Last posted
Total of 1000 posts
>>895 ยอดคนเฟบกูหลักร้อย 5555
>>897 เออ กูก็อยากเลิกทำนะ แต่คือลงทุนไปเยอะแล้วไง นี่เดี๋ยวนี้ต้องมีปกให้เห็นก่อน กูก็ต้องให้เขาทำปกอีก ค่าปกอีก กูปวดหัวฉห
>>898 สู้ๆ นะมึง กูมีอีกสาเหตุหนึ่งคือคนอ่านน้อย 55555
>>899 กูว่าเฉลี่ยเล่มกูไม่แพงนะ เลี่ยงงานหนังสือมาแล้วด้วย แต่ช่างมันละตอนนี้ เป็นไงกูก็กัดฟันรับละ แต่ยอดเฟบมึงเยอะอ่ะ อิจ!
ขอบคุณทุกคน ถามอีกหน่อยเขียนยังไงให้คนอ่านเยอะๆ วะ เอาไปโฆษณาที่ไหนได้บ้าง กลุ่มอ่านหนังสือในเฟสก็มีแต่คนโฆษณารัวๆ เลยอ่ะ
>>903 กูเข้าใจมึงนะ ของกูก็คนอ่านน้อยมากกกกก ยอดแอดแฟนนี่มีแค่หลักร้อยต้นๆ เหมือนกัน 555555 ยังไงมึงลองติดต่อร้านออนไลน์ไหม ถัวเฉลี่ยให้ถูกลง เผื่อได้ค่าพิมพ์เล่มมางี้ กูเองคนจองน้อยมากจนลองไปถามร้าน ปรากฎว่าบวกไปบวกมา มีส่วนลดให้ร้านงี้ ก็เออ พอค่าพิมพ์เฉยเลย
ส่วนโฆษณากูซื้อแอดโฆษณาในเพจอ่ะ เพื่อให้คนติดตามเพจเห็นมากขึ้น หรือกลุ่มเป้าหมายที่ซื้อนิยาย กูเองขี้เกียจไปลงโฆษณาตามกลุ่มอ่านหนังสือในเฟซอ่ะ อีกอย่างกูเจอหลายรอบแล้ว เวลาที่เราเปิดจองไม่มานะ พอปิดจองตีพิมพ์เป็นเล่มออกมาแล้ว คนอ่านก็จะตามมาซื้ออีกทีหลังอ่ะ ถ้าพอมีทุนอยากทำเองจริงๆ ก็พิมพ์มาเกินตามที่ตั้งเป้าไว้ก็ได้
>>904 ถ้ารักจะทำหนังสือทำมือขาย ทีหลังอย่าลงจบ และให้ประกาศว่าจะทำมือตอนที่กำลังพีคที่สุด คนอ่านเม้นเยอะที่สุด ยอดวิวพีคสุด ทีนี้ก็ดูว่าได้ยอดจองเท่าไหร่ ถ้ายอดคุ้ม บอกให้ลงชื่อสั่งจองเลย จ่ายเงินเลย แต่วิธีนี้มึงต้องเขียนให้จบแล้วค่อยลง ไม่งั้นพอเขาจ่ายเงินมาแล้วมึงมานั่งงมเขียนอีกนาน เสียเครดิตหมด ขอบอกว่าวิธีนี้ได้ผลที่สุด คนกำลังอ่านมันๆ กำลังมีอารมณ์ร่วม อยากได้ ถ้าจะให้ดี ต้องลงทุนสั่งคนทำปกไว้ก่อนเลย เอาแค่ปกร่างก็ได้ บอกคนร่างว่าขอเอาปกร่างมาโฆษณาก่อน จ่ายเงินเขาไปด้วยค่าร่าง พอมึงบอกให้คนจอง มึงมีปกร่างมาให้เขาดูทันที ทุกอย่างเตรียมไว้แล้ว มึงจะทำหนังสือเองต้องเป็นนักธุรกิจ ระหว่างที่จัดพิมพ์อยู่มึงก็ลงตอนพีคๆ เลี้ยงนักอ่านไว้ เผื่อได้เพิ่มยอดจองมาอีก ช่วงแรกถ้ามึงยังไม่ดัง ยอดเงินจองคุ้มค่าพิมพ์กับค่าส่งและค่ารถมึงแบกไปส่งก็พอแล้ว เป็นการสร้างชื่อเสียงไว้ก่อนว่ามึงไม่โกง ทีหลังมึงยังจะขายเล่มที่พิมพ์เกินมาได้อีก
>>904 คิดว่าทำซื้อประสบการณ์แล้วกันมึง รอบหลังถ้าลงมาพอควรแล้วยอดแอดเฟบไม่ถึง 2 พันกูว่าอย่าทำเลย 2 พันยังดูน้อยๆ อยู่ด้วยแต่คนรู้จักก็ราวๆ นี้ก็พอไปได้ คือยอดคนติดตามน่ะมันหมายถึงเวลาอัพแล้วคนมีเห็นด้วยไง ในบรรดาคนที่เห็นก็จะมีบางคนซื้อ 10% นี่ก็ว่าดูเยอะไปด้วยมั้ง บางคนก็ถึง บางคนก็ไม่ถึง คนเห็นน้อยไม่ซื้อมันไม่แปลกอะนะ
แต่ถ้าเข้าเนื้อหนักจริง แล้วถ้าพิมพ์มันจะเข้าเนื้อหนักเข้าไปอีกมาก มึงเชื่อตาม >>897 ก็ดี ปกก็เอาไปใช้เล่มอื่นหรือไปลง ebook หรือถ้ามันคงไม่เข้าไปมากกว่านี้เท่าไหร่ก็พิมพ์ตามออเดอร์ไปนั่นแหละ เข้าเนื้อไปแล้วก็ปล่อยๆ ไป เขียนเรื่องใหม่ต่อ
