อยกาเขียนบทความว่ะ เขียนได้ที่ไหนบ้าง มีเวปแนะนำไหม
Last posted
Total of 1000 posts
อยกาเขียนบทความว่ะ เขียนได้ที่ไหนบ้าง มีเวปแนะนำไหม
ถามหน่อย เดี๋ยวนี้เด็กดีไม่ลดยอดแฟบให้ดูแล้วเหรอวะ พอดีสังเกตุมาหลายเดือนละตอนแรกคิดว่าน่าจะคิดไปเองแต่ลองจดยอดแฟบไว้ทุกวันๆ เพื่อเทียบแล้ว ยอดแฟบมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีลดลงเลยทั้งที่ก่อนหน้านี้ยอดแฟบเรื่องกูนี่ขึ้นลงยังกะคลื่นเฉลี่ยนแล้วเดือนหนึ่งจะได้เพิ่มจากยอดเดิมซักสองสามคน ที่สังเกตไว้นี่ตอนนี้สงสัยว่าเป็นเพราะจำนวนตอนรึเปล่า เพราะมันเริ่มไม่ลดตอนที่ลงไปได้ซักร้อยกว่าตอนนั้นแหลหรือกูแค่คิดไปเอง
>>527 มึงอย่าพยายามมากไปจนทำให้มึงรู้สึกฝืน มองย้อนกลับไปที่พล็อตก่อน ว่าเหมาะจะเล่นให้ยาวได้แค่ไหน ลองลำดับเรื่อง เวลา เหตุการณ์ที่จะเกิดว่ามีอะไรบ้างตามพล็อตนั้น บางทีปัญหาอาจอยู่ที่มึงรวบสถานการณ์เข้ามาจนทุกอย่างมันสั้นลงรึเปล่า
ตัวกูเองถนัดเขียนเรื่องยาว พล็อตสั้น ๆ กูก็แล่ให้มันยาวสุดลูกหูลูกตาได้ ในขณะที่เพื่อนกูพล็อตอาจจะยาวเท่ากู แต่เขียนจบภายในสี่หน้าเอสี่ กูเลยต้องสังเกตตัวเองกับสังเกตเพื่อนกูว่า มันมีจุดที่ต่างกันตรงไหนบ้าง
เท่าที่กูเห็นคือเรื่องการดำเนินเรื่อง เพื่อนกูเน้นรวบๆ และโฟกัสไปที่บางตัวละครเท่านั้น บางเหตุการณ์ก็พูดถึงในเชิงมาเล่าให้ฟังหลังจากผ่านไปแล้ว ทุกอย่างเลยสั้น กระชับ ส่วนของกูจะเจาะลงไปในหลายฝั่งของตัวละคร เหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่คนนิยมรวบ กูก็เจาะลงไป ข้อเสียคือมันจะยาว แต่ข้อดีคือคนอ่านจะเห็นภาพชัดแล้วก็รู้ถึงความเป็นไปด้วยตัวเอง ไม่ใช่รู้ผ่านการที่คนเขียนมาสรุปให้หลังจากทุกอย่างผ่านไปแล้ว
อีกอย่างคือการโฟกัสตัวละครและความรู้สึก มึงใส่ใจความรู้สึก/ความคิดตัวละครมากน้อยแค่ไหน เวลามึงเขียนเรื่อง มึงได้ถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ข้างในของตัวละครออกมาบ้างแล้วยัง? ถ้ายังก็ลองทำดู เขียนความคิด ความรู้สึก ว่าทำไมทำแบบนี้ คิดแบบนี้ อารมณ์ที่เกิดขึ้นได้นี่เพราะอะไร เหตุการณ์นั้น ๆ ที่มากระทบทำให้รู้สึกยังไงบ้าง ก็นั่นแหละ ข้อเสียคือเรื่องยาวขึ้น ข้อดีคือคนอ่านอิน, เข้าใจ และรู้สึกถึงตัวละครตัวนั้นจริง ๆ
ยกตัวอย่างของกูอีกแล้วกัน ตัวร้าย A ตอนแรกกูก็เปิดมาแบบร้าย ๆ คนอ่านก็หมั่นไส้ สักพักก็ทำชั่ว คนอ่านเกลียด ต่อมากูเริ่มเล่าประวัติให้ฟังว่าเจออะไรมาบ้าง คนอ่านก็เริ่มเห็นใจ คอมเมนต์บอกว่าอย่าทำร้าย A มากไปกว่านี้เลย สงสาร และล่าสุดกูก็เขียนให้มันกลับมาทำชั่วอีกครั้ง คนอ่านก็เกลียดอีกครั้งแบบแช่งให้ตายไปเลย >> รวม ๆ แล้วคือ เป็นตัวร้ายที่ร้ายนั่นแหละ แต่คนอ่านจะได้รู้ว่าที่มันร้ายมันก็มีที่มาของความร้ายมันนะ ไม่ใช่กูจะร้ายก็เลยร้าย
รวม ๆ ก็ประมาณนี้ ลองเอามาปรับ ๆ ดู
>>528 มินิมอร์?
>>529 กูเพิ่งมาเปิดเรื่องใหม่ รู้สึกเหมือนจะมีแต่ยอดขึ้นเหมือนกัน หรือกูไม่ได้สังเกตก็ไม่รู้ ทั้งที่เรื่องเก่า ๆ มีขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนที่มึงว่า แต่ประเด็นคือตอนนี้ยอดในหน้าแดชบอร์ดกับหน้านิยายกูไม่ตรงกัน แม่ง 55555
อยากเขียนนิยายดาร์คๆ มาเฟีย โลกมืดหม่น ควรเอาโลเกชั่นที่ไทยหรือเมืองนอกดีวะ กูว่าเมืองนอกก็ใส่ได้เต็มที่ดี แต่คนอ่านจะอินกันหรือเปล่า ช่วยกูคิดหน่อยสิเพื่อนโม่ง
ไพรัชนิยาย
ถ้าเขียนนิยายมุมมองบุคคลที่3 ที่ตัวละครเป็นคนไทยนี่ควรใช้ชื่อจริงหรือชื่อเล่นอะ ถ้าใช้ชื่อจริงมันจะลิเกๆไปมั้ย ถ้าใช้ชื่อเล่นมันจะดูไม่ทางการไปมั้ย หรือถ้าตัวละครเรียกกันเองด้วยชื่อเล่น แต่ในบทบรรยายดันใช้ชื่อจริงอย่างนี้จะสับสนรึเปล่าอะ
>>539 มึง นิยายแนวรักผู้ใหญ่ทั่วไปเขาก็ใช้ชื่อจริงกันทั้งนั้นอะ ไม่ได้ลิเกอะไร
ส่วนเรื่องชื่อเล่น ถ้ามึงกลัวคนอ่านสับสน เอาวิธีจากที่กูคิดออกนะ
1. ชื่อเล่นตัดคำมาจากชื่อจริง เช่น เนตรสิตางศุ์(เนตร) การะเกด(เกด)
2. ชื่อเล่นมีตัวอักษรตัวแรกเหมือนชื่อจริง เช่น กรรัมภา(แก้ม) ภารนัย(ภาม)
3. ชื่อเล่นมีความหมายพ้องกับชื่อจริง เช่น ปฐพี(ดิน) อัคนี(ไฟ)
ก็ทำนองนี้ที่กูเห็นเขาใช้ๆ กัน
กูระบายแป๊บ คุยกับเพื่อนแล้วเหมือนเขาไม่คอยเข้าใจว่าเดี๋ยวนี้หนังสือทำมือมันง่าย ใครๆเขาก็ทำกันแล้ว 555
พวกมึง ทำยังไงถึงจะเขียนให้เกินหน้านึงได้วะ กูเขียนทีไรก็ได้แค่นั้นตลอดเลย พยายามนึกประโยคก็นึกไม่ค่อยออก เวลาอ่านงานคนอื่นก็คิดนะแบบเฮ้ย แบบนี้เราก็เขียนได้นี่นา แต่พอลงมือเขียนจริงๆ สมองแม่งขาวโพลนหมดเลยว่ะ เหมือนเรียบเรียงความคิดไม่ได้อีกต่างหาก เฮ้อ
>>541 มึงลองให้ส่องตามเฟซนักเขียนหรือเฟซ meb ดูสิ
เขียนทำมือมีเงินล้านได้
https://www.facebook.com/meb.officer?fref=pb&hc_location=friends_tab&pnref=friends.all
อืมมม ถ้ากุอยากจะเขียนขายนี่ กุต้องเขียนแนวรักอย่างเดียวเลยหรอวะยุคนี้...
