าจะทำอย่างไรจึงทำให้ความเห็นข้างบนนี้ไม่จริง เป็นเพียงการพูดจาเพ้อเจ้อไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
อย่าให้เป็นจริงเลยแม้แต่ข้อเดียว!.......
>>956 1
ผมขโมยจักรยานครั้งแรกตอนอายุ 25 เพราะคนดำคนหนึ่งบอกผมว่า
"อย่าพูดเลยว่าตัวเองเป็นคนดำเลย ถ้าขโมยแค่สแน๊คสองชิ้นต่อเดือน หรือเดินงานมหกรรมอาหารเพื่อหาไก่ทอดทานชิ้นสองชิ้น"
ทะนงตน ผมเสียหน้า
ผมคุยกับเขาอีกสองสามประโยคแล้วรีบปลีกตัวออกมา เดินไปหาเพื่อน กระซิบบอกมัน ดนตรีฮิปฮอปดังกระหึ่มเป็นฉากหลัง
"ไอ้นั่นใครวะ อวดรู้ชิบหาย"
เพื่อนบอกไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนจะไม่ได้ซื้อบัตรเข้างานด้วย ผมหันกลับไป เขากำลังโยกร่างกายตามจังหวะเบส พันลำหนึ่งมวนที่มือ ไม่สนใจใยดีใครทั้งสิ้น เสี้ยววินาทีนั้น เขารู้ว่าถูกมอง เขามองตรงมาหาผม ยักคิ้วเป็นนัยให้รู้ว่ามีพันลำขาย แล้วหันกลับไปสนใจดนตรีต่อ
2
คืนต่อมา กลุ่มผู้จัดงานลงรูปเขาในเพจของงานอีเว้นท์นั้น ข้าวของเมื่อวานหายหลายรายการ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะไปตามเขาได้ที่ไหน
3
สองสัปดาห์ต่อมา ผมไปงานเปิดอัลบั้มใหม่ของแรปเปอร์ท่านหนึ่ง ทั้งที่ไม่รู้ว่าไปทำไม
บางครั้งผมคงจะเบื่อและว่าง จึงออกจากห้องแทบทุกคืน
ยอมรับว่าไม่ได้สนใจเขาแล้ว แต่เขาดันอยู่ที่นั่น ผมเริ่มประโยคแรก "ผมหรอยจักรยานสี่ล้อเล็กมาแล้วนะ"
เขาตอบ "ของเด็กมันขโมยง่ายสุดน่ะสิ"
เขาอัปเปอร์คัตขวา ผมหลบไม่ทัน อะไรวะ ผู้ชายคนนี้
“คุณทำงานอะไร” ผมอยากรู้จริงๆ “เป็นช่างซ่อมรถ บาทหลวง หรือพวกขายตรง”
เขาตอบ "ฉันไม่ชอบทำงานอะไรสักอย่าง"
ผมพยายามชวนคุยอีกหลายอย่างก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ชวนเขาสูบบุหรี่
เขาบอก “บุหรี่ธรรมดาฉันไม่สูบ” อะไรของเขาวะ ผมควรจะตัดบทแล้วไปคุยกับคนอื่นใช่ไหม ?