เรื่องเขียนให้คนอ่านเยอะๆ กูว่าโฆษณาตามกลุ่มมีผลไม่เท่าไหร่หรอก อย่างดีก็แค่ตอนเริ่มทำให้คนอ่านเพิ่มขึ้นไม่กี่คน มึงต้องเขียนให้คนสนุกตั้งแต่ตอนแรกๆ เลย สามตอนแรกคนต้องอยากอ่านตอนต่อๆ ไป แบบนั้นอะคนจะเข้ามาอ่าน ถ้ามึงไปสนุกกลางๆ หรือหลังๆ คนอาจไม่ทนอ่านไปขนาดนั้น ถ้าเรื่องมึงสนุกตั้งแต่แรกๆ กูว่าเดี๋ยวคนมาอ่านเอง
>>906 คิดเหมือนกูเลย แต่ตอนลงยังไม่จบก็ได้ แต่ตอนจะเปิดจองควรจะจบหรือใกล้จบได้แล้ว
กูมีปัญหา คือกูกังวลเรื่องคำซ้ำจนแทบเป็นบ้า แถมกูยังอ่านทิปการเขียนงั้นงี้ตั้งเยอะแยะแล้วก็แบบกังวลต่างๆนานามากมาย เป็นเพอร์เฟคชั่นนิสไปแล้ว ตอนนี้เขียนอะไรก็ไม่ลื่น ไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนว่ะ ก็พยายามปลงนะ แต่สุดท้ายก็กลับมาเครียดเหมือนเดิม เวลาอ่านของคนอื่นจะคิดว่าแบบนี้เราก็เขียนได้ แต่พอลงมือจริง หัวโคตรโล่งเลย
>>908 ถ้ากังวลเรื่องคำซ้ำ แนะนำว่าแต่งให้จบทั้งย่อหน้าแล้วอ่านทั้งหมดรวดเดียว หลัก ๆ ดูว่าอ่านแล้วลื่นมั้ย อ่านแล้วโฟลว์มั้ย จังหวะการเล่าได้มั้ย ถ้าพวกนี้ผ่าน ต่อให้มีคำซ้ำเยอะก็ไมเป็นไร เพราะตราบใดที่มันโฟลว คนอ่านจะไม่รู้สึกอะไรกับคำซ้ำเลย ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าสะดุด คำซ้ำเป็นที่สังเกตได้ค่อยกลับมาแก้
กูอยากเขียนเรื่องยาวอ่ะ ที่ผ่านมาเคยเขียนแค่เรื่องสั้นตอนเดียวจบมาตลอด แต่กูก็แอบไม่มั่นใจเอาซะเลย กลัวว่าจะเขียนไม่ออก เขียนไม่รู้เรื่อง ไม่ต่อเนื่อง บลาๆ แต่กูก็พยายามปลงนะว่าเขียนๆไปเถอะ มีผลงานซักชิ้นก็ยังดี กูอยากขอคำแนะนำว่าควรเตรียมตัวไงบ้างอะ
กุกำลังเขียนแนวเสิ่นเจิ้นอยู่ ข้อมูลแอบหายากพอสมควร อิงจากนิยายบางเรื่องก็ไม่ได้เหมือนแต่งตามจินตนาการคนเขียน กุเป็นแบบถึงตัวละครสมมุติมา แต่คนละมิติกับเหตุการณ์จริงๆ เฉยๆ คนละคน แต่ข้อมูลถูก ตัวละครกูเป็นงี้ องค์ชายลูกคนล่าสุดของฮ่องเต้กับลูกสาวคนเดียวจากตระกูลเสนาบดี(มีพี่ชายอีกแปด เป็นลูกหญิงคนเดียว) จากสมรสพระราชทาน ไปจนถึงชีวิตประจำวันของทั้งคู่ เนื่องจากยังเด็กทั้งคู่เป็นแค่ตัวหมากทางการเมืองไปพลางๆ ก่อน นางเอกก็เอ๋อๆ ต้องคอยสอนไปเรื่องธรรมนงธรรมเนียม (ซึ่งจะได้สอนตัวกุไปด้วย)
นี่กุเพิ่งเจอพงศาวดารจีน.pdfมา ไม่รู้อ้างอิงได้แค่ไหนยังไม่ได้เปิดเลย และกำลังให้เพื่อนที่เรียนที่จีนไปหาให้อยู่ (ถถถ ใช้เพื่อนให้เป็นประโยชน์สูงสุด)
ใครที่เขียนแนวเสินเจิ้นแบบกุแล้วมีข้อมูลไรดีๆ ปันกูที กราบ ยุคไหนก็ได้ ช่วยโม่งคนนี้ด้วย
>>913 สร้างตัวละครหลัก นิสัยและวิถีชีวิต จากนั้นค่อยมีพล็อตเรื่องหลัก แล้วก็พล็อตรอง ตัวละครรอง จากนั้นก็เรื่องความสัมพันธ์ อิงจากนิสัยตัวละครแต่ละตัว โดยมีสถานที่ สถานการณ์ บรรยากาศในเรื่องเป็นตัวชี้นำ
