Fanboi Channel

โม่งมิตรสหายท่านหนึ่ง

Last posted

Total of 1000 posts

1 Nameless Fanboi Posted ID:5bFGftO/M

มา Quote Status ที่มี "สาระ" ของชาวบ้านกัน ขอสาระล้วน ๆ ไม่เอาบันเทิง

3 บริษ้ท ห้างสรรพสินค้าไทย (งานบริหาร)
1 บริษัทอีคอมเมิร์ซจากวอชิงตัน (งานเดิม),
1 บริษัทจากจีนที่เพิ่งเข้าตลาดหุ้น (งานใหม่)
1 บริษัทจากอังกฤษ ที่ทำสายการบิน
1 บริษัทจากเยอรมัน ที่เปิดตลาดในไทยอยู่แล้ว (งานเดิม)
ใช้คำว่าถูกจีบก็ได้ เพราะในรอบเดือนนี้ บางรายเค้ามารอสัมภาษณ์ที่ออฟฟิศเลย บางรายก็ขอนัดคุยตอนทานมื้อค่ำ และส่วนมากจะได้เจอเลเวล รองประธาน กับ ประธาน พร้อมข้อเสนอเป็นตัวเลข กับ ผลประโยชน์อื่นๆ
สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นได้มากสุดคือเวลา เค้าเห็นเรานำเสนอพวกตัวเลข ต่างๆเราลงที่มาที่ไปได้ และเราไปบอกข้อเสียข้อด้อยเค้าได้ ถูกหมดจากการเห็นแค่ P&L บางตัวของเค้า
ผมมองว่าคนจะเข้าใจธุรกิจ อีคอมเมิร์ซได้ดี ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี หรือ โปรดักส์ที่มาวางขายอีกต่อไป แต่การแพลนนิ่งกิจกรรมการตลาด, สินค้าที่จะนำมาขาย, การทำสต็อกและจัดซื้อ, การทำเครดิตเทอม, บริการหลังการขาย ต้องมองให้ขาดและวางแผนล่วงหน้าหลายๆเดือนได้ยิ่งดี และถ้ามีสกิลไฟแนนซ์ในการบริหาร Cash flow ด้วย คุณย่อมเป็นที่ต้องการของหลายๆองค์กรไม่ยาก
‪#‎ใครอยากผันตัวมาทำงานสายนี้‬ ตามลายแทงมาเลย (วางแผนศึกษา และพัฒนาตัวเองรัวๆ)

เรียน วิศวอุตสาหกรรม ต่อโลจิสติกส์ กับไฟแนนซ์ แล้วหัดหาเวลาเขียนโปรแกรมครับ

2 Nameless Fanboi Posted ID:5bFGftO/M

เหนื่อยงานแค่กาย แต่ทุกวันนี้มีความสุขดี แม้มีภาระบ้างส่งทั้งบ้าน คอนโด และที่ดิน แต่รายรับเยอะกว่ารายจ่ายถือว่าสบายตัวไป เงินเก็บ เงินออม กองทุน ประกันฯก็สมบูรณ์ (ไม่อยากทำเพิ่มกับใครแล้ว) ... มีเงินปันผลทุกๆไตรมาส ไว้ให้ได้เที่ยวต่างประเทศทุกๆ 3 เดือนแบบสบายๆ
... ใครๆก็ทำได้ แค่งดใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นในช่วงแรกๆ (อายุ 15 - 30) กินแบบพออิ่ม ได้เงินมาก็เก็บลงทุนให้ได้ครึ่งนึง อยู่แบบธรรมดาไม่ต้องดีมากมาย เหล้า-เบียร์-บุหรี่-กลางคืน-งานเลี้ยง งดได้ก็งด ... ทนแค่ 15 ปีเท่านั้นแหละ พออายุ 31 ต้นๆ จะรู้เลยว่า การมีสินทรัพย์ที่มีมูลค่า 8 หลักในชื่อเราเองไม่ใช่เรื่องยาก ...เทคนิคนี้ไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานการเงิน หรือพื้นฐานทางสังคมของครอบครัวมาสนับสนุนแต่อย่างใด "หัวใจคือ การอดทนกับการออม และอดทนกับสิ่งยั่วยวนให้ได้"