แต่ไม่ว่ะ ไม่ใช่กับครั้งนี้ “งั้นช่วยแนะนำบุหรี่แบบที่คุณชอบให้ผมหน่อยแล้วกัน เผื่อผมจะได้รู้จักอะไรมากขึ้น”
ได้ผล ผมเห็นตาเขาเยิ้มน้อยๆ “ถ้าชอบก็ติดต่อมา”
4
ผมได้เฟสบุ๊คของเขามาในที่สุด อันที่จริงเขาเป็นคนขอแอดผมเองเพื่อลากผมเข้ากรุ๊ปเสรีกัญชา ...ดูเพิ่มเติม
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
กูชอบสำนวนเค้านะดูน่าอ่านดี แต่ไม่รู้ว่าเนื้อเรื่องมันเกี่ยวกับนักบินอวกาศยังไง หรือเค้าอยากเปรียบเปรยว่าอวกาศมันน่าสนใจแต่สุดท้ายนักบินก็เข้าไม่ถึงเลยกลับมาที่โลกดีกว่างี้หรอ
กระทู้หน้า "โม่งมิตรสหายท่านสอง " ดีไหม
>>969 ไม่ใช่เว้ยเขาหมายถึงตอนที่อยู่ด้วยกัน มันเหมือนอยู่ในโลกแฟนตาซี เหมือนล่องลอยในอวกาศไปผจญภัยในโลกใหม่กฏใหม่ๆไร้แรงดึงดูดไร้พันธะของบนพื้นโลก ตือขึ้นไปก็ซั่มกันอย่างเดียวได้เพราะไม่คิดเรื่องอื่น พอลงมาบนพื้นโลก คนก็ติดพันธะนู้นนี่มาให้คิด เรื่องใันก็แค่ระดับ one night stand น้ำแตกแล้วแยกทางแค่นั้น
จริงๆ กูชอบเรื่องอายุ 25 นะ มันเป็นความสัมพันธ์ของคนจริงๆ ดี แต่กูไม่ชอบตรงที่ผู้หญิงต้องมาร้องไห้กับแม่งว่ามันไม่ดีตรงไหน กับมันได้เมียขาวตัวเล็กตรงสเป็ก ดูโคตรตอแหล
ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ คนแต่งได้แรงบันดาลใจมาจากฝันเปียกไม่ใช่เหรอวะ เจ้าตัวเป็นคนบอกเอง
เพลงที่เนื้อเพลงมันดูมั่วๆเพ้อๆ เนื้อหาใจความหลักอาจไม่มีอะไรเลย คนแต่งแต่งตอนเมา แต่เสือกดังประสบความสำเร็จมีเยอะแยะวะ
เคสที่คลาสิคสุด คงเป็นเพลง A Whiter Shade Of Pale ไม่รู้สื่อถึงอะไร คนขอเย็ดกันมั้ง แต่ฟังแล้วแม่งโดน หลายคนชอบ เอามาโคเวอร์ร้องใหม่ก็บ่อย
ว่าแล้วก็แปะเพลง กูชอบเวอร์ชั่นนี้ https://www.youtube.com/watch?v=lpw_Hx-ABrM
ขี่ช้างจับตั๊กแตน
คนโง่ๆ ที่ชอบทำอะไรเกินพอดี
ผมมีตัวอย่างหลายคน
เล่าให้ฟังสองคนละกัน
_______________________________
คนแรก...ดีไซน์เนอร์ 3,000.-
ตอนปี 2011
ผมต้อง Redesign เว็บขายของใหม่หมด
แต่เงินไม่ค่อยมี
เพราะใช้ออกแบบเว็บไปหมดแล้ว
.
.
เลยต้องวานกราฟิคฟรีแลนซ์
ช่วยออกแบบโลโก้ให้
"พี่มีงบ 3,000 นะ”
สำหรับงานระดับนี้
เงินจำนวนนี้ถือว่า “ดูถูก” กันเลยทีเดียว
.
.
แต่ตอนส่งงาน
น้องออกแบบมาให้ 7 แบบ มีที่มาทุกแบบ
ผมถึงกับคอตีบพูดไม่ออก
ประทับใจ ปนละอายใจ
จนต้องควักจ่ายไปรวม 5,000
และทุกวันนี้ก็ยังใช้โลโก้นี้อยู่
ใครถามหากราฟิกจากผม
ส่งงานให้น้องคนนี้คนเดียว
แถมตั้งราคาให้เสร็จ กลัวน้องได้เงินต่ำกว่าฝีมือ
.
.
_______________________________
คนที่สอง...ที่ปรึกษาญี่ปุ่น 60 แผ่น
ในประมาณปีเดียวกัน
ก็มีญี่ปุ่นสองคน Walk in เข้ามา ที่บริษัท
พยายามจะนำเสนอบริการ “ที่ปรึกษา”
หลังจากฟังๆ ผลงานที่ผ่านมา
ผมก็ไล่กลับไป...(แบบสุภาพ)
.
.
.