ตอนแรกกูก็เขียนของกูนะ ก็สนุกของกูไป แค่บางทีดันเสือกไปเห็นงานคนอื่นแล้วมันก็เกิดอิจฉา รู้สึกเฟลขึ้นมาซะงั้นแหละ แบบอายงานตัวเองไปเลยอ่ะ กูรู้ว่าอย่าเอาตัวไปเทียบมาก แต่ก็อดไม่ไหวจริงๆว่ะ
พูดในนี้ได้ไหม ไม่รู้จะลงมู้ไหนดี คือกูเขียนนิยายออริยังไม่ได้ไง ทีนี้ก็เขียนฟิคอะไรไปตามเรื่องแต่พูดตรงๆ กูแอบเหนื่อยอยู่หลายครั้งนะ ด้อมที่กูตามคนก็รู้จักในไทยแม่งน้อยชิบหาย ไม่มีแรงจูงใจในการเขียนเลย เหมือนเขียนไปทำไมไม่รู้ เห็นเพื่อนเขียนแล้วมีคนตาม มีงานมีตให้ไป มีคนอื่นให้แลกเปลี่ยนพูดคุยกันแล้วก็ได้แต่แอบมอง จะให้ผลิตเองกูก็ไม่เก่ง ไม่มั่นใจขนาดนั้น นี่ยังแทบไม่มีใครสนใจอีก มันก็ท้อว่ะ /ระบายจบละ ไปดีกว่า 555
>>549 กูเข้าใจมึงนะถึงความท้อแท้นี้ แต่ว่ามึงต้องเข้าใจว่าทาร์เก็ตที่มึงเลือกมันกลุ่มเฉพาะจริงๆ แล้วดันเป็นกลุ่มคนน้อยด้วย ฉะนั้นก็จะไม่มีวันได้คนอ่านเยอะจนกว่ากลุ่มนี้ของมึงจะกลายเป็นกลุ่มใหญ่อ่ะ ถ้ามึงจะทำฟิคขาย มันก็ขายไม่ได้เพราะคนซื้อจะน้อย แต่ถ้ามึงจะเขียนเอาความสุขว่ามีคนกลุ่มนึงติดตามมึงสม่ำเสมอและคุยกับบ่อยๆ ได้งี้ก็โอเค แต่ถ้ามึงซวยเหมือนกู กระทั่งคนจะพูดด้วยก็ไม่มีตอบสนอง ก็ได้แต่ทำใจอ่ะ กูก็เคยอิจฉาเหมือนกัน แต่พออยู่นานๆ ไปกูก็ทำใจแทนว่ากูเขียนเพราะอยากได้การตอบสนองแบบไหนกันแน่
ไม่ค่อยชอบเวลาที่มีคนบอกให้เขียนเพื่อตัวเองเลยอะมึง เขียนเพื่อตัวเองก็ใช่แหละ แต่ก็อยากได้ฟีดแบกเปล่า ถ้าไม่ได้อะไรกลับมาเลยอย่างนี้เขียนเองอ่านเองคนเดียวไม่ต้องเอาลงที่ไหนดีกว่า
เพื่อนโม่ง ใครช่วยแนะนำวิธีจุดไฟหรือเพิ่มแรงกระตุ้นให้หน่อยได้ไหม กุป่วยแล้วรู้สึกห่อเหี่ยว+เขียนไม่ออกเลย
>>551 งั้นมึงต้องถามตัวเองสิว่าตอนแรกมึงเขียนเพราะอะไร มึงก็โฟกัสจุดนั้น ถ้าด้อมเล็กคนไม่อ่านเลย นอกจากมึงที่เขียนเองอ่านเอง มึงจะทนทำไม เปลี่ยนด้อมใหม่เลย เอาที่มีคนอ่านเยอะหน่อย เขียนๆ ไปมันก็จะมีคนตามมาเอง แต่ถ้ามึงยังทนแบบนี้ สุดท้ายมึงก็จะกลับมารู้สึกเหมือนเดิม มึงก็เฟลทั้งชีวิตเพราะมันก็จะไม่มีคนอ่าน ใครก็ช่วยมึงไม่ได้นอกจากตัวมึงเปลี่ยนเองอ่ะ
แต่ถ้ามึงชอบด้อมนี้ พอหายเฟลยังไงก็กลับมาเขียนอยู่ดี มึงก็ทำต่อไป เอาจริงๆ คนเขียนก็คือมึง มึงจะควบกี่เรื่องก็ได้ จะเขียนสิ่งที่มีคนอ่านเยอะอ่านน้อยก็ขึ้นกับตัวมึงเลือกเองทั้งนั้น
ไม่รู้ว่ากูพูดแรงไปไหมนะ ถ้าแรงกูก็ขอโทษ แต่กูเข้าใจที่มึงรู้สึกนะ กูผ่านมาหมดแล้ว บางทีทุกวันนี้กูก็เป็นอยู่กับบางเรื่องบางแนวที่เขียนเหมือนกัน กูก็ถามตัวเองแบบนี้แหละถึงหลุดความรู้สึกเฟลมาได้
>>557 สำหรับกูคนนอกไม่แรงไปหรอก แต่มันจะได้ผลแบบเดียวกับที่บอกให้คนซึมเศร้า "สู้ๆ" อะมึง บางคนเขาเข็นพลังมาจากข้างในได้ บางคนทำไม่ได้มีแต่ต้องรอพลังบวกจากข้างนอก (กูไม่ใช่ >>549 เด้อ ด้อมกูใหญ่อยู่ มีฟีดแบกพอประมาณ กูพอใจแล้ว)
ส่วนกรณีของ >>551 นี่เกิดขึ้นทุกด้อมทั้งเล็กใหญ่เลยมั้ง ฟีดแบกน้อย > รู้สึกเฟล > มีคนบอกให้ขุดความรักในด้อมกลับมา > ฮึบมาเขียนใหม่ > ไร้ฟีดแบก > ท้อถอยมากขึ้น
กุขอบ่นมั่ง... กุไม่ได้หมดไฟเพราะด้อม แต่กุหมดไฟเพราะตัวเองว่ะ
กุมีนิสัยชอบอ่านของคนอื่น แล้วเอามาเทียบกับของตัวเอง ว่าง่ายๆ ก็คือศึกษางานจากคนอื่นแล้วเอามาปรับปรุงแหละ
อาจจะเห็นว่าดี แต่พอทำมากๆ แล้วกุรู้สึกว่ากุเริ่มสูญเสียตัวตนของกุไปเรื่อยๆ ว่ะ
จากที่เคยเขียนอย่างสนุก อยากเขียนอะไรก็เขียน มาปัจจุบันกุก่อนจะเริ่มเขียนกุต้องมานั่งคำนึงอะไรที่เยอะมาก
ทั้งจำนวนหน้า ทั้งการบรรยาย ทั้งการตัดคำฟุ่มเฟือย ทั้งการสร้างเนื้อหาให้คนอ่านรู้สึกค้างยามจบตอน เมื่อก่อนกุเคยเขียนตอนละ 5000 คำได้สบายๆ บัดนี้กุต้องมาตัดให้สั้นเหลือประมาณ 2000 คำ เพื่อสะดวกต่อการอัพลงเน็ต ซึ่งแม่งนั่นไม่ใช่สไตล์การเขียนของกุว่ะ
ทุกวันนี้กุรู้สึกขัดแย้งกับตัวเองมาก คืออยากเขียนนะ เนื้อหามีเยอะวางพล็อตเอาไว้เสร็จแล้ว แต่กุไม่อยากคอยมานั่งตัด คอยมานั่งแก้คำให้กระชับเพื่อเอาใจคนอ่านอะ มันเหมือนกับกุต้องมาคอยตีกรอบตัวเองว่าห้ามทำแบบนั้น ห้ามทำแบบนี้ จนจากที่กุเคยสนุกกับการเขียนได้กลายเป็นกุต้องมานั่งเครียดแทนซะงั้น
ทุกวันนี้กุได้แต่นั่งร้องไห้อะ อยากจะเขียนแต่ก็เขียนไม่ได้ คือเสียใจอะ ไอ้สิ่งที่กุพยายามศึกษาพยายามทำให้ดีขึ้นเพื่อให้ขายได้ มันกลับย้อนมาทำร้ายกุแทนซะงั้น
มึง กูมีปัญหาเขียนได้ห้าร้อยหน้าเอสี่ แต่กุนึกชื่อเรื่องไม่ออก... กุเลยลงเว็บไม่ได้ ส่งสำนักพิมพ์ก็ไม่ได้ ชื่อเรื่องคิดยากชิบหาย
>>559 มึงจงโยนสิ่งที่ศึกษาทิ้งไปก่อน กูก็เคยเป็น 555 ทีนี้กูคุยกับพี่นักเขียนคนนึง นางเป็นคนชอบอ่านพวกฮาวทูการเขียนของฝรั่งงี้
นางเลยแนะนำกูว่า ถ้าต้องกังวลแบบนั้นก็โยนทิ้งไป แล้วลองเรียนร่างแรกให้จบ มีเท่าไหร่อยากเขียนอะไร มึงเขียนไปเลย
เขียนไปจนจบ จากนั้นแหละค่อยรีไรท์ออกมา ทุกสิ่งอย่างที่มึงร่ายมาว่ากังวลนั้น ก็สามารถทำได้อย่างสบาย ไม่ต้องกังวลอะไรแล้วว่าหน้าจะหนาจะบาง จะอะไร หรือตรงไหนอ่อนไป เร็วไป เอื่อยไป ก็เพิ่มลดได้ตรงนี้ พอกูค่อยๆ ลองตัดพวกนี้แล้วมามุ่งเขียนตามพลอตที่กูวางเอาไว้ ไปๆ มาๆ ก็เขียนจบไม่กังวลอะไรแล้ว
ส่วนเรื่องลงเนต มันก็จะลำบากสำหรับคนที่เขียนไปลงไปหน่อย แต่โชคดีกูเขียนจบก่อนถึงจะลงอ่ะ ระหว่างนั้นกูก็ส่งพิจารณา สนพ.ไปด้วย
เอาจริงๆ ถ้าเป็นพวกนิยายรัก มึงอย่าเพิ่งกังวลเรื่องหน้าอะไรเลย ถ้ามันจะหนา แต่หนาแล้วสนุกยังไงมันก็มีคนอ่านอ่ะ