3 Nameless Fanboi Posted ID:NR2nKw5W7

"ระบบดอกเบี้ย" สิ่งที่ทำให้คนจนยิ่งจนและคนรวยยิ่งรวย
ในแง่ของคนมีหนี้ การมีหนี้ 5 ล้านกับหนี้ 1 ล้าน ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว ก็ด้วยสิ่งนี้เอง ...
หนี้ 1 ล้าน ยังถือว่าไม่หนักหนานัก บริหารเงินดีๆ ตั้งใจทำงานหนักหน่อย 1-2 ปีก็น่าจะเบาลงเอง แต่ถ้าเริ่มไปถึง 5 ล้าน ในฐานเงินเดือนของพนักงานเงินเดือนทั่วไป เมื่อหักค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเงินต้น แค่ดอกเบี้ยก็น่าจะยังไม่พอจ่ายแล้ว
ทุกวินาทีที่หายใจผ่านไป มันคือเงินที่กำลังไหลไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ และเรื่อยๆ
ทำยังไงหละ ... ก็ต้องทำงานหนักขึ้นอีกหนักขึ้นอีก เพียงเพื่อจะหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยและพอจะลดเงินต้นได้บ้าง เรื่องเวลาพักผ่อนหรือเงินที่จะใช้ไปผ่อนคลาย ... อย่าหวัง
รู้ตัวอีกที ผ่านไป 5 ปี ... หนี้ยังอยู่ครบ แต่ความเครียดและความเหนื่อยล้าเพิ่มพูน ไม่เหมือนตอนยังเป็นหนุ่มสาวอีกต่อไป
ก็จะเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า ถึงตายก็คงไม่อาจใช้หนี้หมด ต่อให้มีเงินเดือนเรือนแสน ก็ไม่อาจหมดหนี้ได้ เหมือนคนใช้ชีวิตไปวันๆ หาเช้ากินค่ำ ความท้อแท้และสิ้นหวังก็จะค่อยตามมา
คนที่เงินเดือนแค่ 10,000 บาท แต่มีข้าวกินทุกวัน ไม่มีหนี้ต้องจ่าย อยากพักเมื่อไหร่ก็ยังพักได้ ยังมีชีวิตที่ดีกว่าคนที่เงินเดือน 100,000 บาท แต่ต้องใช้เงินทั้งหมดไปกับการใช้หนี้
กำแพงที่กั้นกลางระหว่างคนรวยกับคนจนนี้เอง เกิดเป็นเรื่องเศร้ามากมาย เกิดเป็นความน่าเสียใจเรื่องโอกาส
ในขณะเดียวกัน ก็เกิดเป็นเรื่องที่ดีได้เช่นกันสำหรับผู้ที่ต้องการจะหลุดพ้น ความมุ่งมั่น ความพยายาม ประสบการณ์ บางทีก็ศัลยกรรม ... หลายครั้งก็ทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นได้
เอาจริงๆผมเฉยๆมากนะกับการได้เห็นคนทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จ
หากมีเวลา หากมีเงินทุน หากมีโอกาส สำหรับผมแล้ว อะไรมันก็เป็นไปได้
สิ่งที่ผมสนใจคือ คนที่เป็นหนี้เยอะๆ เค้าสามารถกลับมามีชีวิตเป็นของตัวเอง หนี้เหลือศูนย์ได้อย่างไร
ผมว่าคนเหล่านั้น เรื่องราวเหล่านั้น สอนอะไรได้มากกว่าเยอะ
ร่ำรวยสำหรับคนจนอย่างเราไม่ใช่มีเงินร้อยล้านพันล้าน ... แค่ไม่มีหนี้ มีชีวิตเป็นของตัวเอง ... นั่นแหละ รวยแล้ว

4 Nameless Fanboi Posted ID:oxm2mdGC5

เราอยุ่ในยุคที่ ... คนไม่เคยทำธุรกิจสอนเขียนแผนธุรกิจ
คนไม่เคยมีแบรนด์เปนของตัวเองสอนสร้างแบรนด์สินค้า
คนทำงานประจำสอนการลาออกจากงานประจำ
.
... เยี่ยมไปเลย

5 Nameless Fanboi Posted ID:F.26Ne6qs

เป้าหมายใหม่ของปีที่ผ่านมาทำสำเร็จหมดแล้ว เช่น อุปการะเด็กจนเข้ามหาลัยฯ, มีบ้านหลังละสิบล้านให้ได้, ลงทุนให้ได้ปันผลหลักล้าน, เรื่องบริษัทที่วางแผนไว้ก็ไปได้เกินเป้า, แพลนแต่งงานก็เริ่มดำเนินการแล้ว ... ปีใหม่นี้ตั้งเป้าใหม่แทนของเดิมที่ตั้งไว้และทำได้หมดแล้ว คือ พาบริษัทที่ทำอยู่เงียบๆเข้าตลาด MAI ให้ได้ภายใน 1-2 ปีนี้, แต่งงานและมีทายาทแล้วก็เที่ยวให้ได้สักครึ่งนึงของประเทศในโลก (อยู่เมืองละสัปดาห์), เป็นเจ้าของปราสาทสักแห่งในยุโรป (ไม่รู้จะทำได้เมื่อไหร่ ตั้งเป้าไว้ก่อนล่ะกัน)