จากนั้นก็พยายามนัดเจออีกหลายรอบ
ผมไม่ยอมรับนัด ไม่อยากนั่งเบื่อ
จนกระทั่ง
เขาอีเมล์ Slide 60 แผ่นมาให้
ละเอียดแบบสไลด์ญี่ปุ่น
อธิบายถึงกลยุทธ์ทั้งหมด ที่ผมควรใช้
ที่จะทำให้ธุรกิจเราแตะพันล้านได้
.
.
.
สไลด์ชุดนี้...คัสตอมเมดให้เราโดยเฉพาะ
ส่งมาให้เปล่าๆ
แต่เยี่ยมขนาดต้องเชิญทั้งสองคน
ให้มานำเสนอนายต่อหน้า
จนสุดท้าย
และนายก็อนุมัติให้จ้างเดือนละ 200,000
เป็นเวลาเกือบสี่ปี
_______________________________
ตัวอย่างพวกนี้มี “อย่างหนึ่ง”ที่เหมือนกัน
คือ ขี่ช้างจับตั๊กแตน
ทุ่มเทกำลังทำงานในขอบเขต
ที่เกินกว่าผลลัพธ์อย่างมาก
.
.
“คนทั่วไป” คงมองความทุ่มเทแบบนี้
เป็นความเปล่าประโยชน์
เพราะเทียบสมการ
--- แรงงาน = ผลงาน ---
อยากได้เท่าไหร่ ใส่แรงเท่านั้น
ใส่เงินแค่ไหน ได้งานแค่นั้น
ฉลาดครับ...
แต่ไม่มีความ “พิเศษ"
คนอื่นๆ ในวงการก็ทำได้
.
.
.
ถ้าใส่เงินให้น้องสิบ แล้วน้องทำงานสิบ
พี่ใส่หยอดตู้อื่นก็ได้เหมือนกัน
น้องก็เป็นตู้หยอดเหรียญตู้นึง
ทุกปีก็มีตู้มาตั้งใหม่ มีน้ำแบบใหม่
ถึงน้องมีน้ำแบบใหม่ด้วย
แต่ตู้น้องมันเก่าแล้ว
ไม่น่ากด ไม่สดใสเหมือนตู้ใหม่ๆ
.
.
.
คนที่ทุ่มเทขี่ช้างจับตั๊กแตน
หยอดสิบ เทให้สี่สิบ
ขอสิงค์โปร์ หามาให้ทั้ง ASEAN
ให้ทำสไลค์ 15 แผ่น แอบเตรียม Back up มา 50
.
.
.
ไม่ใช่เขาบ้านะ...
แต่เพราะเขา "เคารพตัวเอง"
เขารู้ว่ามีศักดิ์ศรี...ที่อยู่เหนือผลงานนั้น
การขี่ช้างของเขา จึงไม่ใช่แค่จับตั๊กแตน
แต่มันคือการได้ขี่ช้าง
เขาจึงทำอย่างทุ่มเทตั้งใจ
.
.
.
ความตั้งใจนี้
มันจะเปล่งเป็นออร่าเคลือบอยู่ในงาน
ออร่านี้แหละ
ทำให้งานจาก “คนพิเศษ"
ต่างจากงานจาก “คนทั่วไป"
.
.
และออร่าแบบนี้ใครๆ ก็รับรู้ได้
และประทับใจเมื่อได้เห็น
(แบบเดียวกับพวกคลิปงานฝีมือเทพๆ นั่นแหละ)
.
.
และความประทับใจนี้แหละ
ที่ยอมควักเงินยัดให้
และอยากจะอวดให้เพื่อนๆ ฟังว่า
กูเจอ “ของดี” เว้ย สุดยอดดดด
.
.
.
และจากจุดนี้ คุณจึงเป็น “คนพิเศษ”
.
.
.
ผมลืมเล่าปัจจุบันของทั้งสองตัวอย่าง
คนแรก Graphic Designer
ตอนนี้เป็น Art Director อยู่ Agency ยักษ์ข้ามชาติ
ไม่รับงานเองแล้ว
.