กูขอบ่นด้วย ก่อนหน้านี้กูไม่มีปัญหาอะไรกับการเขียนจนกระทั่งกูเริ่มทำงานประจำนี่แหละ เลิกงานกว่าจะถึงบ้านก็แทบสลบ ไหนจะต้องรีบนอนเพราะต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก เสาร์อาทิตย์บางทีก็ไม่ได้พักเพราะต้องเคลียร์งาน พอมีเวลาร่างกายก็จะนอนท่าเดียวเลย อิวงจรเหี้ยนี่นอกจากจะผลาญเวลากูแล้วยังผลาญมู้ดขีดเขียนกูซะเหี้ยนเลย เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์สุนทรีย์ บางทีได้แต่นั่งจ้องเวิร์ดเปล่าๆแล้วก็ไม่ได้อะไรเลย บางทีไฟมาแบบลุกพรึ่บพรั่บ แต่ชีวิตแม่งก็บังคับให้กูต้องทำในสิ่งที่สมควรทำก่อนสิ่งที่อยากทำ กูไม่ได้เขียนแบบจริงจังมาหลายเดือนแล้ว กลับไปอ่านงานเก่าๆแล้วได้แต่อุทานในใจว่ากูเคยเขียนอะไรแบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ อินั่นแม่งคงตายห่าไปแล้วแน่ๆเพราะกูในตอนนี้คือถอยหลังลงคลองยิ่งกว่าประเทศนี้ กูอยากร้องไห้
ด้อมที่กูติ่งตอนนี้หาฟิคดีๆยากมาก คู่ที่ชอบคนเขียนก็เสือกแต่งห่วยอย่างไม่น่าให้อภัย เห็นละหงุดหงิดจนอยากเขียนเองให้ดีกว่าแม่ง ติดอย่างเดียวคือไม่มีเวลาพอ เป็นความรู้สึกที่เหี้ยจริงๆ
พวกมึง กูขอถามหน่อย ไม่แน่ใจว่าถูกห้องป่าว ว่าจะถามเรื่องพวกต้นทุนหนังสือทำมืออะ ใครเคยทำแล้วรู้ราคาคร่าวๆปะวะ เผื่อจะเอาไว้ตัดสินใจว่านิยายจะทำเล่มดีไหม แบบสมมติหนังสือประมาณ 3-400 หน้าค่าพิมพ์เท่าไหร่ ค่าปกโดยทั่วไปเียประมาณเท่าไหร่อะไรแบลนี้คร่าวๆ
>>577 คิดที่ต้นทุนตายตัวก่อนนะ คร่าวๆ นะมึง
1 ค่าปกนี้มึงต้องดูก่อนว่ามึงทำปกแบบไหน กราฟฟิกงี้กูเจอตั้งแต่ราคา 1,000-3,000 แต่บางที่ราคา 1,200 ก็สวยแล้ว
2 ค่าส่ง กรณีที่มึงบอกว่าส่งฟรี ฟรียังไงก็มีค่าส่งชิมะ มึงก็ตีคร่าวๆ ค่าบับค่าห่อค่าส่งไปรส่งอะไรไว้ประมาณ 50 บาท
3 ค่าจัดหน้า ค่าบรูฟ ค่า บก แล้วแต่ว่ามึงจะจ้างไม่จ้าง ตรงนี้ถ้าจ้างก็แล้วแต่ที่แต่เรทนะ มันก็มีทั้งแบบเหมา หรือจ่ายค่าจัดหน้า ค่าบรูฟ ค่า บก ต่างหาก ถ้ารวมๆ อาจจะประเมินไว้ที่ 10,000-20,000 แต่ถ้ามึงจัดหน้าเองบรูฟเอง ไม่ได้ส่งให้ บก ไหนตรวจ อาจจะวานเพื่อนช่วยตรวจอะไรงี้ก็หักตรงนี้ไป
4 ต่อมามึงไปขอราคาจากโรงพิมพ์ เอาหลายๆ ที่มาเทียบกัน ว่าราคาพิมพ์มันจะประมาณเท่าไหร่ อันนี้แต่ละที่ไม่ต่างกันมาก อย่างที่มึงถามประมาณ 400 หน้านี้ ที่ 100 เล่ม ราคาพิมพ์อาจจะอยู่แค่ 100-130 แล้วแต่ที่นะ
กูทำคร่าวๆ ประมาณนี้อ่ะ ค่อยมาได้ราคาหนังสือ ส่วนใหญ่กูจะพยายามไม่ขายแพงมาก เล่มไหนพิมพ์น้อยต้นทุนพิมพ์แพง ก็ก็ตัดแม้กระทั่งส่วนที่เป็นเปอร์เซ็นต์ นข ทิ้งไป ค่อยไปลุ้นกินเอากับอีบุคอ่ะ ถัวๆ กันไป
>>578 >>579 ขอบใจพวกมึงมาก ตอนแรกกูนึกว่ามันจะแพงกว่านี้ คิดว่า 400 หน้าอาจจะเกือบๆแตะ 200 บาท ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยสบายใจขึ้น ส่วนเรื่องค่ารูปเล่มต่างๆกูพอทำเองได้ก็น่าจะดี อาจจะมีจ้างเพื่อนๆที่ชอบอ่านนิยายมาช่วยพรูฟหน่อย คงไท่ได้เสียเยอะขนาดนั้น
อีกเรื่องที่กูสงัยทสมมติสั่งพิมพ์โรงพิทพ์ที่กรุงเทพอย่าง fastbook งี้ แล้วกูอยู่ต่างจังหวัด มึงพอรู้ค่าส่งกันมะ กูไม่มั่นใจว่าแถวล้านกูจะมีโรงพิมพ์นิยายดีๆบ้างไหม อยู่บ้านนอกด้วย 555
มึงต่อรองไปค่ะ แล้วแต่ความสามารถของมึง
กูต่อซีลพลาสติกฟรี ส่งฟรี บางเจ้าก็ให้ บางเจ้าก็ไม่
กุขอ ky นะ กุพึ่งได้ดูหนังเรื่องare you here ที่ Owen Wilson แสดงมันจะมีฉากนึงที่ตลค.ท้อแท้สิ้นหวังกับชีวิตแล้วผู้หญิงที่เป็นแม่เลี้ยงเลยมามีเซ็กซ์ด้วยเพื่อให้กำลังใจและดึงให้อยากมีชีวิตต่อไปอีกครั้ง แล้วทีนี้กุก้จำได้ว่าในปรสิตก้มีฉากราวๆ นี้เหมือนกัน ที่ตัวเอกรู้สึกมืดมนไม่เห็นทางออกแต่พอมีเซ็กซ์ก้เหมือนจะ problem solved ซึ่งกุไม่ค่อยเข้าใจว่ามันแก้ปัญหายังไง พวกมึงอาจจะสงสัยว่ากุมาถามอะไรในห้องนี้ กุอยากได้คำตอบจากมุมมองครีเอเตอร์น่ะ เผื่อจะอธิบายให้กูเข้าใจเหตุผลได้
ใครรู้เรื่องนราเกตต์จะฟ้องตองหนึ่งลอกงานบ้าง
>>586 คุยกันอยู่ที่มู้นี้ https://fanboi.ch/literature/4376/
มีปัญหาอยากปรึกษาว่ะ กูเขียนนิยายเรื่องนึง กูยังไม่เฉลยว่าใครเป็นพระเอกนะ แต่กำหนดพระเอกไว้แล้วล่ะ พระเอกกูจะเป็นพวกที่ดูเหมือนตัวร้ายนิดๆ แล้วกูก็วางปมให้มัน เป็นคาแรคเตอร์แนวๆปิดทองหลังพระ รักนางเอกหัวปักหัวปำแต่จีบไม่ได้เพราะมีข้อห้ามที่เป็นปมหลักอยู่ ทำได้แค่ช่วยลับหลังนับครั้งไม่ถ้วนแต่ไม่เคยพูด นางเอกก็เกลียดขี้หน้าพระเอก คิดว่าอีตานี่ไม่มีอะไรดีเลย
กูก็ค่อยๆให้มันเดินเรื่องไปเรื่อยๆอะนะ ที่กูปวดใจคือมีคนด่าพระเอกกูเยอะมากเลย แช่งให้ไปตายด้วย บอกถ้าไอ้นี่ได้เข้าวินจะเลิกอ่านอีกต่างหาก ฮือๆๆๆ กูปวดใจ ไม่ชอบคาแรคเตอร์แบบนี้กันเหรอ หรือกูนำเสนอไม่ดีพอ แต่แบบไหนกูก็เศร้าว่ะ
มันมีเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้นะ กูยังไม่ได้เฉลยปมอะไรก็ด่ากันสาดเสียเทเสียมาก กูเฟลง่ะ กูรักเขาเหมือนลูกเลยนะ กูควรทำยังไงดี หรือควรจะเฉยๆ ปล่อยวางไป เขียนไปเรื่อยๆเดี๋ยวคงมีคนชอบเขาเองแหละ แต่ว่ากว่าจะไปถึงจุดเฉลย พระเอกกูก็ต้องโดนด่าไปอีกยาวนานเลยอะดิ
ลืมบอกว่าถ้านึกภาพไม่ออกก็นึกถึงคาแรคเตอร์สเนปไว้อะ ไม่ได้เป็นคนดีอะไร แต่ทำเพราะรักและอยากปกป้องเธอก็เท่านั้นเอง แต่พอโดนด่ากูก็ใจแป้วเลย
>>588 มึงงงงไม่ต้องกังวลน้า พลอตแบบนี้มันกร๊าวใจมาก มึงก็คิดซะว่าเค้าอิน พอมึงเฉลยมานะ มันก็จะเป็นที่รักของคนอ่านขึ้นมาทันที
เหมือนที่มึงเทียบมาอ่ะกับสเนป กูนี่รักสเนปหมดใจเลย ยิ่งทำให้อยากอ่านซ้ำเพื่อทวนการกระทำของตัวละครตัวนี้ แล้วตั้งใจอ่านจับสังเกตว่าตอนไหนมันทำดีกับนางเอกมั่ง จะยิ่งกร๊าวใจมากขึ้นอ่ะ ประหนึ่งสูดบ้องกาว 555+
>>588 มึงควรเขียนมี hint ให้คนอ่านเค้าสักหน่อย ว่าอีตาคนเนี้ยเค้าแอบรักนางเอก ประมาณ แอบมองตามหลังเนิ่นนาน หรือลอบมองด้วยสายตาอ่อนโยน (แต่นางเอกไม่รู้ตัว ) มีกิริยาที่อ่อนโยนต่อนางเอกเป็นพิเศษบ้าง .....หรือไม่ก็มีตัวช่วยเช่นพวกตัวประกอบ ที่บอกว่าพระเอกไม่เคยวอแวอะไรกับใครแบบนี้ ถ้าเกลียดจริง จะต้องแบบโน้น........
คือเขียนหย่อนไว้หน่อย เวลามันพลิกล็อก คนอ่านจะได้ไม่ช็อคมาก
เหมือนโม่ง บน ๆ บอก ....J.K. เค้าหย่อนไว้ให้ snap นะ กับประโยคที่ว่า You got your mother eye.