6 Nameless Fanboi Posted ID:to2J16r3p

"เพิ่งได้ดูสารคดี Ivory Tower เกี่ยวกับสถานการณ์อันวิกฤตของการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในอเมริกา แล้วก็สะท้อนใจนึกถึงเพื่อนอเมริกันที่เคยเรียนด้วยกัน เพราะปัญหาหลักก็คือ ค่าเทอมที่แพงมากๆ (ปีละ 30,000-60,000 เหรียญ หรือประมาณ 1-3 ล้านบาท) ทำให้นักศึกษาส่วนมากต้องกู้เงินเรียน และเมื่อจบออกมาปุ๊บ บริษัทก็ทวงหนี้ปั๊บ นักศึกษายังไม่ทันได้หางานหาการทำเลย ดังนั้นจึงเกิดการติดหนี้สะสมและการหนีหนี้ขึ้น และทำให้จำนวนหนี้ทวีคูณขึ้นไปสามเท่าห้าเท่า แฟนเก่าเราก็เป็นหนึ่งในกรณีนี้ เพราะกู้เงินมาเรียนแต่จบมาไม่มีงานการประจำทำรับจ็อบไปเรื่อย ทำให้มีหนี้ค้างชำระหลายปีมากๆ สุดท้ายบริษัทตามตัวเจอส่งใบแจ้งหนี้เพิ่มทบต้นทบดอกมา พอเห็นจำนวนเงินเราก็มองหน้ากันแล้วก็รู้กันว่าชาตินี้เขาไม่มีทางหลุดจากหนี้ student loan นี้ได้แน่นอน คนอเมริกันตกอยู่ในสถานการณ์นี้เยอะมาก หนี้มวลรวมของเงินกู้เพื่อการศึกษาในอเมริการวมแล้วเกิน 1 ล้านล้านบาท เข้าไปแล้ว (1 trillion dollar)

หนังได้แจกแจงสาเหตุของการที่ค่าเทอมพุ่งเป็นจรวดว่ามีหลายประการ ทั้งจากนโยบายรัฐที่เปลี่ยนไป จากที่สมัยหลังสงครามโลกรัฐให้เงินสนับสนุนมหาวิทยาลัยต่างๆค่อนข้างมาก และต้องการส่งเสริมให้ประชาชนมีการศึกษาฟรีหรือถูกที่สุด แต่เมื่อรัฐบาลอนุรักษ์นิยมรีพับลิกันขึ้นมามีอำนาจ โดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลเรแกน ก็เปลี่ยนท่าทีและลดเงินสนับสนุนมหาวิทยาลัยต่างๆลงอย่างฮวบฮาบ ทำให้มหาวิทยาลัยต้องเร่งหาทุนเพิ่มเอง และทางออกหลักๆของมหาวิทยาลัยก็คือ ต้องเพิ่มโปรแกรมเรียนให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มจำนวนนักศึกษา อีกทั้งต้องเพิ่มสิ่งดึงดูดใจต่างๆให้นักศึกษา เช่น สร้างอาคารเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ในแคมปัสอย่างอลังการ สร้างทีมกีฬาให้ใหญ๋โต ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้ ไม่ได้เป็นการใช้เงินในการพัฒนาการศึกษาและการเรียนการสอนเลย

ทางออกของเด็กรุ่นนี้ต่อการศึกษาในระบบที่แพงระยับและอาจไม่ได้การันตีอาชีพการงานด้วยซ้ำ ก็มีไม่มากนัก และทั้งหมดเป็นเรื่องของการศึกษาทางเลือกที่ดูอุดมคติหรือดูเฉพาะกลุ่มมากๆ แต่ก็เป็นความพยายามที่น่าสนใจของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยขนาดย่อมที่อยู่ห่างไกลในป่าเขา รับนักศึกษาเพียงยี่สิบกว่าคน และให้นักศึกษามีการร่วมออกแบบโปรแกรมการเรียน และเน้นการถกประเด็นวิชาการต่างๆกันครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเป็นภาคปฏิบัติคือให้นักศึกษาสร้างชุมชนที่อยู่ได้ด้วยตนเองหรือออกไปทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนอื่นๆ อีกทางเลือกหนึ่งคือ movement ที่เรียกกันว่า uncollege คือกลุ่มบุคคลที่รณรงค์ให้คนรุ่นใหม่ไม่ต้องให้ความสำคัญกับมหาวิทยาลัยและใบปริญญา และจัดการเรียนการสอนแบบเน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติและการทำงานจริง โดยมี mentor ผู้ประสบความสำเร็จมีองค์กรหรือบริษัทต่างๆ และไม่ได้จบมหาวิทยาลัยมาให้คำแนะนำ นอกจากนี้ก็ยังมีทางเลือกของการเรียนการสอนออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ แต่เรทของผู้ผ่านการวัดผลระดับมหาวิทยาลัยจากช่องทางนี้ค่อนข้างต่ำ

ในสารคดียังมีทางเลือกและรายละเอียดกรณีต่างๆอีกหลายแห่ง แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว คนที่สามารถ "เลือก" จะไม่อยู่ในระบบได้ก็เป็นคนส่วนน้อยมากๆ การแก้ปัญหาเชิงนโยบายของรัฐและของมหาวิทยาลัยเองจึงน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดอยู่ดี แต่การจะคาดหวังให้อเมริกาดำเนินตาม mission เดิมของบรรพบุรุษ เรื่องการให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียม ก็คงจะอุดมคติเกินไปเช่นกัน สุดท้ายก็ไม่มีคำตอบ มีแต่คำถาม.."