ญี่ปุ่นสองคน
ตอนนี้มีบริษัทที่ปรึกษาเป็นของตัวเอง
(ก่อนนั้นเป็นลูกจ้าง)
วิ่งรอกทั้ง JP, TH, CN, SG, HK
เพราะใช้ Reference จากงานที่ทำให้เรา
.
.
ผลลัพธ์ของคนที่ดูเหมือนโง่ๆ ตอนส่งงาน
ที่ชอบขี่ข้างจับตั๊กแตน
สักวันหนึ่ง...สิ่งที่ทุ่มเทไป
จะไม่ทำให้ได้แค่ตั๊กแตนกลับบ้านแน่นอน
แปลกเหรอ ถ้าบอกว่าใช้ Developer ออกแบบ UX?
จริงๆ อยากจะบอกว่าโดยประสบการณ์ที่ผ่านมา Developer มีแนวโน้มจะเป็น UX Designer ที่ดีมาก ดีกว่า Graphics Designer ที่มีพื้นเพมาจากทางด้านสื่อสิ่งพิมพ์ด้วยซ้ำ
เพราะ UX มันคือ "การใช้งาน" ไม่ใช่ "ความสวยงาม"
Developer มักจะต้องทดสอบโปรแกรมตัวเองบ่อยๆ อาจจะต้องทดลองใช้งานประจำ เขียนอะไรเสร็จบางอย่างก็ต้องทดลองใช้งาน นั่นคือชีวิตอยู่กับการใช้งาน แล้วก็อยู่กับงานจริง อะไรที่ทำได้ ทำยาก ทำแล้วมีปัญหาเชิงเทคนิคที่นำมาซึ่งปัญหาการใช้งานแน่ๆ พวกนี้ก็จะรู้ดี
และพวกนี้มักจะต้องคุยต้องแก้ปัญหาในการใช้งานจริง ให้กับผู้ใช้ และ/หรือลูกค้าตลอดเวลา
ดังนั้น พื้นฐานการ "ทดสอบตลอดเวลา" และ "การแก้ปัญหาการใช้งานจริง" นั้นมีพอสมควรอยู่แล้ว
แต่ Developer ไม่ได้สามารถออกแบบ UX เป็นได้โดย "อัตโนมัติ"
การ "ฝึก" Developer ให้สามารถทดสอบและออกแบบ UX ได้ ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ในการทำงานพัฒนาซอฟต์แวร์สมัยใหม่
ส่วนเรื่องการทำสวย ยังไงๆ ก็ต้องพึ่งนักออกแบบกราฟิกส์มืออาชีพ เพราะจะฝึกโปรแกรมเมอร์ให้ทำแบบนั้นได้ ก็ยากไปนิด และไกลตัวโปรแกรมเมอร์ไป พึ่งพามืออาชีพที่เป็น Graphics Designer เลยดีกว่า
ถ้าคิดว่าแฟร์จริง จะทำเอกสารลับทำเบื๊อกอะไร โปร่งใสประกาศออกสื่อไปเลยสิ..?