ส่วนตัวกูเขียนได้เรื่อยๆ เพราะกูเอานิสัยจากคนใกล้ตัวมาเขียนเป็นตัวละครเลย เพื่อนนี่ใช้เป็นตัวละครได้ดีมาก เลือกเอาเลยว่าคนไหนนิสัยเหมาะจะมาอยู่ในนิยายของมึง จะให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นก็คิดถึงกิจกรรมต่างๆที่มึงทำกับเพื่อนก็ได้ มาเป็นโครงเรื่องสำหรับพล็อต ส่วนตัวกูเล่นเกมส์กับเพื่อนบ่อย รู้สึกเหมือนได้ผจญภัยไปด้วยกัน มีทะเลาะ ด่า เบลมกันบ้างเป็น Conflict แต่ก็ยังไปด้วยกันได้เรื่อยๆ แต่ไปได้เรื่อยๆต้องอย่าลืมว่ามีพล็อตเรื่องหลักด้วย ให้เขียนเนื้อเรื่องหลักเป็นเควสหลักบันทึกใส่ Notepad ไว้เลยจะได้ไม่ลืม เพราะนิยายเรื่องยาวหลังๆกูเห็นออกทะเลบ่อยมาก ออกทะเลมากๆคนก็จะเลิกตามเอา
คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกูนะ แต่กูว่าถ้านิยายมึงมาถึงจุดที่ควรจบ ก็ควรทำให้จบไปเลยดีกว่า เช่นเคลียปม เคลียความสัมพันธ์เสร็จหมดแล้ว แล้วจบอย่าง ตัวเอกก็ออกเดินทางต่อไปอะไรพวกนี้อย่าเลย มันกาก พล็อตทวิสต์นี่มีได้ แต่อย่าเล่นมุขเดิมซ้ำบ่อยๆไม่งั้นคนอ่านจะเบื่อ ถ้าจะให้พีค ก็ต้องทวิต์อย่างมีเหตุมีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มเรื่อง เออ แล้วก็มาคุยกับคนอ่านบ้าง จะได้ดูเข้าถึงได้ แต่อย่าหลุดเนื้อเรื่องไปล่ะ
โอเค ก็ยากในหลายๆแบบแตกต่างกันไปแหละ แต่ยังไงกูก็ว่าฟิคมันดังง่ายกว่าอยู่ดี ก็มีฐานแฟนอยู่แล้วนี่นะ
กุเซ็งว่ะเพื่อนโม่ง... กุโดน บก. บอกว่าช่วงนี้ให้ลองเขียนอะไรแนวเมากาวดูบ้างตามกระแส
...เออ แบบนี้กุต้องดมกาวก่อนเขียนรึเปล่าวะเนี่ย
>>920 ทำเป็นเล่นไป ดังง่ายกับผีน่ะสิมึง เดี๋ยวนี้ฟิคผุดเป็นดอกเห็ด (อิห่า ผุดเยอะพอๆ กับนิยายวายสายเน้นเยดูด เยดูดอะ) ฟิคบางเรื่อง ภาษาดีมาก แต่เงียบฉี่เพราะคนอ่านไม่รู้จักคนเขียน คนเขียนดังไม่พอ ไม่มีบารมีเหมือนคนเขียนเซเลบในแฟนด้อมบางคน สักพัก คนเขียนโนเนมพวกนั้นแม่งก็ปิ๋วไป มีเกิดและดับไปกันเยอะจะตาย มึงอย่าหวังเลยค่ะว่าเขียนแฟนฟิคแล้วจะดังเป็นพลุแตก ยอดพรีฟิคบูมบาย่า มันก็เหมือนกับเขียนนิยายออริทั่วไปนี่แหละ
>>921 เมากาวยังไงวะคะเพื่อนโม่ง
กูอัดอั้น ขอระบายแป้บ คือเวลากูจะแต่งอะไร ถ้าได้เห็นงานของคนที่เขียนดีกว่ามาก่อน กูจะโคตรเฟลซึมเศร้าไปเลย แต่ถ้ากูเห็นงานห่วยกว่าแบบพวกในเด็กดี กูจะรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที แบบเอาวะกูคงเขียนให้ดีเลิศไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ไม่กากจนทุเรศเกินล่ะวะ รู้สึกเลวชอบกล 555
กูเป็นนักเขียนแล้วก็เป็นนักอ่านด้วย กูหงุดหงิดมากเวลาเจอพวกนักเขียนที่ผิดในคำที่ไม่ควรผิด(ประเด็นคือที่กูเจอบางคนเป็นนักเขียนที่นิยายตีพิมพ์ด้วยไง อายุก็ 20+ ละ) ที่กูเจอมีเขียน
' ถ้า ' เป็น ' ท่า ' กูนึกถึงท่าเรือเลย
' พาล ' เป็น ' พาน ' จะยกพานถวายใครวะ
' งอน ' เป็น ' งอล ' อันนี้เจอบ่อย นี่ใช้ผิดจนไม่รู้ว่าเขียนถูกเป็นยังไงใช่ไหมวะ
มีอีกมากมายที่กูเจอ บางอันก็ตลกดี แต่โตๆมาอายุไม่น้อยแล้วเป็นนักเขียนด้วย คำปกติง่ายๆที่ไม่ใช่ศัพท์ยากๆก็ควรเขียนให้ถูกไหมวะ
กูฝากเพื่อนโม่งนักเขียนช่วยคิดถึงเรื่องคำผิดกันนะ เพราะคำผิดมันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ตัวมึงไม่มากก็น้อย
กูหงุดหงิดประเด็นการใช้สรรพนามมาก คือเรื่องเล่าด้วยสรรพนามบุรุษที่สาม แต่พอพูดถึงตัวเอกสองคนพร้อมกันเสือกใช้คำว่าเรา เจอแทบทุกเรื่องที่อ่านเลย เป็นอะไรกันไปหมดวะ