มิตรสหายท่านหนึ่ง

7 Nameless Fanboi Posted ID:e1+ruKTM7

ทุกคนมีค่า จงไปอยู่ในที่ที่ผู้คนเห็นค่าของคุณ หากคุณรู้สึกไร้ค่า นั่นก็เพราะคุณอยู่ผิดที่ ‪#‎หนึ่งสิ่งที่เรียนรู้‬

8 Nameless Fanboi Posted ID:e1+ruKTM7

ปีใหม่แล้ว จะสปอยล์ตอนอวสาน The Hunger Games: Mockingjay Part 2 ให้อ่านนะจ้ะ แล้วจะรู้ว่าทำไมกูถึงบอกว่า ตอนอวสานไม่น่าตัดเป็น 2 ภาคเลย เพราะถ้ารวมเป็นภาคเดียว คงมีคนไทยอึึ้งกันหลายคน
อ่ะ ตอนอวสานมันเป็นอย่างงี้นะมึง
อย่างที่รู้กัน แคทนิสถูก นาง Coin ซึ่งเป็นท่อน้ำเลี้ยงของม็อบ ชักชวนให้มาเป็นหนึ่งในแกนนำม็อบ ปลุกระดมมวลมหาประชาชนให้โค่นล้มรัฐบาล กำจัดประธานาธิบดี Snow ซึ่งรัฐบาลของ Snow มันก็เหี้ยจริงๆ แต่สิ่งที่ Coin ปลุกม็อบชนชั้นล่างคือ การเหมารวมว่าชนชั้นกลางและชนชั้นสูงทุกคนคือคนชั่ว ทั้งๆที่ตัวนาง Coin และพวกพ้องของนางเองก็จัดอยู่ในหมวดชนชั้นกลางกับชนชั้นสูงแท้ๆ?
ทีนี้หลังจากแคทนิสพาม็อบมาเย้วๆกันอยู่เป็นเดือนๆ ท่อน้ำเลี้ยงก็เริ่มหมด ม็อบเริ่มฝ่อ ไม่คึกคักเหมือนช่วงแรกๆ นาง Coin ก็เลยต้องบิ้วม็อบ ปลุกม็อบ โดยการสั่งฆ่าม็อบตัวเองจ้า! ระเบิดตายโหงตายห่ากันเป็นเบือ แล้วป้ายความผิดว่ารัฐบาลสั่งฆ่าประชาชน
แคทนิสก็เลยแค้น เลยปลุกระดมครั้งใหญ่ “เอ้า! พี่น้องเขต13 เอาน้ำมันมาคนละลิตร รับรอง แคปริตอลเป็นทะเลเพลิงแน่นอน เย้” ทีนี้แม่งก็วอดวายชิบหายวายป่วง โค่นประธานาธิบดี Snow สำเร็จ แล้วนาง Coin ก็ได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทนสมใจนาง
ปรากฏว่า นาง Coin ก็ยังปกครองในระบอบเผด็จการเหมือนเดิม! แคทนิส มารู้ทีหลังว่านาง Coin ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง ไม่ได้ทำเพื่อประชาชนจริงๆ มีแต่พวกนาง Coin เท่านั้นที่ได้ผลประโยชน์ พวกชนชั้นล่างก็ยังคงเป็นชนชั้นล่างตามเดิม แล้วนาง Coin ก็จัดแข่ง Hunger Games โดยจับพวกชนชั้นกลางมาแข่งแทน
ต่อมา แคทนิสก็จับได้ว่าจริงๆแล้วนาง Coin เป็นคนสั่งฆ่าม็อบตัวเอง เพื่อปลุกระดมม็อบ ที่แท้นักการเมืองทุกคนเหี้ยหมด อ้างว่าทำเพื่อประชาชน แต่จริงๆทำเพื่อตัวเอง นางแคทนิสเลยฆ่านาง Coin ซะเลย ล้างบางทุกอย่าง ยึดการปกครอง แล้วแคทนิสก็คืนความสุขให้ประชาชนในตอนจบ

9 Nameless Fanboi Posted ID:c.1l8+nci

ผู้ที่รู้ประวัติศาสตร์ย่อมรู้ดีว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสังคมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าปราศจากการยกฐานะสิทธิสตรี ความก้าวหน้าของสังคมสามารถวัดได้จากความเสมอภาคทางเพศ
มิตรสหายท่านึงงง