คนที่แยกไม่ออกว่าคอรัปชั่นคืออะไร จะปราบคอรัปชั่นได้ยังไงครับ..? #กาก
เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลมีการเปิดเผยงบใช้จ่ายเงินแผ่นดิน แต่งบลับเราไม่เปิดเผยนะครัช ชะละล่า
เมื่อวานเขียนเรื่องการให้ Developer ออกแบบ UX ไป วันนี้เลยขอเขียนเพิ่มนิดหน่อย เดี๋ยวคนจะเข้าใจอะไรผิด smile emoticon
เนื้อหาเมื่อวาน มันเกิดจากการที่เห็นหลายคนทำหน้าช็อค เมื่อเราบอกว่า "ในทีมเราใช้ Developer ในการออกแบบ UX" เพราะเราใช้ Developer ในการคุยกับฝั่ง User และ Business ตรงๆ (และผมรู้สึกว่า พอพยายามอธิบาย ก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากฟัง)
การสร้าง Application ที่ดี จริงๆ แล้วมันต้องเลิกมองแยกฝักแยกฝ่ายว่าใครทำอะไร แต่ให้มองว่ามันต้องมี Product ที่ "Design & Develop มาดีที่สุดเพื่อตอบโจทย์ของผู้ใช้งาน และ/หรือ โจทย์ทางธุรกิจ"
ดังนั้น จริงๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้ ที่มันจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ทำทั้งหมดโดยไม่เข้าใจอะไรอย่างอื่นเลย
Developer ที่ไม่เข้าใจ Design และ Business เลย จะทำงานพัง
Designer ที่ไม่เข้าใจ Developer และ Business เลย จะทำงานพัง
Business ที่ไม่เข้าใจ Developer และ Design เลย จะทำงานพัง
มันเหมือนเก้าอี้สามขาครับ .... มันจะตั้งอยู่ได้ต้องอาศัยทั้งสามขา ที่ยาวเท่าๆ กัน
นั่นแหละ ผมถึงบอกว่า "ในด้านของ UX ... ควรฝึกให้ Developer เข้าใจ UX Design" ด้วยพื้นฐานของเขาแล้ว เขาจะเรียนรู้และเข้าใจได้ไม่ยาก
สิ่งที่ยากกว่า (แต่ทำได้) ก็คือ "ในด้านของ Business .... ควรฝึกให้ Developer เข้าใจ Business" นั่นแหละ ..... เพราะพื้นฐานการทำงานไม่ค่อยอำนวยเอาซะเลย
งานทุกงานของผม รูปแบบการใช้งาน เกิดจากการที่ "ทุกคนในทีมคิดด้วยกัน" นั่นคือ Business จะมี Input ให้กับทางทั้ง Dev/Design, Dev จะมี Input ให้ทั้ง Design/Biz, Design จะมี Input ให้ทั้ง Dev/Biz
"เราไม่แยกฝ่ายแบบแยกกันคิด แต่เราแยกฝ่ายเพื่อเป็นเสาหลักในการ lead ความคิดแต่ละเรื่อง"
Team ไม่เคยเริ่มต้นจากการแยกกันเล่นครับ Team เริ่มต้นด้วยส่งบอลให้กัน เล่นประสานกัน วิ่งหาตำแหน่งที่ว่างเพื่อให้อีกคนที่กำลังมีบอลอยู่เล่นได้ง่ายขึ้น ... เพื่อส่งบอลเข้าประตูอีกฝั่ง
ป.ล. นึกถึง บ.หนึ่งที่ผมไปทำ Consult ให้ตอนนี้ หลังจาก Initial team evaluation ผมเดินไปบอกเจ้าของบริษัท
"คุณมี ~20 คน คุณมี 3 ฝ่าย ... แต่คุณไม่มี 1 ทีม"
[Ref: โพสท์เมื่อวาน]