>>588 กูเคยเจอพล๊อตหนักกว่ามึงอีกค่ะ เปิดเล่มมามีผู้คนนึงแม่งตัวโกงชัดๆ เป็นคนดูเทาๆฉากหน้าเป็นผู้ดีเบื้องหลังแม่งค้ายา นางเอกไปรู้ความลับโดนจับขังแล้วหนีออกมาได้ (แต่มีใบ้ๆมาว่าตั้งใจปล่อยให้หนี) ต่อมามีผู้แสนดีรักนางเอกมากมาเป็นแฟนสรุปแม่งโดนฆ่าตายมันดื้อๆ คนเขียนบอกเองเลยว่า เขียนไปๆคู่นี้ดูไม่มีอนาคตเลยฆ่าตลค.ทิ้งแม่งเลย คนอ่านอย่างกูก้อช๊อกไป แล้วสรุปนางไปควานเอาคนแรกกลับมาปั้นเป็นพระเอกได้อ่ะ แม่งโครตใจ แถมมีการบอกด้วยว่าเล่มนี้ลองเขียนดูว่าเคมีพระนางจะเข้ากันไหม (ปล.นิยายฝรั่งมีหลายเล่ม)
สรุป มึงเขียนไปอย่างที่ตั้งใจอ่ะแหละแต่ตอนหักจบมึงต้องทำให้คนเชื่อได้ว่าอิตานี่เป็นพระเอกได้อ่ะนะ
มีใครอ่านคู่มือนักเขียนเล่มนี้แล้วมั่ง ช่วยรีวิวที
readery.co/9786163882103
เออ กูว่าอาการกลัวคำซ้ำของกูชักเป็นหนักว่ะ ขนาดคำเฉพาะกูยังไม่อยากให้ซ้ำอ่ะ เช่นคำว่าใบหน้าหันตรงมาทางเบื้องหน้า มีคำว่าหน้าสองครั้ง กูก็จะแบบอึ้ย เครียดมาก ปลงยากชิบหาย 555
มีภาพทุกอย่างในหัวแต่เขียนออกมาอย่างที่คิดไม่ได้ กูควรเลิกแล้วไปกอดโถส้วมร้องไห้
มีวิธีตัดจบดีๆมั้ยเพื่อนโม่ง กูไม่มีเวลามาแต่งต่อแล้วน่ะ เพราะงานหนักมากตั้งแต่เปลี่ยนบ.ใหม่ รึควรจะดองไว้แล้วปล่อย 3-4 เดือน ตอนนึงดี - - เพราะจะตัดจบไปเลยก็เสียดาย ยังไปต่อได้เรื่อยๆ
กูแต่งฟิคสั้นลงทวิตเพื่อเล่นแทคฟิคโทเบอร์แล้วเพื่อนบอกแต่งฉากพระเอกตายในอ้อมกอดนางเอกนี่แต่งได้ดีกว่าตอนแต่งโมเม้นวายมุ้งมิ้ง กูควรจะดีใจไหม 555
>>607 กูไปอ่านมาละ สองร้อยกว่าตอนกูตาแฉะเลย นิยายไม่ได้แต่งเอาแต่นั่งอ่าน โอ๊ยมึงๆๆๆ กูชอบคาแรคเตอร์แบบนี้มากเลย กูยกกายถวายหัวให้องค์ชายเอ็นโจไปเรียบร้อยแล้ว เป็นคาแรคเตอร์แนวที่กูชอบจริงๆ ไอ้พวกรักเขาและช่วยเขาลับหลังแต่ไม่เคยเอามาพูดว่าไปทำความดีมาเนี่ยแม่งก๊าว จิตใจกูสั่นไหวรุนแรงมากๆ ฮื้อออ ไม่ไหวแล้วมึง กูชอบคาแรคเตอร์ปิดทองหลังพระมากเลย กูหวังว่าความดีของเขาซักวันจะได้รับการมองเห็นนะเว้ย กูเชื่อว่าเขามีปมหนักหนาและรุนแรงรอการแก้ไขอยู่ด้วย
กูยังไม่ได้อ่านกระทู้ในนี้ แต่ลองเลื่อนๆผ่านดูเห็นมีแต่งฟิคอะไรกันด้วย กูจะพยายามอ่านให้หมดนะ
กูข้องใจไม่รู้จะถามไหน คำลงท้ายที่ว่า นี่นา นี่น่า นิหน่า ฯลฯ นี่มันต้องเขียนยังไงถึงถูกต้องวะ
ky มั้ง กูเหนื่อยใจจัง เพิ่งเจอสถานการณ์ประเภท "มึงโดนวิจารร์ได้แต่ห้ามเฟล เพราะมึงควรเขียนเพื่อตัวเองตั้งแต่แรก และมึงห้ามหยุดเผยแพร่งานของมึงเพราะคนที่ตามงานมึงอยู่จะอดอ่าน"
คือไร กูนอยด์ อยากเลิกให้คนอื่นอ่านแล้ว ขอเก็บไว้ให้ตัวเองอ่านคนเดียวก็ไม่ได้เหรอ กูเห็นแก่ตัวหรือวะเนี่ย
>>618 ถ้าเป็นกูอะไรที่ทำให้ตัวเองสบายใจกูเลือกอันนั้นเป็น Priority หลัก
คือก็เข้าใจว่าคนอ่านอยากอ่านจนจบ ถ้าเราเป็นคนอ่านเราก็คาดหวังว่าจะได้อ่านต่อจนจบ เขามีสิทธิ์คาดหวัง และมึงก็มีสิทธิ์ที่จะเขียนต่อหรือไม่เขียนต่อก็ได้ ต่างคนต่างมีสิทธิ์
มึงอย่าเอาความคาดหวังของคนอื่นมาแบกไว้บนบ่าบนหลังจนหลังมึงงอ ถ้าสิ่งที่ทำมันไม่สนุกไม่มีความสุขแล้วมึงควรหยุดพัก ไปบำบัดความเครียดของมึงซะ
>>618 นั่นดิ กูก็เข้าใจนะว่าเป็นนักเขียนต้องกล้าเปิดรับคำวิจารณ์
แต่นักเขียนก็คนนะโว้ย จะเฟลไม่ได้เลยหรือไง จะมีช่วงเวลาไม่มั่นใจกับงานตัวเองบ้างไม่ได้เลยหรือไง
ทำไมชอบทำเหมือนพวกกูเป็นยอดมนุษย์ บอกว่านักเขียนต้องสตรอง โอ้ย กูก็มีเวลาท้อแท้บ้างเหอะ
กูเข้าใจนะว่าวงการนี้ต้องแข็งแกร่ง อ่อนแอก็แพ้ไป มีคนอยากเขียนอีกนับล้าน กูแค่หนึ่งในนั้น กูมาบ่นเฉยๆ สุดท้ายก็ต้องกลับไปเขียนต่อ555
โอเค งั้นกูหยุดพักก่อน ไว้จิตใจดีขึ้นค่อยว่ากันใหม่
มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเขียนให้คนทั้งโลกชอบเรื่องของมึง มันจะมีทั้งคนชอบและเกลียดงานของมึง ไปดูtwilight เป็นตัวอย่างได้ ด่ากันเมามันส์มาก
คนเขียนเฟลมั้ย ไม่ งอกเล่มถัดไปอีก ดู 50 shades of greyมีแต่คนด่า แต่ก็มีคนอ่าน ตอนนี้งอกเล่มต่อมาละนิ เล่มอะไรนะ Mr.grey? ไรซักอย่าง
เอ้าไปเขียนต่อจ้า พวกมึงยังดีมีเรื่องเขียนลงเนตได้ชื่อเรื่อง กุยังไม่ได้ชื่อเรื่องเลย แต่เนื้อหาจะจบภาคแล้ว แม่งเอ้ย (กุคนเดียวกับที่บ่นคิดชื่อเรื่องไม่ได้แหละ)
กูรู้สึกอยากโทรลคนอ่านจังว่ะ แท็กนิยายกูก็แปะไว้ ว่า Dark fantasy แม่งจะอวยให้โลกสวย ฆ่าคนนี้ คนนั้นตายทำไม กูแปลนไว้แล้ว ฆ่าตัวเอกแม่งเลยแรกเริ่มเดิมที่ก็ไม่รู้กูแต่งมันมาทำไม แกรี่จนตัวเองยังหมั่นไส้ แล้วคนมันเสือกชอบอะไรแบบนี้ด้วยไง พอมันตายแล้วค่อยไปเปลี่ยนคนใหม่มันกลางเรื่อง เอาพระรองมาเป็นตัวเอกแทนแม่ง รับนางเอกแทนให้อารมณ์ ntr แม่งเลย จะได้รู้ว่ากู คือคนกำหนดเรื่องไม่ใช่แฟนอวย กร๊าากได้บ่นแล้วรู้สึกสะใจขึ้นมาเลย ต้องจัดละกู
พวกมึงคิดยังไงกับการลอกพล็อต
พล็อตหลักๆ ความจริงก็มีไม่กี่แบบ
ลอกพล็อตหรือโครงสร้างเรื่องคล้ายกัน เช่น เจ้าชาย เดินทางไปช่วยเจ้าหญิง เจอจอมมารกลางทาง ต่อสู้กัน เจ้าชายชนะได้เจ้าหญิงแต่งงาน
มันก็เป็นพล็อตที่คล้ายกันไปมากมาย
นักเขียนบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจ
ถ้าเนื้อเรื่องไม่เหมือนแบบเป๊ะๆ ช็อตต่อช็อต ส่วนใหญ่คนอ่านไม่ค่อยว่าอะไร
บ้านเราหรือทั่วโลก บางทีก็บอกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจ คงอยู่ที่แต่งยังไงไม่ให้ซ้ำกัน
อย่างนิยาย ผจญภัยไปหาขุมทรัพย์ พล็อตหลักคล้ายกันบาง แต่เนื้อหารายละเอียดไม่เหมือนกันเลย
หรือนิยาย วิญญาณเฝ้าขุมทรัพ์ พล็อตหลักคล้ายบางอย่าง แต่เนื้อหารายละเอียดไม่เหมือนกัน
คือจะบอกว่าลอกได้ไหม
กูเกลียดคำว่าแรงบันดาลใจมากเลย... เพิ่งไปเห็นคนเม้าเรื่องยำใหญ่พล็อตในห้องนึงมาแล้วก็มีแต่คนบอกว่าแรงบันดาลใจไม่ผิด แต่ถ้าพล็อตมันเหมือนกันเด๊ะต่างกันแค่รายละเอียดมันจะต่างอะไรกับของก๊อปอย่างอื่นวะ อย่างเช่นก๊อปกระเป๋าหลุยมาเปลี่ยนลายบนกระเป๋ากับเพิ่มดีเทลเล็กน้อยแต่รูปทรงเหมือนกันหมด แบบนี้ก็ยอมรับได้เหรอวะ