10 Nameless Fanboi Posted ID:OW7LhchIr

“แม้ว่าเราจะเชื่อว่าความสวยงามของตัวเรานั้นอยู่ข้างใน แต่คนในสังคมจำนวนมาก ก็มักติดสินเราที่รูปลักษณ์ภายนอกเสมอๆ และเมื่อเรารู้ว่าสังคมก็เป็นเช่นนี้ ถ้าเราไม่คิดจะดูแลตัวเราเองซะเลย มันก็เท่ากับเรากำลังปิดโอกาสตัวเราเองรึเปล่า? หมอไม่ได้หมายถึงต้องทำศัลยกรรมนะ บางคนก็สวยขึ้นได้โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม แค่ปรับเปลี่ยนตัวเองในเรื่องการแต่งกาย แต่งหน้า หรือแม้แต่บุคคลิภาพ ก็สวยได้ ความงามไม่ใช่เรื่องของการเอาแต่รักสวยรักงาม แต่หมายถึงการดูแลรูปลักษณ์ หมอว่ามันเป็นการให้เกียรติกับตัวเราเองนะ”

มิตรสหายท่านหนึ่ง

11 Nameless Fanboi Posted ID:uzWI1Nae1

>>8 มึงอธิบายได้อย่างสุ่มเสี่ยงมาก...กูดันเผลอคิดถึง----เลย

12 Nameless Fanboi Posted ID:SdBTcq8yr

"5 เหตุผลที่เมื่อผู้ใหญ่สูงวัยเล่นเน็ตโซเชียลมีเดียแล้วอันตรายกว่าเด็กและวัยรุ่น
1. ไม่มีประสบการณ์ถูกหลอกลวง
ผู้ใหญ่วัยเบบี้บูมเมอร์หรือฮิปปี้ในอดีต (60-70's) เติบโตมากับการรับสารทางเดียว และเป็นสารที่ถูกคัดกรองแล้วโดยรัฐหรือสำนักข่าว เมื่อมาพบกับข่าวสารที่ใครก็เขียนได้ในสมัยใหม่ จึงมีแนวโน้มที่จะเชื่อไว้ก่อนโดยไม่ทันพิจารณาข้อเท็จจริง เพียงแค่มีแหล่งหรือบุคคลอ้างอิง(ซึ่งอาจจะไม่จริง) ก็เชื่อได้โดยง่าย ชาวเน็ตที่เล่นมาตั้งแต่สัยรุ่นจะพบเรื่องหลอกลวงเดิมซ้ำๆ จนรู้ทัน แต่ผู้ใหญ่ที่เพิ่งเล่นใหม่ๆ ท่านจะไม่รู้มาก่อนและคิดเอาเป็นจริงจัง โดยเฉพาะฟอเวิร์ดเมล์สุขภาพต่างๆ
2. ขาดภูมิต้านทานการล้อเลียน
วัยผู้ใหญ่จนถึงวัยชรานั้นต้องทำงานทำการจริงจัง บางครั้งก็ตามไม่ทันมุขตลกล้อเลียนหรือมีม (meme) ของสังคมอินเตอร์เน็ตยุคใหม่ บางครั้งก็ตีความตรงๆ เท่าที่เห็น ทำให้เกิดความเครียด ความโกรธ หรือไม่พอใจได้
3. รู้ไม่ทันภาพตัดต่อ
ภาพตัดต่อในอดีตนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญทำในห้องมืดถ่ายภาพ ไม่แปลกที่ผู้สื่อสารที่สูงอายุเห็นภาพโฟโตช็อปหรือการแต่งภาพสมัยใหม่แล้วจะหลงเชื่อไปว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้นตามภาพแต่งจริงๆ ตั้งแต่ภาพอภินิหาร ไปจนถึงภาพหนุ่มสาวแต่งแอ็พให้ดูดี
4. มีเครือข่ายแพร่ความเข้าใจผิดกว้างขวาง
เมื่อผู้ใหญ่หันมาเล่นเน็ตและโซเชียลมีเดีย ก็มักจะมาพร้อมกับสังคมเพื่อนโดยเฉพาะกลุ่มเพื่อนเก่าสมัยยังเรียนหรือในที่ทำงาน พร้อมที่จะส่งข้อความ ข้อมูล ข่าว ผิดๆ ให้แพร่กระจายไปได้เร็วกว่าเด็กและวัยรุ่นที่มีกลุ่มคนรู้จักแคบกว่า
5. มีอำนาจเงินและตำแหน่งที่จะใช้ทำตามความหลอกลวงเข้าใจผิด
เพราะว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบมีคนนับถือ หรือมีกำลังทรัพย์มากแล้วที่สะสมมา เมื่อหลงเชื่อเข้าใจผิดสิ่งใด ก็พร้อมจะทุ่มเทใช้เงินทองหรืออำนาจสั่งการ ทำตามความคิดของตัวเองโดยดื้อรั้นไม่ฟังคนทักท้วงได้ง่าย และอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่าเด็กหลายเท่านัก
บุตรหลานผู้ใดมีผู้ใหญ่ในบ้านหัดเล่นเน็ตเล่นโซเชียล จึงต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา ระมัดระวังการเล่นเน็ตของผู้ใหญ่ผู้อาวุโส เพื่อป้องกันอันตรายดังกล่าวไปด้วยกัน ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการต้องห่วงใยการใช้เน็ตของเด็กและวัยรุ่นเลย"