กุแต่งจีนโบราณ นางเอกเรียกแทนตัวเองว่าข้าได้มะ "ข้าไม่อยากทำอะไรเลยเจ้าค่ะ ขอนอนเฉยๆ เถิด ส่วนเจ้าจะไปไหนก็ไปเถิด"
แต่กูว่าบางทีใช้สรรพนามผิดก็ไม่เป็นไรนะ ถ้าจงใจใช้เพื่อแสดงนิสัยของตัวละคร เช่น บ่าวที่มีความทะเยอทะยาน แค่สนิทกันเจ้านายหน่อยก็ตีตัวเสมออะไรแบบนี้ รึพระเอกแนวไม่ก้มหัวให้ใคร มีความหยิ่งโอหังสูง
กูเป็นนักเขียนนะ กูเข้าใจว่าใช้พาล ลอลิง
แต่สนพ.แก้ให้กูเป็น พาน นอหนูหมด
กูก็ยึดตามสนพ.วะ
พาล ล.ลิง คือ พาลโกรธ
พาน น.หนู พานใส่ของหรือ คล้ายๆ พลอยจะ...ไปด้วย
ปกติกุแต่งฟิคลงfanfictionเป็นภาษาอังกฤษกุแต่งแบบตามใจฉันไม่เคยรู้สึกกดดันเท่าไหร่ พอกุมาแต่งภาษาไทย ภาษาตัวเองกดดันชิบหาย เพิ่งลงเว็บเด็กดอยไป เริ่มมีฐานแฟนคลับ กดดันชิบหาย โอยยย กุปวดตับ หรือกุกลัวนิยายกูโผล่ในโม่งวะ ถถถ
>>942 กุขอปรึกษาหน่อยได้ไหม กุติดคิดบทสนทนาในหัวเป็นภาษาอังกฤษแต่พอมาแปลเป็นไทยยังไงก็ใช้ได้ไม่ดีว่ะ อย่างกูอยากให้ตลค. บอกกับเด็กคนนึงว่า be kind to others and live your life well. กูไม่รู้จะแปลยังไงไม่ให้กระด้างเลย "จงอ่อนโยนกับผู้อื่นและใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี" หรือจะเปลี่ยนไปเป็น "ใช้ชีวิตของเจ้าให้มีควาหมาย" แต่มันก็แปลกๆ ว่ะ กูแต่งนิยายด้วยสำนวนแปลแต่ไม่อยากให้มันขัดเขินขนาดนี้
พอความจูนิเบียวของกุหาย นิยายกุเรียลขึ้นเหี้ยๆ แต่กุลงหมวดคอมเมดี้ แม่งงงงง ความจูนิเบียวกลับมาก๊อนนนนน
>>945 ลองดูคาร์ของมึงก่อนมั้ยว่าปกติพูดไงมั่งอ่ะ เป็นคนพูดแนวห้วนๆหน่อย หรือพูดแบบสั้นกระฉับเรียบๆ หรือเจ้าสำบัดสำนวน
กูไม่ค่อยเก่งอิ้ง แต่เท่าที่อ่านดู อันนี้เหมือนเขาจะเน้นพูดแบบกระชับๆหน่อยเปล่า
ถ้างั้น "จงอ่อนโยนกับผู้อื่นและใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี" นี่อาจเยิ่นเย้อไป ปรับเป็น "ดีต่อผู้อื่นและดีต่อตนเอง" อะไรงี้พอไหวมั้ย
ถามหน่อยดิคือกุก็แต่งฟิคแต่งนิยายมาเรื่อยๆนะ แต่กุไม่จริงจังไงมันเป็นแค่งานอดิเรก แล้วกุถูกคนอ่านด่าวะว่าไม่จริงจัง อัพไม่สม่ำเสมอ ภาษาก็แค่พอได้ คือกุต้องจริงจังและพยายามพัฒนาฝีมือถึงขั้นไหนสำหรับงานอดิเรกวะ กุไม่หวังจะหาเงินอะไรจากเรื่องที่กุแต่งเลยนะ ถึงฟลุ๊คดังขึ้นมามีคนจะขอทำเล่มกุก็จะไม่ทำไม่อยากปวดหัวเพราะทุกวันนี้กุก็เรียนปีท้ายๆของคณะที่จบไปมีงานทำแน่นอนอยู่แล้ว กุไม่มีทางมาเอาดีด้านงานเขียนแน่ๆอะ กุอยากแต่งไปเรียบๆเรื่อยๆของกุไม่ต้องคิดไรมากแต่กุก็ไม่อยากถูกด่าละกุควรทำไงดี
>>948 คำเเนะนำของกูคืออย่าไปเก็บมาอารมณ์หรือทำให้ตัวเองคิดมาก ตัวเองสะดวกตอนไหน สบายใจจะเเต่งตอนไหนก็ตามใจมึงเลย เพราะคนที่พิมพ์ว่าคนเขียนแบบไม่มีเหตุผลเนี่ย เค้าไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้เเค่การระบายอารมณ์ใส่มึง เพราะไม่ได้อย่างใจตัวเอง เพราะงั้นนะ อย่าไปใส่ใจหรือให้ค่าเลยมึง เป็นกำลังใจให้มึงนะ
การ์ดที่เฝ้าประตูเมืองในธีมจีนโบราณเค้าเรียกไรวะ กุนึกภาษาไทยไม่ออกเลย ตำหนวด? ผู้เฝ้ารักษาการ? ทหาร? ยาม?