“ก่อนหน้านี้เรื่องราวของปัญหาการใช้แรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมงไทยโด่งดังมาก แต่เพิ่งจะได้อ่านข่าวนี้ของเอพีที่ได้รางวัลพูลิตเซอร์ เขาใช้เวลาเป็นปีตามเรื่อง ผลของการนำเสนอข่าวทำให้มีแรงงานพม่าได้กลับบ้านร่วมสองพันคน และเปิดโปงปัญหาอันน่าเกลียดของการใช้แรงงานทาสในประมงไทยสู่สายตาชาวโลก
ในวิดีโอและงานเขียน มีเรื่องราวของมินนาย จากบ้านไปตั้งแต่วัยสิบแปด คิดว่าจะได้งานทำ เขากลับลงเอยถูกขายให้เรือประมงไทย เขากับแรงงานพม่าอีกจำนวนมากถูกบังคับให้ทำงานหนักแบบไม่ได้หยุด อาหารน้อย ไม่มีค่าแรง และถ้าทำงานช้าหรือหยุดจะถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุณ คนพยายามหนีโดนฆ่า คนไทยที่คุมพม่าทำงานบอกพวกเขาว่า 'พวกมึงพม่าจะไม่ได้กลับบ้านอีก แม้ว่ามึงตายมึงก็จะไม่ได้กลับ' (เดาเอาว่าเขาคงไม่ได้พูดว่าคุณ)
มินพยายามหนี เขาถูกตีจนหัวแตก หนสุดท้ายที่เขากระโดดกอดขากัปตันเรือไทยขอกลับบ้าน เขาถูกจับล่ามโซ่ทิ้งกลางแดดกลางฝน ไม่ได้กินข้าวกินน้ำสามวัน จนกระทั่งหาวิธีไขกุญแจแล้วโดดหนีว่ายน้ำขึ้นฝั่ง หลบหนีอยู่ในป่าในอินโดหลายปี ความฝันที่จะได้กลับบ้านเริ่มเลือนลาง กระทั่งเมื่อมีการรายงานข่าวเปิดโปงเรื่องนี้ รัฐบาลอินโดนีเซียจึงรวบรวมคนพม่าส่งกลับบ้าน มินจึงได้กลับไปพบครอบครัวและเห็นหน้าแม่อีกครั้งหลังจากหายไป 22 ปี แม่ของมินถึงกับเป็นลมด้วยความดีใจ มันเป็นข่าวที่ยาวมาก แต่รายงานได้ดีมากด้วย แม้แต่ตอนท้ายที่มินกลายเป็นคนแปลกหน้าในบ้านตัวเอง สมแล้วที่ได้พูลิตเซอร์ และเป็นข่าวที่มีอิมแพคมาก
ชอบการเล่าเรื่องของเขาด้วย”
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
“Congratulations! to Esther Htusan นักข่าวหญิงชาวคะฉิ่นเป็นหนึ่งในทีมนักข่าวเอพี 4 คนที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ประจำปี 2016 สำหรับการรายงานข่าวด้านบริการสาธารณะ (Public Service Journalism)
เธอเป็นนักข่าวจากพม่าคนแรกที่ได้รับรางวังพูลิตเซอร์
รายงานข่าวที่ได้รับรางวัลเป็นข่าวสืบสวนสอบสวนที่เกี่ยวกับแรงงานจากพม่าซึ่งถูกใช้เป็นแรงงานทาสในอุตสาหกรรมประมงแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รายงานข่าวดังกล่าวนำไปสู่การช่วยเหลือแรงงานประมงที่ถูกบังคับใช้เป็นแรงงานทาสราว 2,000 คน และมีการนำผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังนำไปสู่การปฏิรูปการใช้แรงงานประมง”
#มิตรสหายอีกท่านหนึ่ง
“ชิ้นนี้คนเขียนได้พูลิตเซอร์