‪มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

13 Nameless Fanboi Posted ID:Xya.KhTsC

" มันไม่เกี่ยวกับสมัยนี้หรือสมัยไหนหรอกว่ะ ในโลกนี้ ไม่ว่าในยุคไหน มันก็มีคนแค่หยิบมือเดียวที่จะลุกขึ้นมาทำเหี้ยอะไรแบบสุดโต่งและเปลี่ยนโลกไปทั้งใบอยู่แล้วล่ะนะ ถ้าทุกคนแม่งบ้าระห่ำ ใฝ่รู้ ทะเยอทะยานแบบที่คุณต้องการกันหมด โลกคงได้ฉิบหายป่นปี้แน่ ๆ คุณไม่ต้องตกอกตกใจไปหรอกที่เด็กมันไม่ตั้งใจเรียน (บางทีคุณอาจจะสอนน่าเบื่อเหี้ย ๆ ก็ได้ แต่บางทีเด็กมันก็เหี้ยเอง) มันเป็นเรื่องธรรมดาเว้ย โลกมันไม่ล่มสลายลงที่ยุคพวกเรา ลูกพวกเรา หลานพวกเรา หรือเหลนพวกเราหรอก
ก่อนคุณจะเกิดมาอุแว้ ๆ โคตรเหง้าทวดคุณก็คงคิดเหมือนกันว่าโลกคงล่มสลายลงที่รุ่นพ่อคุณเป็นแน่แท้ เพราะคนรุ่นใหม่มันห่วยแตก แต่สุดท้ายโลกก็ยังคงหมุน คนก็ยังคงคิดสิ่งใหม่ ๆ เพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ร้อยกี่พันปี มนุษย์ก็ไม่เคยทิ้งสันดานเดิมเลย เพราะงั้นคุณอย่ากังวลให้มากนัก เชื่อเรา This too shall pass..."

‪มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

14 Nameless Fanboi Posted ID:3RzIL0dBV

โลกนี้มันไม่มีความดีความเลวหรอกว่ะ หมีแดกกวาง ถามว่าหมีเลวรึเปล่า? ทุกอย่างคือธรรมชาติ คนอื่นที่มึงเห็นว่าเลว ในกลุ่มในเผ่าพันธุ์เขาอาจจะมองว่าดีก็ได้ เพราะงั้นมันก็คือธรรมชาติ 2 อย่างที่ขัดแย้งกัน

15 Nameless Fanboi Posted ID:IigT43ELA

"ผมมั่นใจมากๆว่าถ้าวันนึงข้างหน้าการค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมาย มีกะหรี่ในเซเว่นแน่นอนครับ"
‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

16 Nameless Fanboi Posted ID:jIFgWrSPg

No one disturbs the master race. Not even Steam

#anonymousmasterrace

17 Nameless Fanboi Posted ID:VAq.pTBBd

"ถ้ามันเห็นแก่อนาคตการทำงานรุ่นน้องจริง คงจัดเวิร์กชอปเอ็กเซลแทนการว้ากแล้ว"
‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