ใช้ภาษายังไงดีเพื่อนโม่งถึงจะดูเป็น Post modern กูว่ามันก็ไม่ค่อยต่างกับสมัยนี้ป่าววะ บก.กูแม่งบ้าบอ
ถามหน่อยครับ ปกติแล้ว นักเขียนหน้าใหม่ที่ส่งต้นฉบับผ่านจะมีบก.มาช่วยดูงานให้อีกทีหรือเปล่า
โม่งงงง เวลากุตาสว่างกุแต่งนิยายไม่ออกเลย พอกุจะหลับเท่านั้นแหละ แม่งไอเดียมา กุแต่งได้ยาวเลย ทำร้ายร่างกายกุมาก แง
เพื่อนโม่ง~ คือกุสงสัยอย่างนึงอะ
ถ้ากุเขียนแนว POV1 แล้วเขียนบรรยายภาพที่ตัวเอกเห็น + ความคิด มันจะเวิ่นเว้อไปมั้ยอะ?
กุสร้างตัวละครแนวตัวเอกขี้บ่น พอบรรยายสถานการณ์ตรงหน้าเสร็จ บรรทัดต่อไปก็จะตามด้วยคำบ่นเล็กๆ ซักสองประโยค แบบนี้มันจะโอเคมั้ยหว่า?
>>959 ก็บ่นในใจแหละ แต่บางทีจะมีบ่นออกมาข้างนอกบ้าง
อ่าแล้วขอถามเพิ่มอีกหน่อย ...ถ้าตัวเอกเป็นคนบรรยาย mechanic ในเรื่องแบบคร่าว ๆ มันจะนับว่ารู้มากไปมั้ย?
ยกตัวอย่าง สมมุติในเรื่องตัวเอกบังเอิญไปเจอคนรู้จักที่มาจากตระกูลใหญ่โต ตัวเอกจะบรรยายเกี่ยวกับตระกูลนั้นว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำธุรกิจอะไร แบบคร่าวๆ ไม่ถึงกับลงรายละเอียดเบื้องลึกแบบนี้มันจะโอเคมั้ย?
เคยโดนติมาว่าตัวเอกเป็นพวกรู้มาก กุเลยไม่มั่นใจว่าเขียนแบบนี้ยังไปได้รึเปล่า
เด็กดอยเวลาเราปิดเปิดเรื่องมันแจ้งเตือนคนอ่านกันมั้ยวะ กูกลัวคนอ่านที่เฟบไว้รำคาญ
ตอนนี้กูเริ่มรู้สึกอายนิยายตัวเอง
โอ้ยกลุ้ม เขียนนิยาย 1 ภาค แต่กลับมีความหนาเท่า LN 3 เล่ม (ราวๆ 600 หน้า)
กุควรโละทิ้งทั้งหมดแล้วไปวางพล็อตใหม่ดีกว่ามั้ยเนี่ย หนาชิบหาย
ถามนิด ปกติถ้าเรื่องมีตัวละครต่างชาติพูดต่างภาษากันพวกมึงเขียนกันยังไงบ้าง
อย่างมีฝรั่งโผล่มาพูดกับตัวละคร
ใช้ภาษาอังกฤษไปเลย (อาจมีวงเล็บแปลว่ามันคุยไรกัน)
หรือว่าแปลไทยให้เลย โดยระบุว่าตอนนี้ตัวละครมันกำลังคุยอังกฤษกันอยู่
>>965 กูไม่วงเล็บเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็ใช้ภาษาไทยไปเลย แล้วบรรยายว่าพูดอังกฤษหรืออะไร
แต่มันก็จะงงๆถ้าเกิดว่าอยู่ดีๆมึงอยากเล่นมุกภาษาอังกฤษที่แบบ เออ ตัวเอกมึงอาจจะไม่เข้าใจงี้ มันก็จะแบบ เอ้ยย ทำไงดีวะ กูใช้ภาษาไทยมาทั้งเล่ม แม่งจะมาใช้ภาษาอังกฤษตรงนี้แม่งก็ประหลาด แต่จะให้ใช้อังกฤษทั้งเรื่องและวงเล็บตลอดก็ประหลาดเหมือนกัน
>>969 กุตัดหมดแล้ว นี่ 2 เดือนมานี่กุนั่งอ่านงานตัวเองแล้วไล่ตัดมา 2 รอบละ
แต่อันนี้กุยอมรับเลยว่าพลาดที่วางพล็อตละเอียดเกินไป ปมซับซ้อนและปูเนื้อหาเอาไว้เพื่อไปต่อ มันเลยออกมาเยอะแบบนี้
หลายคนก็บอกให้กุเขียนต่อไปอย่าได้แคร์ แต่พอมามองเทียบกับพวกไลท์โนเวลนี่ก็ทำเอารู้สึกเหมือนตัวเองมาผิดทางว่ะ - -
>>971 โม่งแตกน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่พล็อตเนี่ยกุลำบากใจที่จะเล่า (เพราะมันโคตรยาว) เอาเป็นว่าขอสรุปสั้นๆ แล้วกัน