>>628 แบบตัวอย่างกระเป๋าที่เพื่อนโม่งยกมา รูปร่างภายนอก ลวดลาย ป้ายยี่ห้อ อาจเปรียบเป็น พล็อตหลัก แนวทาง จุดหลักของเรื่อง
แต่ว่านะ แล้วคนทั่วไปใช้กันหรือเปล่านี่ละ
คนทั่วไปบางทีก็ไม่สนใจอะไรมากมาย แบบซื้อมาใช้ พอเบื่อแล้วหาใบใหม่แทน
กูคาดเดาว่า ของแท้มันก็มีคุณค่าแบบหนึ่ง ของเลียนแบบก็คงให้อารมณ์อีกอย่างหนึ่งมั่ง
อย่างตอนนี้ มาแนว ตายแล้วไปเกิดใหม่ เป็นเมียแม่ทัพ เมียอ๋อง พระสนม
พล็อตหลักแบบนี้ มีเป็นร้อยๆ เรื่อง
แล้วเพื่อนโม่งว่า ลอกเลียน หรือ แรงบันดาลใจดีล่ะ
>>631 เอาเหตุการณ์ เอาลักษณะตัวละคร เอาพล็อตหลักหรือพล็อตย่อยมายำ ส่วนตัวแล้วเรียกลอก
แรงบันดาลใจที่แท้จริงคือ คนเขียนเห็นหรืออ่านหรือดูอะไรบางอย่าง แล้วสะดุดใจ เอามาเขียนเป็นพล็อตใหม่ สร้างตัวละครขึ้นใหม่ อ่านแล้วกลมกลืนเป็นเรื่องเป็นราวของตัวเอง ถ้ามีอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าคล้าย ต้องไม่คล้ายในพล็อตหลักหรือสาระสำคัญ
สำหรับกู ยกตัวอย่างที่กูเรียกแรงบันดาลใจได้ก็การที่โกวเล้งได้ "แรงบันดาลใจ" จาก 007 เลยเอามาเขียนชอลิ้วเฮียงอ่ะมึง
มีแอพไหนเอาไว้ใช้แต่งนิยายเก็บไว้ในโทสับได้บ้างวะ แบบซิงค์กับคอม/ไดรฟ์ ได้เลยงี้
กูเกิ้ลไดรฟ์กูขก.ปรับขนาดหน้าจออะ (ปรับฟ้อนท์ อะไรๆในโทสับก็ได้) เคยแต่งไว้ในเฟสมีช่วงนึงแม่งเด้งออกเองเซฟกูหายหมด อย่างเหี้ย
ตอนนี้ทำในโน๊ตแต่ก็ขก.อัพไปๆมาๆ เห้อ แนะนำกูที
นี่แหละ มันเป็นโลกแห่งความจริง
ถ้าไม่มีหลักฐานลอกกันแบบ ช็อตต่อช็อต ฉากต่อฉาก
มันก็ถือว่าเป็นงานของคนเขียนคนนั้น
มีแอปหรือโปรแกรมไรที่เอาไว้เชื่อมความสัมพันธ์ตัวละครบ้างมั้ยอ่ะ ตอนนี้กุงงกับลำดับผังอยู่ ตัวเอกมันอายุยืนลูกหลานยั้วเยี้ยกุต้องไปไล่ลำดับขั้น (โคตรตระกูลมันอยู่
จงอภิปรายข้อดีข้อเสียของการเปิดเรื่องให้นักอ่านเงาที่ไม่เคยคอมเมนท์เลยเข้าไปอ่าน (10 คะแนน)
ป.ล. นึกถึงเมื่อปีก่อน นี่เคยเขียนเรื่องสั้นอีโรติกแล้วล็อกเอาไว้ โอ้โห นักอ่านเงาโผล่มาขอรหัสผ่านกันให้พรึ่บ ล็อกเอาไว้เพราะอยากให้เฉพาะบางคนอ่านมั้ยอะ วันหลังแจกลิงก์อากู๋ดอคแทนดีกว่า
>>646 พอมึงพูดถึงนักอ่านเงาละกูขึ้นเลยครับ กูเคยเจอกรณีหนึ่ง เป็นพี่ที่กูฟอลอยู่ในทวิต พี่แกเขียนฟิคเว่ย
.
มันมีอยู่ช่วงหนึ่งฟิคพี่แกกำลังป๊อบ ป๊อบในที่นี้คือยอดวิวสูงเอาๆ นะ แต่ยอดคอมเมนต์แม่งจัลไลมาก (ยอดน้อยไม่พอ คอมเมนต์ที่มีบางทีก็แค่พิมพ์ 555 ตลกจังเลยค่า, มาต่อเร็วๆ นะค้าไรท์) ทีนี้พี่แกก็เลยทวิตบ่นๆ ว่าเออ ช่วยกันคอมเมนต์หน่อยนะ เราอยากรู้ว่าเราต้องปรับปรุงตรงไหนบ้าง หรือไม่มาชวนเราคุยบ้างก็ได้
.
ปรากฏว่าคืนนั้นมีคน ask.fm มาหาพี่แกทันที ใจความประมาณว่า อย่าบ่นมากเรื่องคอมเมนต์เลยค่ะ จะเอาอะไรมาก บางคนเขาก็แค่อยากอ่าน แต่ไม่อยากเมนต์นี่คะ หรือไม่บางคนเขาก็รอสนับสนุนตอนออกเล่มเลย ถ้าอยากให้เมนต์ถึงขนาดนั้นก็ล็อกรหัสแล้วให้มาขอรหัสเลยสิคะ พี่กูก็ตอบเขาไปในลักษณะประมาณว่า สำหรับเขา การได้คอมเมนต์ถือว่าเป็นการได้พูดคุยกับนักอ่านนะ ถ้าไม่มีเลย มันก็เหมือนพี่แกไปตะโกนปาวๆ แล้วไม่มีใครสนใจนั่นแหละ อีกอย่างถึงจะบอกว่าจะสนับสนุนตอนออกเป็นเล่ม แต่ถ้าระหว่างทางที่เขียนมันไม่มีกำลังใจเลย บางทีนักเขียนบางคนก็ไปไม่ถึงจุดนั้นนะ เลยโดนมาอีก ask ค่ะ ถามกลับด้วยคำถามที่แบบ ถ้ากูแฮ็กระบบ ask ได้ กูแม่งอยากแฮ้กไปหาเลยว่าอิคนพูดเห็นแก่ตัวนี่เป็นใคร นางถามประมาณว่า “ถ้าบ่นเรื่องคอมเมนต์ขนาดนี้ก็อยากให้ลองย้อนคิดไปถึงตอนเริ่มแต่งฟิคดีๆ นะคะ ว่าแต่งเพื่ออะไร แต่งเพราะอยากฝึกฝีมือ อยากสร้างความสนุกให้คนอ่าน หรืออยากแต่งเพราะอยากเด่นอยากดัง” โอ้โหมึง คอมเมนต์เยอะก็หาว่าคนเขียนอยากเด่นอยากดังว่ะ หลังจากนั้นพี่แกไม่บ่นออกแอคหลักอีกเลยค่ะ ไปบ่นแอคหลุมแทน บ่นหนักกว่าเดิมด้วย 555555
ส่วนจำนวนคอมเม้นไม่ต้องคิดมากก้ได้มั้งมึง คืดในแง่ดี มึงเขียนดีละเลยไม่มีที่ติ
กูก็ด้วยสิ กูคนเขียน นิยายมีคนอ่านพอประมาณนะ อ่านหลักพัน เม้นหลักหน่วยอ่ะ
ถ้ากูอ้อนๆขอเม้น เม้นก็มา แต่พอกูเฉยๆ ก็เหมือนเดิม
พอกูนอยส์หนักเข้า กูปิดตอน
ทีนี้โอ้โห มากันอบอุ่น ไม่ได้มาขออ่านนะ มาด่ากูนี่แหละ มากันเป็นพรวน ด่ายังกะกูไปหยิกหอยมัน พอกูเปิดตอน หายหัว เงียบกริ๊บบ
>>650 มึงงงง กูพูดจากใจนะ ไม่มีใครบนโลกที่มันจะไร้ที่ติว่ะ กับเรื่องงานเขียนก็ด้วย ถ้าไม่เม้นเลยหรือมีแต่เม้นอวย กูว่าคนเขียนจะย่ำอยู่กับที่หรือไม่ก็หมดกำลังใจเขียนไปเลยว่ะ หรือบางที ถ้าไม่ได้เม้นที่เข้าข่ายวิจารณ์ (ซึ่งกูว่าหายากนะ นักอ่านในเด็กดีที่จะวิจารณ์งานวิจารณ์พล็อต การดำเนินเรื่อง บลาๆๆ เป็น ชั้นเรียนในประเทศเราไม่เปิดโอกาสให้เรียนถึงขนาดนั้นว่ะ) กูว่าอย่างน้อยชวนคุยนู่นนี่นั่นก็ยังดี แซ็วนักเขียนบ้างงี้ มันจะได้ดูไม่เหงาหงอยจนเกินไปว่ะมึง ไม่ใช่เข้ามาแล้วก็จากไป ทิ้งนักเขียนให้อยู่กับรอยยิ้มที่ยิ้มจนเหงือกแห้ง
เออ กูก็เป็น แม่ง วิวหลักแสนเม้นมีร้อยเดียวอะไรงี้ กูก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เหมือนคุยด้วยก็ไม่มีคนคุยตอบ
พอกูประกาศว่าจะปิดตอน ก็ชอบโผล่มาด่ากู บังคับให้กูเปิดตอนงี้
หรือถ้าจะเม้น ก็จะมีพวกที่โผล่มาด่ากูอย่างเดียว กูเลยไม่รู้จะทำไงละ
ใจก็อยากปิดไม่ให้เม้นเลย แต่กูก็สงสารคนที่อ่านประจำแล้วเม้นกูทุกครั้งที่ลงเรื่องใหม่ มีอยู่สามสี่คน กูก็เลยยังอยู่ได้ เฮ้อออ
ไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้ยิ่งอัพนิยาย เม้นยิ่งหาย กูนี่ไม่กล้าบ่นที่ไหนเลย เพราะมันจะมีพวกเห็นแก่ตัวออกมาพูดว่าก็อยากอ่านไม่ได้อยากเม้นเหมือนที่โม่งบนๆ พูดถึงอ่ะ