18 Nameless Fanboi Posted ID:pO0pZAGQW

"จั๊บ...จั๊บ...จั๊บ"
มิตรสหายท่านหนึ่ง

19 Nameless Fanboi Posted ID:.jusCyNIQ

นิยามสำคัญที่สุด ไม่ใช่แค่คณิตศาสตร์ แต่ทุกเรื่อง เพราะมันคือ "ข้อกำหนด/ข้อตกลง" ว่าอะไรคืออะไร สัมพันธ์กันแบบไหน มีลักษณะอย่างไร ข้อจำกัดคืออะไร ให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ถ้าเข้าใจเรื่องพวกนี้ไม่ตรงกันก็คุยกันต่อไม่รู้เรื่อง ทุกอย่างที่สร้างขึ้นต่อจากนี้ก็หลวมและกลวงหมด
แต่ปัญหาคือ บ้านเราไม่ได้สนใจ ไม่ได้สอบ ไม่ได้วัดผล ที่ความแม่นและความละเอียดในนิยาม แต่เป็นความฉาบฉวยในการได้ผลลัพธ์ในการคำนวน แก้โจทย์ ที่ปลายเหตุ (เอาจริงๆ นะ ทุกวันนี้คนยังบอกว่า แก้สมการด้วยการ "ย้ายข้างไปลบ" อยู่เลย ทั้งๆ ที่จริงๆ มันคือการทำให้สองข้างเท่ากันเสมอ นั่นคือ "ลบทั้งสองข้าง" ที่บังเอิญให้ผลที่ปลายทางคล้ายกับเราย้ายมันไป แต่มันคือการข้ามขั้นไปแล้ว 1-2 ขั้น)
เด็กบ้านเราไม่ได้อยากเก่งคณิตศาสตร์ เด็กบ้านเราแค่อยากสอบเลขได้คะแนนดีๆ (เพราะเด็กไม่รู้หรอก ว่าเก่งคณิตศาสตร์หมายถึงอะไรกันแน่ เด็กรู้แค่ คะแนนสูง = เก่ง .... ต่อให้ "เด็กอยากเก่งคณิตศาสตร์" ก็ไม่พ้นกับดักนี้อยู่ดี -- น้อยคนมากที่จะหลุด) การสอนคณิตศาสตร์บ้านเราก็ไม่ได้อยากให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์ แต่อยากให้เด็กคำนวนเก่งๆ แก้โจทย์เก่งๆ .... มากกว่าการสื่อสารด้วยนิยาม การบรรยายด้วยนิยามที่หนักแน่นและพิสูจน์ได้ การสื่อสารจินตนาการออกมาเป็นรูปร่างที่เชื่อมโยงด้วยตรรกต่างๆ ฯลฯ
เวลาผมบอกว่า "คณิตศาสตร์ไม่ใช่วิชาคำนวน" นี่เอาจริงๆ แทบไม่มีใครเชื่อผมล่ะ เพราะทุกคนสนใจแค่ "ข้ามฉาก ชิดฉาก ข้ามชิด" (จนอยากจะบอกว่า ข้ามไอ้พวก shitๆ พวกนี้ไปก็ได้นะ) มากกว่าความสัมพันธ์พื้นฐานระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ที่บรรยายได้เป็นรูปเป็นร่าง
เวลาเด็กนักศึกษานำเสนองาน ที่เป็นสมการคณิตศาสตร์ หรือฟังก์ชั่นต่างๆ ทุกคนจะบอกแค่ว่า "ใช้สูตรนี้" หรือ "มีสูตรนี้" (ซึ่งผมเกลียดคำว่า "สูตร" ที่สุด -- แต่อันนี้ส่วนตัว) พอถามว่าแล้วสมการหรือคณิตศาสตร์ตัวนี้ มันบอกอะไรเราบ้าง มันเหมาอะไรบ้าง มันเหมาะสมหรือไม่ในการใช้งานแบบนี้ ฯลฯ ทุกคนจะทำหน้างง ว่าอาจารย์พูดบ้าอะไร มันก็แค่สูตร ก็ป้อนๆ ตัวเลขเข้าไปคำนวนก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ แทบจะทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่เด็ก ป.ตรี นะ เคยมี น.ศ. ป.โท (หรือเอกหว่า จำไม่ได้) ทางด้านคณิตศาสตร์ มาปรึกษาบอกว่าอาจารย์สั่งให้ไปอ่าน paper มา แล้ว "เจอสูตร" ถามว่า "จะใช้ยังไง" พอผมให้อธิบาย "สูตร" นั้น ทำไม่ได้ ไม่เข้าใจพื้นฐานที่มาอะไรเลย กลวงมาก ต้องมาเสียเวลาค่อนวันนั่งอธิบายแบบตั้งแต่พื้นตั้งแต่ฐาน .... นี่ขนาดคนที่เรียนสาขานี้ในระดับสูงนะ ยังเป็นแบบนี้
กลับมาเรื่องเดิม จะไปสนใจนิยามมันทำไม มันเอาไปสอบคณิตศาสตร์ไม่ได้ มันไม่ทำให้ได้คะแนน มันก็แค่นั้นแหละ ..... เด็กไม่ได้อยากเก่ง เด็กอยากได้คะแนน (ซึ่งเรื่องนี้โทษเด็กไม่ได้ อย่าไปโทษนะ .... โทษผู้ใหญ่นี่แหละ ที่วัดผลแต่เรื่องปลายเหตุกัน ... เด็กเข้าใจว่าคะแนน = เก่ง เป็นปกติอยู่แล้ว) การสอนก็ไม่ได้อยากให้เด็กเก่งคณิตศาสตร์นักหรอก แค่อยากให้แก้โจทย์ที่กำหนดให้แล้วได้ ก็เท่านั้นเอง

20 Nameless Fanboi Posted ID:BqaRHnpgp

>>19 ของใครวะ

21 Nameless Fanboi Posted ID:uj2Ninylt

If someone says they are Napoleon trapped in the body of a modern day human, society agrees they are insane and the person is given medication and treatment. They are not invited to rule France (or exiled) for being Napoleon.

If someone said (to a doctor, not shitposting anonymously online) that they were a wolf trapped in a human body, they would be diagnosed as mentally ill, and given medication and treatment. They would not be permitted to take actions consistent with being a wolf (and likely doctors would take precautions to stop that scenario).

Yet, for some reason, when someone says they are a woman trapped in a man's body (or vice versa) they are not diagnosed as mentally ill, they are not given medication and treatment to help them. Instead, medication (hormones) to assist in their delusion, and surgeries to make it closer to the truth are available to them. Other people are forced to acknowledge their delusion, it is illegal for employers to discriminate against them (in the US) and now (in some states) you can't stop them from using the restrooms and other facilities of the gender they imagine themselves to be.

What gets me /pol/ is that there's no functional difference between the three scenarios. All three involve someone who is mentally ill and imagines themselves to be something they are not. But because the third example's mental illness touches on sexuality, all logic flew straight out of the window.