เซ็ตติ้งเป็นธีมแฟนตาซียุคกลางตอนปลาย พระเอกกุเป็นชาวนาไม่รู้หนังสือ แต่ก็หัวไว ไหวพริบดี และช่างสังเกต อาศัยอยู่กับพี่สาวฝาแฝด (พระเอกเป็นซิสค่อนติดพี่) แต่วันหนึ่งไร่ที่พระเอกอาศัยอยู่โดนโจรบุก พระเอกพยายามปกป้องพี่สาว แต่ทำไม่ได้เพราะตัวเองไร้พลัง ถึงจะโชคดีที่มีคนมาช่วยเอาไว้ทัน แต่มันกลายเป็นปมที่พระเอกอยากให้ตัวเองเก่งขึ้น
หลายวันต่อมาพระเอกกุเข้าเมือง แล้วบังเอิญโดนร้านค้าแปลกๆ ลากไป มีการคุยถามประวัติกันเล็กน้อยก่อนฝ่ายร้านค้าจะยัดเยียดให้พระเอกซื้อของชิ้นหนึ่งมา ซึ่งมันคือหนังสือ แต่พระเอกกุอ่านหนังสือไม่ออกเลยได้แค่เปิดแล้วโยนทิ้ง โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้พลังบางอย่างมา
ต่อมาพี่สาวพระเอกโดนหาเรื่อง พระเอกเลยออกมาปกป้องและบังเอิญใช้พลังอัดใส่อีกฝ่ายจนหมอบ ก่อนทั้งคู่จะหนีไป (ตอนนี้กุพยายามบิ้วความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง + ให้พระเอกตั้งปณิธานว่าจะหาทางยกระดับชีวิตตัวเองและพี่สาวให้ดีขึ้น)
แต่ไม่นานเรื่องทะเลาะกันก็แดงขึ้นพระเอกเลยโดนลากไปสอบสวน และพบว่าตัวเองใช้เวทมนตร์ได้ แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้อีกฝ่ายเกิดความสนใจได้เท่ากับการที่พระเอก อ่าน เขียน และ คำนวณ ได้ ทางนั้นเลยอยากได้ตัวพระเอกเข้ามาทำงานด้วย ถึงพระเอกกุจะงงว่าเป็นไปได้ยังไง แต่ก็ยังอาศัยไหวพริบ ยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายยอมรับพี่สาวตัวเองเข้ามาด้วยได้สำเร็จ
เวลาไปผ่านไป พระเอกกับพี่สาวชีวิตดีขึ้น จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง ก็ได้มีปิศาจตนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น มันบอกว่าตัวเองเป็นปิศาจท่ี่ถูกผนึก และเฉลยว่าสาเหตุที่พระเอกใช้เวทมนตร์ได้ และอ่าน เขียน คำนวณ ได้เป็นเพราะหนังสือที่เขาซื้อมา ซึ่งพระเอกสามารถรับพลังได้มากกว่านี้ถ้าหากยอมขายวิญญาณให้กับหนังสือ พระเอกปฏิเสธ ปิศาจนั่นยอมถอยไป ก่อนมันจะทิ้งท้ายว่าหลังจากนี้พระเอกจะต้องเจอกับโชคร้ายอีกเยอะ
นี่คือ 1/3 ของเรื่องที่กุเขียน เป็นส่วนที่เขียนเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว พอลองกดเครื่องคิดเลขแล้วก็พบว่าปาไป 200 หน้าเศษๆ กันเลย ต่อให้ตัดตอนบิ้วอารมณ์ออกก็น่าจะยังเหลือ 150 หน้าอยู่ดี
ยิยายพวกมึงเคยพล็อตเปลี่ยนกันมั้ย
ของกุจากคอเมดี้ตอนนี้เป้นเหี้ยไรไปแล้วไม่รุ้ ไม่รู้จะกลับมาไงเี
>>973 เท่าที่ดูตอนนี้ตัดพล็อตไม่ได้ แต่ถ้ากูเขียน จะได้ไม่ถึง 150 หน้าด้วยซ้ำ เพราะกูจะไม่เล่าไปทีละขั้นตอน แต่จะเริ่มจากฉากที่พระเอกโดนสืบสวนแล้วแฟลชแบ๊กกลับไปเล่าความเป็นมาคร่าวๆ จากนั้นก็เชื่อมไปหาเรื่องปีศาจ มาบอกว่าที่มีเวทมนตร์เพราะบลาบลา แล้วพระเอกก็พยายามปกปิดเรื่องนี้ระหว่างที่โดนสืบสวน (ไทม์ไลน์จะเปลี่ยนจากของมึงนิดนึง) ดังนั้นกูว่าที่มันยาวไม่ใช่เพราะพล็อตนะ แต่เป็นที่การเรียบเรียงกับการลำดับเหตุการณ์เรื่องมากกว่า ฉากที่ไม่จำเป็นต้องเล่าละเอียดแบบ Sshow ก็ใช้ tell พอแล้ว อย่างช่วงชีวิตก่อนพระเอกโดนสืบสวนอะมึง