ส่วน ภูเก็ตหวาน, อลัน มอริสัน, ชุติมา สีดาเสถียร, ฐปณีย์ เอียดศรีไชย พวกนี้ถ้าไม่โดนรัฐฟ้องคดีหมิ่นประมาทหรือพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็โดนชาวไทยก่นด่านะครับ ข้อหา "ไม่รักชาติ””
#มิตรสหายอีกท่านอีกท่านหนึ่ง
ไปนั่งรถไฟที่ญี่ปุ่นมา แล้วนึกอะไรได้
รถไฟความเร็วสูงค่าตั๋วแพงเหี้ยๆ ทำไมไทยเราเงี่ยนอยากได้แพงๆจังวะ คิดว่ามันจะราคาเท่า bts เหรอวะ
ระบบรางในญี่ปุ่นมีแยกกระจายเป็นหลายสายแต่เป็นระบบ และตรงต่อเวลา อันนี้กูอยากให้ไทยเลียนแบบนะ แต่แค่ตรงต่อเวลานี้ก็ยากล่ะมึง อย่างน้อยมีรางรถไฟแยกเป็นคู่สวนกันได้ก็ยังดี
แต่สงสัยได้ไล่ที่ไล่บ้านคนกันมโหฬารวะ ยิ่งดูของญี่ปุ่นบ้านแม่งเบียดกันขนาดนั้นอีก(เห็นว่าของญี่ปุ่นนี้มีภาษีที่ดินแพงจนคนแม่งอยู่แทบไม่ได้แทน)
ค่าโดยสารใช้เส้นทางปกติค่อนข้างถูกสำหรับค่าครองชีพที่นั่น(แต่ยังคงแพงเมื่อดูค่าเงินไทย)
คิดว่าปัจจัยรถไฟถูกของญี่ปุ่นมีหลายกรณีที่ทำให้กดราคาให้คุ้มได้ เช่น
- เป็นเอกชนที่มีหลายบริษัททำให้มีการแข่งขันด้านราคา ไม่ใช่การผูกขาดราคาแบบในไทย
- สัดส่วนผู้โดยสารหลักล้าน เอาแค่โตเกียวก็มีประชากรมากกว่ากรุงเทพ 3-5 เท่าได้(เดาๆจากประชากรแฝงและนักท่องเที่ยว) ทำให้มีเงินหมุนเวียนต่อเที่ยวต่อวันที่สูงมาก
- มีช่องการหารายได้เสริมมากมาย จากการทำพื้นที่ให้ร้านค้าเช่า/ตู้น้ำ บางสถานีเชื่อมต่อกับห้างสรรพสินค้า การโคกันกับบริษัทรถไฟสายอื่นๆหรือเมืองที่สังกัดส่งเสริมการท่องเที่ยว การให้เช่าพื้นที่โฆษณาต่างๆ
มามองไทยที่คนไทยอยากได้แต่ของถูกๆให้เท่ารถเมล์ แค่นี้กูก็รู้สึกว่าทำยากชิบหายจริงๆ
>>991 ต้องแยกกันระหว่างรถไฟความเร็วสูงกับรถไฟธรรมดา อย่าเอามาปนกันแล้วด่ารวมๆมั่วๆ
- ความเร็วสูงแพง ใช่ แต่มันใช้เดินทางข้ามจังหวัด และมันเร็วกว่ารถทัวร์และสะดวกกว่าสายการบินโลวคอสต์ไง มันมีโพสิชั่นของมันอยู่แล้ว คนจะใช้เค้าก็รู้กันอยู่แล้ว
- เรื่องระบบรางไม่เกี่ยวอะไรกับความเร็วสูงเลย ไม่ต้องไล่ที่ด้วย ที่รถไฟแม่งเยอะเหี้ยๆแล้ว ถ้าจะขยายเมื่อไรก็ทำได้ ประเด็นคือสหภาพรถไฟมันเป็นมาเฟีย และทำงานได้เหี้ยสัดๆ เรื่องตรงต่อเวลาก็ลืมได้เลย
- แข่งขันราคาทำไม่ได้ตราบใดที่ยังมีสหภาพ
- ผู้โดยสารมันเพิ่มได้อยู่แล้วถ้ามีระบบรองรับ bts mrt ก็เต็มตลอด รถไฟธรรมดาคนก็ใช้ไม่น้อย แค่พัฒนาให้ดีคนก็พร้อมจะย้ายไปใช้
- โมเดลรายได้เสริมแบบที่ว่าของไทยก็มีไม่ใช่เรอะ นี่เคยขึ้น bts mrt บ้างมั้ยเนี่ย แต่เรื่องเมืองท่องเที่ยวก็ไม่มีล่ะ เหตุผลเดิมคือความกากของสหภาพ
- เท่ารถเมล์อะไรยังไง ทุกวันนี้ก็เห็นนั่ง bts mrt ที่ราคาแพงกว่ารถเมล์เพื่อซื้อเวลาได้เป็นเรื่องปกติ อย่ามั่ว
