"ว่าด้วยเรื่องพืช GMO
รู้ไหมว่า ทุกวันนี้มีพืชอยู่ชนิดหนึ่งซึ่ง
- เกิดจากเอา DNA ของสิ่งมีชีวิตสองชนิดมาผสมกัน โดยน้ำมือของมนุษย์
- มีจำนวนโครโมโซมเยอะกว่าปรกติสองสาม หรือสี่เท่า
- มีรูปร่างผลผลิตแตกต่างจากสิ่งที่สามารถพบได้ในธรรมชาติโดยสิ้นเชิง
- เป็นหมัน ไม่สามารถขยายพันธุ์ได้เองตามธรรมชาติ
- สืบสายพันธุ์ได้ผ่านทางการโคลนนิ่งเท่านั้น
- เกษตรกรทุกมุมโลกที่ปลูกพืชชนิดนี้ กำลังปลูกพืชที่มีพันธุกรรมเหมือนกันทุกประการ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ได้จากการโคลนมาจากต้นเดียวกัน
พืชชนิดนี้น่ากลัว และผิดจากธรรมชาติมาก เนื่องจากมีสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสองชนิดปนกันอยู่ในปริมาณที่ไม่สามารถพบได้ในธรรมชาติ ซ้ำยังไม่สามารถออกลูกได้ตามปรกติ แพร่พันธุ์ได้โดยการโคลนของมนุษย์เท่านั้น เราจึงควรจะต่อต้าน และห้ามการปลูกพืชที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมเช่นนี้
...รึเปล่า?
แล้วรู้หรือไม่ ว่าพืชที่กล่าวมานี่ก็คือ "กล้วยหอม" นั่นเอง กล้วยหอมที่เรากินกันทุกลูก คือผลที่ได้จากการโคลน เนื่องจากกล้วยหอมไม่สามารถผลิตเมล็ดได้ และมีพันธุกรรมแบบ polyploid ที่ได้จากกล้วยป่าที่ไม่เหมือนต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย จัดได้ว่าเป็น abomination ของต้นไม้อย่างแท้จริง
ก่อนปี 1950 กล้วยหอมเกือบทั้งหมดที่ปลูกกันทั้งโลกมีสารพันธุกรรมเดียวกันหมด เนื่องจากได้จากการโคลนซ้ำกันไปมา เรียกว่ากล้วย "Gros Michel" ซึ่งได้รับความนิยมทั่วโลก จนกระทั่งเกิดโรค panama disease ระบาดทั่วทวีปอเมริกาใต้และอาฟริกา จนทำให้กล้วย Gros Michel แทบจะสูญพันธุ์ เกือบทั้งโลกจึงเปลี่ยนไปปลูกกล้วย Cavendish ซึ่งทนต่อโรคได้แทน
สายพันธุ์ของกล้วย Gros Michel สุดท้าย เหลือรอดอยู่ในประเทศไทย ที่เรารู้จักกันในนามของ "กล้วยหอมทอง" ที่เรากินกันอย่างแพร่หลาย
เมื่อเราพูดถึงการตัดต่อพันธุกรรม สิ่งมีชีวิตที่ผิดธรรมชาติ มีพันธุกรรมแปลกปลอมที่ไม่มีอยู่เดิม อาจจะฟังดูน่ากลัว ชวนให้เราคิดว่าอะไรที่เป็น "ธรรมชาติ" ย่อมจะดีที่สุด แม้ว่ากล้วยหอมที่เราจะกินกันอยู่ทุกวันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ผิดธรรมชาติ และมีสารพันธุกรรมจากสิ่งมีชีวิตสองชนิดที่ไม่ควรจะมาอยู่ในต้นเดียวกันแต่แรก นอกไปจากนี้ เราก็รู้กันอยู่ว่าคนที่กินกล้วยทุกวันก็ไม่ได้จะดูดซับพันธุกรรมของกล้วยเข้าไป ตัวกลายเป็นสีเหลือง ปอกเปลือกได้ซะที่ไหน
แน่นอนว่าการปลูกพืช GMO มีสิ่งที่น่าเป็นกังวลอยู่หลายอย่าง การปนเปื้อนกับพืชท้องถิ่น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การดื้อยาฆ่าแมลง ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราควรจะพิจารณาให้ดี แต่การที่เหมารวมไปหมดว่า "ไม่เอา GMO" นั้นไม่ได้ช่วยให้เราแก้ปัญหาเหล่านี้แต่อย่างใด
ถ้าคุณ "ไม่เอา GMO" ส่วนไหนของ GMO ที่ไม่เอา? แล้วจะต้องแก้อย่างไรถึงจะโอเค? การปฏิเสธเทคโนโลยีทุกประการโดยไม่มีเงื่อนไขนั้นทำให้ยากแก่การพัฒนา และหมายความว่าเรากำลังปิดกั้นตัวเองและปฏิเสธที่จะทำความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับข้อจำกัดทางเทคโนโลยี
การบอกว่า "GMO ไม่โอเค" นั้้นไม่ได้เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ แต่เราควรจะบอกว่า "GMO แบบไหนถึงจะโอเค" จะช่วยนำไปสู่การพัฒนาที่ดีได้
เพราะเห็นได้ชัดว่า ทุกคนก็โอเคกับกล้วยหอมอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้"