>>975 บ่อย 55555
>>976 ก็จริงอะที่กุเล่าไปตามลำดับขั้นเกินไป แถมยังใช้ show ซะเยอะด้วย Orz
แนะแนวทางได้ดีนะ แต่น่าเสียดายเพราะที่จริง... ไอ้ที่เล่ามานี่คือ flash back ของพระเอกทั้งหมดเลยอะสิ
ที่กุเขียนน่ะ บทนำคือตอนท้ายของเรื่อง แล้วพระเอกมัน flash back เล่าย้อนตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ไล่ไปจนถึงช่วงบทนำเลย
แต่ในเมื่อแนะมาแบบนี้ กุขอรับไปลองวิเคราะห์ดูแล้วกัน
บางทีอาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าให้มันสั้นกระชับกว่านี้ได้ก็คงดี
เห็นยอดเฟบลดแอบใจหาย กุเขียนไรผิดไป
นักอ่าน กุขอโทดกุไม่ว่างแต่งทุกวันนนน ทักต้องมานั่งแก้ก่อนเผยแพร่อีก
คืองี้กุคิดว่ายอดเฟบลดเพราะกุลงช้า กุลงช้าเพราะกุอ่านทวน เชคอีกรอบ แก้คำผิด แก้สำนวน มันคงไม่ทันใจแบบพวกนิยายพิมพ์ผิดแต่ลงไว ฮือ
>>982 มึงอยากได้คนอ่านที่ไม่สนสี่สนแปด เอาแต่ความเร็วเข้าว่าหรือเปล่าล่ะ ถ้ามึงชอบแบบนั้น มึงอยากสนองให้พวกที่อ่านนิยายเอาแค่เนื้อเรื่องสะใจตัว ไม่สนใจความละเอียดหรือความดีงามอะไร มึงก็ลงเร็วๆตามคนอื่นไป ถ้ามึงพอใจยอดวิว เผื่อว่ามึงจะเอาไปขายได้ หรือมึงภูมิใจในยอดมากกว่าในผลงานที่มึงตั้งใจำ มึงก็เอาเร็วเข้าว่า
เพื่อนโม่งปรึกษาเรื่องนิยายหน่อยสิ กูมือใหม่เพิ่งแต่งเรื่อง 2
แนวสงคราม เซ็ตติ้ง ยุคกลางสไตล์จักรวรรดิรัสเซีย แฟนตาซี
อยากรู้ว่าถ้ารีบเดินเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร เร่งเข้าช่วงสงครามเลยจะโอเคมั้ยวะ ทั้งหมดนี้ใน 10 ตอน แต่เป็นนิยายเรื่องยาวนะ
เรื่องย่อ พระเอกเป็นเด็กบ้านนอกในหมู่บ้านเกษตรกรรมที่กำลังจัดงานเทศกาลต้อนรับฤดูร้อนอยู่ ส่วนนางเอกเป็นเอลฟ์นักล่าสัตว์ บาดเจ็บโดนก๊อปลินทำร้าย แล้วหลงมาหมู่บ้านพระเอก เดิมทีมนุษย์กับเอลฟ์แทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันเลยเพราะพวกเอลฟ์อยู่ในป่าลึก อันตราย กอปรกับปัญหาการเมืองภายในที่ฝ่ายปกครองแตกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายจักรวรรดินิยมนี่ยังนิยมให้ซาร์คุมอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ กับ ฝ่ายสหภาพแรงงานที่ต้องการให้อุตสาหกรรมต่างๆเป็นเจ้าของโดยชนชั้นแรงงานด้วยกัน อิงระบบ Syndicalism ทำให้เสียเสถียรภาพทางการเมือง ทีนี้พระเอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองเลย เพราะอยู่ในบ้านนอกตะเข็บชายแดนก็บังเอิญไปเจอนางเอกสภาพร่อมร่อใกล้ตายอยู่ แต่พาคนมาช่วยไล่ก๊อปลินได้ทัน พอนางเอกฟื้น ก็รู้สึกปลื้มและเปลี่ยนมุมมองต่อมนุษย์ นางก็เรียนวิธีทำอาหาร เล่นดนตรีจากหมู่บ้านมนุษย์ไปเผยแพร่ในหมู่บ้านเอลฟ์ ทำให้สองหมู่บ้านที่ไม่เคยติดต่อกันมาก่อนเป็นร้อยๆปี เริ่มสานสายสัมพันธ์ขึ้น