How long before the same arguments in support of transgenders get used for increasingly deranged goals? /pol/ loves to crash threads with "pedophilia isn't bad" gibberish, but the way the wind is blowing, they might not be wrong for too much longer...

>TL;DR Transgender is a mental illness. No one caters to the hallucinations of a schizophrenic, and we should not have to cater to the delusions of a transgender. Stop it here and now before it spreads and get those people some help.

22 Nameless Fanboi Posted ID:pSHrgAZsB

"วันนี้เป็นวันประกาศใช้กฎหมายใหม่ ว่าด้วยเรื่องการขับขี่จักรยานบนท้องถนนในญี่ปุ่น ซึ่งกฎหมายใหม่ที่ปรับคราวนี้ เข้มงวดขึ้น และมีบทลงโทษอย่างชัดเจน ดังนั้นเราในฐานะคนไทย เมื่อมาเที่ยวหรือพักอาศัยอยู่ที่นี่ ก็ควรปฏิบัติตาม กฎหมายการขี่จักรยาน ของญี่ปุ่นเค้านะครับ
พฤติกรรมอันตราย 14 ข้อ ที่ถือว่าผิด กฎหมายการขี่จักรยาน ในญี่ปุ่น
1. ฝ่าไฟแดง
2. ไม่หยุด ในจุดหยุดชั่วคราว (จะมีป้ายเขียน「一時停止」อยู่บนถนน ให้หยุดจอดดูซ้ายขวา เพื่อชะลอความเร็ว)
3. ฝ่าฝืนกฏหมาย การสัญจรในเขตฟุตบาทคนเดินเท้า (เช่น บนฟุตบาทอนุญาตให้เฉพาะ เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีและ คนแก่ที่อายุเกิน 70 ปี ขับขี่ได้เท่านั้น)
4. ขี่จักรยาน บนถนนที่มีป้ายห้ามจักรยานใช้ถนน
5. ขี่จักรยานด้วยความเร็วบนฟุตบาท (ทางที่ดีให้เข็นจักรยานเอานะครับ)
6. ขี่จักรยานสวนทางกับรถยนต์บนถนน (ในพื้นที่บนถนนที่ให้จักรยานขี่)
7. กีดขวางคนเดินเท้า บนถนนที่ไม่ได้เป็นฟุตบาท
8. ลอดข้ามป้ายกั้นทางรถไฟ
9. กีดขวางทางเดินรถยนต์ ในช่องทางที่รถยนต์สามารถวิ่งได้
10. กีดขวางรถยนต์ที่จะวิ่งอยู่บนถนน เช่น ทำการเลี้ยวขวาในช่องทางเดินรถตรงไปข้างหน้า
11. ทำผิดกฎหมายโดยประมาทในช่องทางจราจร ที่เป็นวงเวียน เป็นต้น
12. ขี่จักรยานที่ไม่มีเบรค
13. ขี่จักรยานในขณะที่เมาสุรา
14. ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับจักรยาน จนเป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ
ซึ่งเนื้อหาจริงๆนั้น อาจจะมีรายละเอียดที่ลึกลงไปอีก แต่ที่สำคัญคือ .. ถ้าใครโดนจับเตือนแค่ 2 ครั้ง ภายใน 3 ปี คนนั้นก็จะถูกทำโทษ ให้ไปรับการอบรมเกี่ยวกับ กฎหมายขี่จักรยาน โดยจะมีคอร์สอบรมประมาณ 3 ชั่วโมง และหลังอบรมก็จะมีข้อสอบให้ทำอีกด้วย หนำซ้ำค่าอบรมนี่คุณต้องจ่ายเองนะครับ เป็นเงิน 5,7000 เยน
ซึ่งถ้าฝ่าฝืนไม่ไปรับการอบรมก็จะถูกปรับ เป็นเงินไม่เกิน 50,000 เยนอีกด้วย .. เรียกว่าเสียทั้งเงิน และเวลาแบบนี้ หากใครมีพี่น้องอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็ฝากความรู้ เกี่ยวกับ กฎหมายการขี่จักรยาน ในญี่ปุ่นไปให้ทราบทั่วๆ กันด้วยนะครับ"
‪#‎มิตรสหายท่านหนึ่ง‬

23 Nameless Fanboi Posted ID:R6nxpxyqB

>>21 เป็นสารที่แถเหี้ยๆ

Posts limit exceeded

Topic has reached maximum number of posts.

Please start a new topic.

Be Civil — "Be curious, not judgemental"

  • FAQs — คำถามที่ถามบ่อย (การใช้บอร์ด การแบน ฯลฯ)
  • Policy — เกณฑ์การใช้งานเว็บไซต์
  • Guidelines — ข้อแนะนำในการใช้งานเว็บไซต์
  • Deletion Request — แจ้งลบและเกณฑ์การลบข้อความ
  • Law Enforcement — แจ้งขอ IP address

All contents are responsibility of its posters.