>>992
- ประเด็นคือคนมันอยากได้ค่าโดยสารถูกๆด้วยนะ
- กูหมายถึงมันมีพวกบ้านบุกรุกที่แทบจะติดรางรถไฟวะ
- สหภาพแม่งแก้ยากคนนอกก็เข้ายาก เข้าไปได้ก็อยู่ไม่ทนอีก ส่วนหนึ่งคือมันเคยมีคนจะไปหักดิบทันทีเลยแก้แม่งยากกว่าเดิมแทนที่จะค่อยๆแก้
- อันนี้กูสนใจว่าถ้าพวก BTS/MRT มันจะขยายไปครอบคลุมจังหวัดรอบๆกรุงเทพเลยวะพวก นครปฐม สมุทรสาคร ชลบุรี อยุธยา นครนายก ฯลฯ ตอนนี้มันยังกระจุกตัวอยู่
- กูเห็นคนด่า BTS/MRT แพงอยู่ตลอดเวลานะ วันนี้ก็กระทู้นี้ >>> http://pantip.com/topic/35062531
ระบบทาสมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่หนังตะวันตก 12 years of slave บอกเราก็ได้นะ คือเรามองด้วยสายตาของคนนอกอาจจะดูว่ามันกดขี่ไม่มีเสรีภาพ แต่คนที่เป็นทาสเค้าโตมาด้วยความคิดแบบนั้นไง เค้าก็มีความสุขในแบบของเค้า ถ้านายทาสเลี้ยงเค้าดีๆ เค้าก็มีชีวิตอยู่ได้แบบมีความสุขในแบบของเค้า เราต้องเคารพตรงนี้ด้วย ความสุขของคนเราไม่เหมือนกันหรอก อย่าเอามาตรฐานของเราไปตัดสินชีวิตใครเลย
#มิตรสหายท่านหนึ่ง
>>996 ไม่เกี่ยวหรอก รถใต้ดินคนขึ้นเยอะชิบหาย ช่วงเร่งด่วนเช้าเย็นมึงไปดูสถานีสุขุมวิทได้เลย บางทีต้องปิดไม่ให้ลงไปที่ชานชลาเพราะไม่มีที่ยืนด้วยซ้ำไป แต่ MRT เจอปัญหาเดียวกันคือจะทำอะไรทีก็ต้องขอราชการก่อน ขอปีนี้กว่าจะอนุมัติก็ชาติหน้าเข้าไปแล้ว ขนาดเป็นรัฐวิสาหกิจก็ขาดทุนเป็นอันดับ 3 แล้ว ถ้าให้รฟท.บริหารรับรองว่าเหี้ยกว่านี้แน่
>>993
- พวกเรื่องมากอยากได้ทั้งเร็วทั้งถูกทั้งดีก็ช่างมันเถอะว่ะ โครงสร้างทางการเงินเราไม่เหมือนประเทศพัฒนาแล้ว กว่าจะทำราคาลงมาได้ต้องใช้เวลา อย่างบินโลว์คอสกว่าจะมาบูมก็ไม่กี่ปีนี่เอง ถ้าระบบมันใหญ่พอและมีผู้เล่นเยอะราคาจะลงมาเอง ....ซึ่งก็มีสหภาพคอยขวางคลองอยู่
- พวกบ้านบุกรุกมันต้องโดนอยู่แล้ว ถ้าเยอะนักก็ม.44แม่ง
- bts mrt ขยายออกนอกเมืองนี่ยากว่ะ ไปรถยนต์แบบทุกวันนี้มันก็ไม่ช้าเร็วต่างกันมาก คนจะไม่ค่อยใช้ ไม่เหมือนในเมืองที่คนใช้เพราะได้เปรียบเรื่องเวลา ยังไงระบบรถรางข้ามจังหวัดก็ต้องรถไฟธรรมดาไปก่อน
ประกันควรทำเพื่อเน้นค.คุ้มครอง
หรือลดภาษีเท่านั้น
แต่ไม่ใช่การออมเผื่อฉุกเฉิน
เนื่องจากสภาพคล่องต่ำมาก
จะได้ก้อนใหญ่ก็ต่อเมื่อเด๊ดสะมอเร่
หรืออาการหนักจริง
ถ้าถอนก่อนกำหนด
มูลค่าเงินที่ได้รับอาจลดลงอย่างหนัก
แถมเงื่อนไขการเคลมก็จุกจิก
จ่ายง่ายเคลมยาก
เราสามารถทำประกันให้ตัวเอง
โดยไม่ต้องง้อบ.ประกันครับ
เพียงแค่...
กูพึ่งมา แต่กูปิดโพสต์ อิอิ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.