ทีนี้ฝ่่ายจักรวรรดินิยมรู้เรื่องขึ้นมา ก็เลยส่งทูตไปติดต่อกับเอลฟ์ มีบรรณาการมากมายไปให้ เอลฟ์ที่เพิ่งเริ่มเปลี่ยนมุมมองกับมนุษย์ก็ยิ่งรู้สึกปลื้มเข้าไปใหญ่ แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะโดนหลอกรวบดินแดนให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้ฝ่ายจักรวรรดินิยม แต่ด้วยวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ยังไม่เข้ากับวิถีชีวิตของพวกเอลฟ์เท่าไหร่ ทำให้พวกเอลฟ์ปฏิเสธ แผนการรวบดินแดนจึงล้มเหลว ซาร์รู้สึกเสียหน้าที่คนป่าเผ่าเล็กๆอย่างเอลฟ์ไม่ยอมรับข้อเสนอ เลยคิดจะใช้กำลังยึดครอง โดนอ้างเหตุผลว่าปกป้องเอลฟ์จากก๊อปลิน เมื่อกองทหารของซาร์ยกพลไปยังชายแดน ฝ่ายสหภาพแรงงานเห็นกำลังพลลดลงจึงถือโอกาสปลุกระดมประชาชนให้มาเข้ากับพวกของตน เป็นชนวนที่จะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง ที่พระเอกจะโดนดึงเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยในภายหลัง ทำให้ต้องแยกจากนางเอก
เล่นเรื่องการเมือง แนวคิดทั้ง 2 ขั้วอิงจากปฏิวัติรัสเซีย 1917 แล้วก็เล่าเรื่องเหยื่อของสงครามอย่างพระเอกกับนางเอกที่เป็นแค่คนธรรมดาที่โดนดึงเข้ามาด้วย แล้วถูกบังคับให้เลือกข้างตัวเอกโดนหลอกใช้ อาจจะเพิ่มประเด็นเหยียดเพศ เหยียดเผ่าขึ้นมาด้วย แล้วก็ปัญหาจากภายนอกคือเรื่องก๊อปลินกับออร์คที่จะยกทัพลงมาบุกตอนที่สองฝ่ายกำลังตีกัน อิงจาก 1937 ญี่ปุ่นบุกจีน
กุแต่งจีนโบราณ แต่ในหัวกุมีแต่ศัพท์สมัยใหม่ทั้งน้าน เง้ออออ บางอันมาแม่งเป็นตัวอังกฤษ มีวิธีทำให้สมองโบราณมะ ๕๕๕
kyนะ ขอปรึกษาเรื่องการแต่งนิยายหลายฉากหน่อยนะ
ฉากแรก พระนางมีโมเม้นต์กุ๊กกิ๊กน่ารักแล้วจะจูบกันจนท้าย แต่ฉากมันออกมาจืดๆ ไม่ฟินอย่างที่อยากให้เป็น เหมือนตอนแต่งเราไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม พอมีคำแนะนำไหมว่าแก้ไขยังไงได้บ้าง
ฉากสอง ต่อเนื่องจากฉากแรกที่พระจูบนาง พระเอกนึกถึงอดีตตัวเองที่เคยมีปัญหาเรื่องผู้หญิงมาเยอะจนกระทั่งกลับตัวเป็นคนดีศรีสังคมแบบปัจจุบัน ช่วงย้อนอดีตจะเล่ายังไงให้น่าสนใจ รู้สึกเหมือนพระเอกมายืนรายงานหน้าชั้นเรียนน่ะ
ถามหน่อย คือกุเรียนมหาลัยอินเตอร์ในไทยที่มีนศ.ต่างชาติเยอะมาก ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย อินเดีย
อิหร่าน อังกฤษ สวิส เมกา บราซิล กินี ไนจีเรีย เดนมาร์ก ยันเพื่อนบ้าน ฯลฯ อาจารย์ส่วนใหญ่ก็มาจากยุโรป แล้วกุจะเขียนนิยายโดยอ้างอิงเซตติ้งจากม.กูเนี่ยแหละ อ่านแล้วจะรุ้สึกอินมั้ยวะ คือไม่ใช่อะไรหรอกลำพังแค่กูเล่าให้ญาติฟังว่าม.กูอย่างงั้นๆ เขาก็นึกภาพไม่ออก ไม่ชื่อว่าในไทยมีม.แบบนี้อยู่ด้วยแล้ว เขาจะติดภาพแบบว่าภาคอินเตอร์คงมีหัวทองสักสามคนในห้าร้อย ต่างชาติที่เหลือเป็นเพื่อนบ้าน 70เปอเซ็นต์เป็นไทยหมดอะไรงี้ จริงๆ จะเปลี่ยนเป็นม.คนไทยทั้งหมดก็ได้แหละ แต่กูแค่ไม่อยากจะเขียนอะไรที่กูไม่รู้
มู้ 3 >>>/literature/4775/
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.