>>655 เดี๋ยวนี้มีไรท์เตอร์คนไหนบ้างวะที่ไม่โดนนักอ่าน (บางกลุ่ม) ตามจิกเป็นไก่ เข้าใจนะว่าบางทีก็ติดตาม (แต่ไม่คอมเมนต์เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง คอมเมนต์ทวงยิกอย่างเดียว) แต่มึงคะ นักเขียนแต่ละคนเขาก็มีโลกจริงๆ ของเขา มีธุระปะปังที่ต้องทำ มีงาน มีเรียน มีไปเที่ยวกับผัวบ้าง (อันนี้กูขิง) จะให้อัพถี่รัวตามใจคนอ่านไปซะทุกคนก็ไม่ใช่น้อ กูกล้าพูดว่าถ้ามึงลองไปตั้งกระทู้ล่อเปา้ในเด็กดอย มึงอาจจะมีร่างแยกอีกเพียบ
อีกอย่าง นักอ่านเงาบางคนแม่งชอบกวนตีนไป ask เชี่ยๆ ทำให้เส้นเลือดตรงขมับของนักเขียนปุดๆ เล่น ใน ask.fm เข้าใจแหละว่าถ้าไม่เก็บมาคิด คำพูดพวกนั้นมันก็จะทำอะไรเราไม่ได้ แต่มึง เจอ ask มากวนบาทาบ่อยๆ นักเขียนก็นอยด์กันนะ พวกนักเขียนที่มีทวิตเตอร์กันอ่ะเจอพวกมาป่วนโดยใช้ช่องทางนี้โคตรบ่อย / แก้ๆ ข่าว พี่แกไม่ได้บ่นในแอคหลุมนะ บ่นใน dm แทน กูทักไปคุยด้วยบ้างในบางคราว ส่วนกูนี่แหละ ที่ไปบ่นแอคหลุม
ถ้าจะพิมพ์ขายกูอยากให้นักเขียนบอกแต่ต้นเรื่องเลยว่ะว่าจะขาย ลงไม่จบ ถ้าทำงั้นคงไม่มีใครด่าหรอก
กูมีแอคหลุมเอาไว้บนคนเดียวเหมือนกัน เก็บกดเหลือเกิน บางทีก็รู้สึกเนรคุณที่ไม่ยอมเขียนให้จบ คุณนักอ่านเงาอุตส่าห์สละเวลาอันมีค่ามาอ่านทั้งที
>>660 ส่วนมากที่กูเจอนะ พวกนิยายทำมือ พวกที่ชอบเอารูปเน็ตไอดอล ดารามาเป็นอิมเมจตัวละครอ่ะ ที่ชอบอัพครั้งละ 15% 10% อ่ะ อันนั้นจะรู้กันนะว่าลงไม่จบแต่พิมพ์ขาย ส่วนฟิค ส่วนมาก กูกล้าพูดว่าใกล้เคียง 100% นักเขียนจะลงให้จนจบแล้วพอตีพิมพ์ก็จะมีตอนพิเศษเป็นโบนัสให้คนซื้อเล่มว่ะ
เรื่องไหนมีบอกเปอร์เซ็นมันไม่น่าซื้อทีหลังว่ะ ไปจะกักก็กั๊กไว้เลย กุจะได้ลุ้นไปซื้อตื่นเต้น
ในฐานะคนอ่านบางทีไม่รู้จะเมนต์ไรจริงๆว่ะ แบบว่าอ่านจบผ่านมาแล้วผ่านไป ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดๆเลย จะเมนต์อะไรก็จะกลายเป็นว่าตอแหลไปอีก สู้ไม่เมนต์ไปเลยดีกว่า อีกอันคือเมนต์วิจารณ์พวกวิธีการเขียน/ภาษา/สำนวน/การใช้คำ ฯลฯ กูค่อนข้างเรื่องมากเรื่องพวกนี้ ถ้าบอกไปไม่รู้คนเขียนคนไหนรับได้ไม่ได้บ้าง กูไม่อยากโดนสาปฟรีว่ะ
>>648 กูยอมรับว่ากูแต่งเพราะอยากฝึกฝีมือ อยากสร้างความสนุกให้คนอ่านและอยากแต่งเพราะอยากเด่นอยากดัง แต่ถ้าไม่มีคนเม้นเลย กุจะรู้ได้ไงวะว่าสนุกมั้ย พลาดอะไรตรงไหนหรือเปล่า หรือคุยกันให้หายเหงามั่งก็ได้ มาร่วมกรี๊ดด้วยกันหน่อย มีแค่ยอดวิวมันไม่พอหรอกเอาจริงๆ เหมือนกูต้องมานั่งปั่นงานเพื่อเอาใจพวกเขาฝ่ายเดียวแต่คุยด้วยไม่ได้เลย นักเขียนก็คนนะเว้ย ไม่ใช่เครื่องจักรผลิตเรื่อง
>>656 เออ อันนี้จริง กูก็เป็น เลยปิดตอนแม่งไม่แคร์ละ
แต่กูก็แจ้งทุกเรื่องนะว่าลงไม่จบ ลงได้กี่เปอร์เพราะขายด้วย 5555
แรกๆ นี่ไม่มีคนอ่านเลย หลังๆ ก็นี่แหละ ไม่เม้นแต่ช่วยมาปั๊มวิวให้กู ก็กราบขอบคุณมิตรรักแฟนเงาทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย
ส่วนคอมเม้นที่กูอยากได้ เดี๋ยวนี้เลยให้เพื่อนช่วยอ่านแทนกับจ้าง บก. นอกมาคอมเม้นต์อ่านให้
แต่ถ้าเรื่องไหนไม่ผ่านพิจารณา สนพ. ก็จะซีดๆ หน่อยกับการลงทุนนี้ 55555
>>664 เอาใหม่ๆ กูพิมพ์มึนๆ การที่อ่านแล้วมึงไม่รู้สึกอะไร นั่นแหละคือปัญหา มันมองได้สองแง่คือ หนึ่งนี่เป็นปัญหาส่วนตัวของมึงเอง ที่อาจจะไม่ชอบนิยายไทป์ที่นักเขียนคนนี้กำลังเขียน เลยอ่านแล้วผ่านเลยไป กับสอง เป็นปัญหาที่ตัวนักเขียน ตัวนักเขียนอาจจะเขียนไม่จับใจ ดึงอารมณ์ไม่สุด อะไรก็ว่าไป จากใจกูเลยนะ กูไม่รู้ว่าคนอื่นมีสังคมการเรียนรู้ประมาณไหน แต่กูอ่ะ โดนฝึกมาในสังคมที่ว่า ต่อให้เป็นงานที่ดีที่สุดหรือแย่ที่สุดในความคิดของกู ก็ก็ต้องคอมเมนต์และวิจารณ์ให้ได้ทุกดีเทลว่ะ ทั้งทางเหตุผลและทางอารมณ์ แม้บางอันกูอาจจะรู้สึกเหมือนมึงในแง่ที่ว่าอ่านแล้วแบลงก์ก็เถอะ(อันนี้นิสัยเสียๆ ของกูเอง เพื่อนหลายคนที่ไม่ได้อยู่ในสังคมการเรียนรู้แบบเดียวกับกู ชอบด่าว่ามันทำให้กูอ่านนิยายไม่สนุก แต่อีกแง่ กูรู้สึกว่ามันทำให้กูติดนิสัยที่ชอบคอมเมนต์งานนักเขียนที่กูตามนะ)
>>665 เจอทีมตะโกนแล้วไม่มีคนฟังอีกแล้ว 1 อัตรา ถามหน่อยว่าเหงาไหม เวลาเห็นแต่ยอดวิวขึ้นอ่ะ 555555 เอาจริงๆ อิคนที่ถามพี่คนนั้นต้องแยกให้ออกระหว่างการต้องการคอมเมนต์ของนักเขียน กับความอยากเด่นอยากดังนะ กูว่ามันคนละเรื่องว่ะ แต่แม่งเอามาปนกันเฉย
ไปๆ มาๆ พอมีคนเปิดประเด็นเรื่องข้อดีข้อเสียของนักอ่านเงา ทู้นี้กลายเป็นศาลาปรับทุกข์ซะงั้น
ศาลาคนเศร้า 555555555
เป็นเรื่องที่วนกลับมาให้บนให้เฟลได้เรื่อยๆเลยว่ะ อยากล้อง
มัวแต่เซร้าไปแต่งนิยายต่อปายยย
กุชักสงสัยว่านี่มันมู้รวมนักเขียน หรือว่ามู้รวมศาลาคนเศร้าวะ
เอาเถอะ! แต่ตอนนี้กุมีเรื่องสงสัยอย่างนึง
ตอนนี้ในตลาดมีแต่นิยายวายรึไงฟระ!? เมื่อกี้กุแว่บไป B2S มา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่ปกแบบผู้ชายกอดกันทั้งนั้นเลย
นิยายพวกมึงยังดี ของกูนี่มีแต่โทรลละ ตั้งแต่กูฆ่าอีพระเอกไป ถถถ+ ดูคนอ่านคลั่งมันก็สนุกไปอีกแบบ เอาจริงๆตอนแรกกูไม่คิดว่าจะมีคนอ่านถึง 100 คนด้วยซ้ำ แต่งระบายอารมณ์ไปงั้นๆ พอมีคนมาตามมันเริ่มรู้สึกรำคาญแปลกๆว่ะ กูแปลนไว้ว่าจะตั้งใจแต่งดีๆ มีสาระเยอะๆสักพักให้คนตามต่อ จากนั้นก็ฆ่าอีนางเอกหักมุมไปด้วยอีกตัว แมรี่ซูนักสัส เหลือพระรองกูกับมือก็พอแล้ว
เออ จะว่าไปมีเรื่องไหนเดินเรื่องโดย ไม่มีพระเอก นางเอก แต่ใช้ Ideologies เดินเรื่องมั้ยวะ? กูรู้สึกสนใจแนะนำกูหน่อยสิจะไปศึกษา
>>676 คือมันน่าแปลกอะนะ กุอยู่เยอรมันมานานไม่เคยเจอจึ๊งโครมแบบนี้ พอกลับมาไทยเท่านั้น Culture shock กันเลย... เดินไปไหนเจอแต่วาย วาย วาย ไม่ก็จีน ช่วงที่กุไปอยู่โน้นมันเกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย
เออ กุขอถามเพิ่มหน่อย~ แนว Dystopia นี่มันมีองค์ประกอบอะไรบ้างใครรู้มั่ง? กุรู้แต่ Setting มันต้องเป็นแนวโลกที่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา ไม่ก็กฎหมายเข้มงวด รัฐกดขี่ประชาชนเท่านั้นเอง เห็นว่ายังมีองค์ประกอบอื่นอีกเยอะเลย
เชื่อกู อย่าไปงอแงคอมเม้นท์ในหน้านิยายเยอะ ไม่เวิร์ค
คนจะไม่เม้นท์ ให้ตายยังไงมันก็จะไม่เม้นท์ คนที่อาจจะเม้นท์ก็พาลหมดอารมณ์ด้วย
บางคนตามใจนักอ่านซะเหมือนไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง ยิ่งมึงทำอย่างนี้ก็ยิ่งดูเหมือนจูงง่าย ทุกอย่างขึ้นกับนักอ่าน ห่าเหวอะไรมันก็จะมาจ้ำจี้จำไชแต่กับมึง
พวกคำวิจารณ์จริงๆ จะดีไม่ดีกูก็รับไว้หมด แต่พวกเกรียนๆ กูก็ข้ามหมด ไม่สนไม่ใส่ใจ อะไรควรแก้ไขก็แก้ไข อะไรควรปรับปรุงก็ปรับปรุง
มึงต้องสตรองและเชื่อมั่นในตัวเองระดับหนึ่ง กูเข้าใจว่าคนเขียนทุกคนมันอยากได้ฟีดแบคทั้งนั้นแหละ คิดอีกแง่ งานเราอาจจะไม่ได้พีคขนาดที่เขาต้องมาเม้นท์ พยายามต่อไป ท้อได้ เหนื่อยก็พัก คอมเม้นท์อะไรที่ไม่สร้างสรรค์จรรโลงใจก็อย่าไปสน สู้ๆ เพื่อนโม่ง
>>677 บรรยากาศว่ะหลักๆสำหรับกูเลย มันต้องให้อารมณ์ทำนองว่ามึงมีชีวิตอยู่ไปทำไมน่ะ ส่วนมากดิสโธเปียก็แนวเซ็ตติ้งเผด็จการนี่ล่ะ จะรวมพวกยุคมืดของยุโรปเข้าไปด้วยก็ได้
>>674 ไม่เอา กูไม่ได้มาโฆษสนา กูมาบ่นเฉยๆ >>678 นี่กูเห็นด้วยเลย ในนิยายกู กูไม่เคยไปเม้นตอบสักตอน กูว่าการไปตอบ/เสวนาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องบางทีมันเป็นเหมือนการยัดความคิดเราให้คนอ่านเกินไป กูชอบให้คนมันคิดกันไปเองมากกว่า แต่กูพอรู้เทคนิคทำให้คนอ่านเม้นเยอะๆละ ต้องอ่านใจคนอ่านให้ได้ ว่าคนอ่านชอบอะไร
เรื่องเมนท์ นิยายยาวๆ จะให้เมนท์ตลอดมันเป็นไปไม่ได้ว่ะ เพราะบางตอนมันก็ไม่ได้มีอะไรขนาดที่จะต้องเมนท์ แต่ถ้ามึงเขียนอะไรที่โห โคตรพีค โคตรโหด โคตรเจ็บปวด นางเอกมึงร้องไห้น้ำตาเผาเต่า แต่ไม่มีใครเมนท์เลย หรือเมนท์โคตรน้อยทั้งที่ยอดคนอ่านเยอะ แปลว่าต้องมีอะไรผิดปกติซักอย่างในนิยายมึง แต่ถ้าเป็นตอนทั่วๆไปก็อย่าไปหวังเมนท์เลยว่ะ ที่แน่ๆคือตอนจบนิยายมึงมีคนเมนท์มั้ย เมนท์แค่ขอบคุณค่ะหรือเมนท์ว่ารักนิยายมาก ชอบมาก จะเป็นจะตาย คิดถึงตัวละคร ถ้าเป็นอย่างหลังนี่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จระดับนึงแล้วว่ะ ถ้าตอนจบหรือตอนพีคๆ ไม่มีคนเมนท์ อันนี้สิน่าคิด
ที่พีคกว่าคือ จะปิดตอนเพราะลงจะจบแล้วงี้ หรือปิดตอนหลังจากประกาศไปแล้วงี้ ออกมาด่าว่าปิดไว เห็นแก่ตัว 555+
อยากให้คนเม้นเยอะๆ มึงต้องเอาแนวปวดตับ แล้วจะมีพวกโผล่มางอแงเพียบ
ขออนุญาต ky
มีอาชีพไหน งานหนักเป็นพักๆ แต่มีช่วงหยุดแบบว่างๆเลย บ้างวะ
จะเอาไปใส่อาชีพพระเอก ช่วงทำงานฮีจะได้ดูมีงานการทำ ค่อยเอาช่วงว่างไปจีบนางเอกแทน
แบบวิดวะปิโตรตามแท่นไรงี้
ปล.ไม่เอานักธุรกิจนะมึง 5555
>>687 บัญชีกูว่าไม่นะ55555 งานมันเยอะตลอด แม่กุเปนักบัญชีนี่แทบจะเป็นยามแทนล่ะ อาจจะขึ้นกะความขายดีขอวบริาุบสสัสด้วย ปิดบัญชีแม่งก้คือไม่ได้กลับบ้านมาเจอใครอะ เสาอาทิดหยุดก้ต้องเคลีย ไม่มีโอทีด้วย
งานแนวนั้น่าจะพวกฟรีแลนทั้งหลายอะ คอลัมนิส นักวาดกาตผูน นักเรียน สถาปนิก นักร้อวง ดาราได้อุ่อีกอันคือวิศวกรปริโตร ครึ่งๆเดือนไปอยุ่แท่นขุดกลางทะเล อีกครึ่งเดือนฟรีไทม์ ทำห่าไรก้ได้ เงินเดือนเยอะกว่าชาวบ้านมาก แต่ตอนอยุ่แท่นแม่งก้เหงาจริง
>>686 สจ๊วต หรือนักบินไง เขาต้องมีพักเป็นรอบๆเหมือนกัน ถ้าพวกฟรีแลนซ์นักเขียนนักวาดนี่ส่วนมากเห็นปั่นงานกันจนไม่ได้ออกไปไหนซะมากกว่านะ งานไม่เสร็จก็ไม่มีตังค์นะมึง
แต่มันก็จะมีพวกที่รับเป็นโปรเจ็คๆอยู่ อย่างพวกช่างตามกองถ่ายหรือทีมทำงานสารคดีอะไรงี้แหละ รับเป็นโปรเจ็คเสร็จแล้วอาจพักสักหน่อย ผู้กำกับทั้งละครทั้งสารคดีก็เข้าข่ายนะ
กุถามหน่อยดิ มีคนบอกกุว่าการบรรยายเวอร์ มันจะทำให้เรื่องน่าสนใจขึ้นจริง การอธิบายรวบรัดนั้นทำให้น่าเบื่อ พวกมึงคิดว่าการบรรยายแบบไหนดีสุดกัน
>>690 กูว่าไม่จริง มันอยู่ที่สไตล์คน แต่เอาที่อ่านแล้วเห็นภาพง่ายสุด ดราม่าก็จี๊ดใจ คอเมดี้ก็รู้สึกขำอ่ะ กูเคยอ่านบางคน บรรยายเวอร์วังอลังการดาวล้านดวงมาก แค่บรรยายว่านางเอกนั่งอยู่ศาลางี้ย่อหน้านึงสิบบรรทัด บรรยายทุกสิ่งอย่างจนกูต้องอ่านทวนสองรอบ คำสวยมาก แต่อ่านจบแล้วกูกลับมึนว่ามึงจะพูดอะไรกันแน่ในย่อหน้านี้อ่ะ
>>692 กูนึกถึงนิยายในเด็กดีที่มู้ในห้องเว็บโนเวลเคยสับ (แนวแฟนตาซีนะ) บรรยายซะโคตรละเอียด แต่กูจำชื่อเรื่องไม่ได้ละ จำได้แต่ว่าเริ่มเรื่องด้วยฉากในบาร์อะไรซักอย่าง บรรยายอาหารบนโต๊ะถึงขั้นฟองเบียร์ในแก้วหกลงใส่จานสเต็กจนเกิดเสียงดังฟู่ แบบว่ายัดข้อมูลจนกูชักงง กูเลยจำฉายาเรื่องนี้ได้แค่ฟองเบียร์นี่แหละ 555
บรรยายเยอะเกินกูว่าแทนที่จะเห็นภาพ คนอ่านมันจะรู้สึกเบื่อเว้ย เขียนสั้นๆได้ใจความแบบจดหมายสมัครงานคนอ่านเยอะกว่าบรรยายเยอะๆอีกมึง กูทดลองมาละ
มีใครคิดแบบกูบ้าง นิยายแนวต่างโลก เกมส์ออนไลน์นี่ ถ้าเขียนแบบแนวเรื่องจริงจัง กูรู้สึกว่าเขียนยากจังวะ พล็อตโฮลแม่งเต็มไปหมดเลย ไม่ว่าจะกูอ่านของใคร รึแต่งเองก็ตาม เหมือนกับว่าแนวเรื่องแม่งดูขี้เกียจๆไงไม่รู้่ มีเวล มีอะไรมาแก้ความแกรี่ได้ง่ายๆ
กระทู้นี้มีนักเขียนเยอะใช่มะ กูถามอะไรหน่อยดิ คือกูชอบนิยายเรื่องหนึ่งมากเลย ก็พยายามคอมเมนต์ให้กำลังใจคนเขียนทุกตอนเท่าที่กูสามารถจะทำได้นะ แล้วพอมีตัวละครที่กูชอบออกมาสร้างสีสันกูก็จะเมนท์ยาวมากๆเพราะกูชอบ อยากพูดถึงเยอะๆ หวีดร้องแบบติ่งแตก อะไรกรี๊ดได้ก็กรี๊ด อวยสุดลิ่มทิ่มประตู นักเขียนเขาก็ดูจะจำกูได้นะเพราะกูเมนท์บ่อย มีมาคุยๆใต้เมนท์นิดๆหน่อยๆด้วย แต่กูไม่ได้พยายามตีซี้อะไรนักเขียนนะ ถ้ามาคุยใต้เมนท์ก็คุย นอกนั้นกูก็หวีดร้องของกูอยู่คนเดียว ถึงจะเมนท์ยาวแต่กูไม่ก่อดราม่า ไม่พาดพิงตัวละครอื่นนะ มีแต่กรี๊ดตัวละครที่กูชอบ อยากให้คู่กันกับตัวละครที่กูเชียร์อย่างเดียวเลย
คำถามที่กูอยากรู้คือเวลาเจอเมนท์แบบกูนี้จะรำคาญกันป่ะวะ กูก็กลัวคนไม่พอใจ รำคาญ อีนี่จะเมนท์ยาวๆอะไรนักหนาวะ แถมมีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น กูไม่รู้จะถามใครเลยมาถามนักเขียนในห้องนี้นี่ล่ะ ถ้ารำคาญกูจะได้เพลาๆความติ่ง ตอนอื่นกูก็เมนท์แบบสุภาพชนคนปกติทั่วไปนะ แต่พอตัวละครนี้ออกมาทีไรกูเมนท์ยาวทุกครั้งเลย พยายามแก้อยู่ แต่อดไม่ได้ทุกทีเลยว่ะ
>>699 ไม่นะมึง กูก็ชอบ บางทีคนเมนต์ยาวๆ นี่เขาก็ตั้งใจอ่านละมาเมนต์ไง จำรายละเอียดทุกเม็ดละมาเมนต์ นักเขียนเห็นเขาก็อยากเมาท์ด้วยว่ะ ไม่ได้ดูเป็นการตีสนิทหรอก แหม ก็เหมือนมีคนมาชวนคุยเรื่องที่เราถูกคออ่ะ จะห้ามใจไม่ให้คุยทันก็ยากมะ 5555
เออมึง กูเคยเจอเหตุผลที่นักอ่านไม่ยอมเมนต์ด้วย ประมาณว่า ก็เขียนไม่เก่ง เลยต้องมาเป็นแค่นักอ่านไงคะ จะเอาอะไรมากกับเรื่องให้เขียนคอมเมนต์
มีใครแต่งนิยายแล้วแบบเปิดเพลงเป็นแบล็กกราวน์แบบกูบ้างมั้ย ตอนนี้นิยายกูโคตรepic(เกิน) ที่ตั้งไว้เพราะเพลงเลย อินมาก
ลองฟัง นี่ https://youtu.be/Lmb2Xc-3rXg ,https://www.youtube.com/watch?v=3TAUnYZpMbA
ควรทำยังไงกับการโดนลอกแบบพาราเฟสดีวะ รู้สึกเหมือนถูกเอางานไปเรียบเรียงสำนวนใหม่ ลำดับขั้นเหมือนกันเป๊ะ
ยกตัวอย่าง นี่พิมพ์สด ไม่ได้มาจากงานจริง มันมีคำคีย์เวิร์ดที่เจาะจงกว่านี้ แต่ถ้ากูใส่ลงไปเดี๋ยวโม่งแหก ;-;
คนที่โดนรถถังทับแล้วไม่ตายต้องมีวาสนาดีขนาดไหน --> ต้องมีวาสนาดีแค่ไหนที่โดนรถทับแต่ไม่ตาย
นาย ก. ลุกขึ้นปัดเศษดินทรายที่เปื้อนตามตัว --> หลังจากนาย ก. ลุกขึ้นมาตรวจดูความเรียบร้อย
หันกลับไปมองด้านหลังซึ่งเพื่อนร่วมทีมกำลังตามมา --> ก็หันไปพบว่าพวกไทยมุงวิ่งกรูกันเข้ามาใกล้
>>700 >>701 >>702 >>703 โอเค ไม่รำคาญใช่มะ เพราะกูก็กลัวว่าไปเมนท์ยาวๆร่ายยาวๆนี่คือทำตัวเด่น เพราะอยากจะมาตีซี้รึไง ไม่ได้อยากรู้จักซักหน่อย แล้วกูก็กลัวนักอ่านบางคนเขาจะคิดว่ากูเลียแข้งเลียขานักเขียนด้วยน่ะ กูไม่รู้จักใครเลยนะ แต่คิดว่าชอบก็บอกออกมา แสดงความชอบออกไปให้สุดๆเลยดีกว่า เก็บไว้ก็อัดอั้นเปล่าๆ
>>705 มึงแคปเก็บแล้วทำเทียบก่อน อย่าเพิ่งกดแบนกดแจ้งอะไรนาง จากนั้นหาข้อมูลของนางเอาไว้ ยิ่งได้ชื่อนามสกุลตัวจริงอะไรยิ่งดี จากนั้นรวมได้เยอะจำนวนหนึ่งจนหลักฐานแน่ใจในสายตาคนอื่นแล้วว่าดิ้นไม่หลุดแน่ๆ และนิยายเรื่องนี้มึงเขียนจบแล้วอย่าลืมไปจดลิขสิทธิ์ไว้ก่อน แสดงความเป็นเจ้าของทางกฎหมาย จากนั้นก็ไปเตือนนาง ถ้านางตกลงกับมึงได้ก็แล้วแต่มึงตัดสินใจ ถ้านางจะแถทั้งๆ ที่หลักฐานครบ มึงก็แจ้งความก็ได้เลย
ขอบคุณทุกคนมาก จะใจเย็นค่อยเก็บหลักฐานไปแล้วค่อยจัดการทีเดียว
พูดถึงเรื่องลิขสิทธิ์ กูขอเสือกนิดหน่อย จริงๆ พวกมึงเขียนๆ กันเนี่ย ลิขสิทธิ์คุ้มครองมึงตั้งแต่จรดคีย์บอร์ดเขียนแล้วนะ ไม่ต้องจดอะไรเลย พวกมึงเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แล้ว สิ่งที่สำคัญมากๆ คือ พวกมึงต้องหาหลักฐานมายันให้ได้ว่า มึงทำงานนี้ขึ้นมาก่อน ถ้ามึงมีหลักฐานตรงนี้ ต่อให้อีกฝ่ายไปจดลิขสิทธิ์ อีการจดนั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไร
แต่ถ้าพูดถึงว่า สำนวนเปลี่ยน พล็อตแค่เหมือน แต่การดำเนินเรื่องเปลี่ยน พล็อตรองเปลี่ยน อะไรพวกนี้เนี่ย กูบอกเลยว่ายาก ลิขสิทธิ์ "ไม่คุ้มครองไอเดีย" พูดง่ายๆ คือไม่คุ้มครองพล็อตเรื่อง คือโลกนี้พล็อตนิยายมันจะมีพล็อตใหญ่สักกี่พล็อตกันล่ะ ถ้าจะให้ดี มึงต้องดูว่าการดำเนินเรื่อง ไทม์ไลน์ไปแนวเดียวกันไหม ถ้าสลับ มันสลับแบบ ยกยอดไปเยอะไหม พล็อตรองเหมือนกันไหม ตัวละครล่ะเป็นยังไง จุดเริ่มต้น จุดพีค จุดจบ หรือพวกเอกลักษณ์เล็กๆ น้อยๆ มันมีเหมือนกันรึเปล่า เหมือนมากน้อยขนาดไหน
ทางทีดีก็อย่างที่เพื่อนโม่งคนอื่นแนะนำ เก็บหลักฐานเอาไว้เยอะๆ ลองให้คนอ่านที่เป็นกลางหน่อยอ่านแล้วบอกว่าเหมือนคล้ายตรงไหน (เพื่อที่มึงจะได้ขจัดเรื่องอคติออกไปได้ด้วย) ต้นฉบับที่เก่าที่สุดของมึงคือเมื่อไหร่ เซฟไว้ให้ดี เรื่องแบบนี้ถ้าโจมตีต้องให้มันจบในครั้งเดียวเลย อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายเวิ่นเว้อ มันน่ารำคาญ ถ้ามันเวิ่น มึงก็จัดการแจ้งความ ถ้ามันเผยแพร่ทางเน็ต มึงอยู่ไหนก็แจ้งความที่นั่นแหละ ให้มันเดือดร้อนมาหามึงเอา
คดีลิขสิทธิ์เป็นคดีที่มีโทษทางอาญา คือมีจำคุกมีอะไร มีค่าปรับ และเป็นคดีทางแพ่งคือเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดได้ มึงไม่ต้องห่วง จัดไป
ขอ ky หน่อย ถ้าสมมติกูแต่งแนวแฟนตาซีวาย แต่เน้นแฟนตาซีหนักๆ ไม่เน้นรักนี่กูจะส่งสนพ.ไหนได้บ้างไหม
มีใครสร้างตัวละครแบบ Decoy มั้ยเพื่อนโม่ง เช่น พวก Decoy protagonist สร้างคู่ชิบหลอกๆแล้วพลิกไปกลางเรื่อง ไม่ก็ตัวเอกตายแล้วเปลี่ยนตัวเอก คอร์ดราม่าตอบรับกับแนวนี้ยังไงบ้าง
>>699 โอ้ย ไม่เลย เม้นเหอะ ชอบอ่าน
คอมเม้นนี่อ่านวันละหลายๆรอบ้เหอะ บางทีก็ไม่ได้ตอบ เพราะไม่รุ้จะตอบเหี้ยไร บางคนมาแบบ กริ้ดดดดดดดดดดดดดดด ดอเด็กเป็นแถวยาวเหยียดแล้วจบไป กูก็เลยเอ่อ...คงไม่ได้ต้องการให้กูเรสป้อนมั้ง
แต่กุก็ชอบอ่านอยู่ดี มันเป็นผลงานกูอ่ะนะ เป็นลุกกู ใครชมลุกกู กูก็ลอยทั้งนั้นแหละ ชมสั้นก็ดีชมยาวยิ่งดี 555555555
>>718 โหหห เท่าที่เห็น คนเขียนโดนฆ่าตายกลายเรื่องค่ะมึง
แค่ที่ผ่านมากูแค่แย็บๆไปนิดหน่อย ไมได้จะเอาจริง คอมเม้นท้วงไหลบ่ายิ่งกว่าน้ำท่วมกทมอีกค่ะ แต่ของกูเป็นฟิคนะ แบบถ้าฟิคมาเปลี่ยนคู่กลางเรื่องแม่งเรื่องใหญ่ไง
แต่คิดว่าถ้าเป็นนิยายคงอีกเรื่องนึง
แต่เรื่องฆ่าตัวละครนี่คิดว่าธรรมดา แต่เปลี่ยนตัวเอกก็อาจจะต้องดูลาดเลาดีๆ
แต่ทั้งนี่ทั้งนั้น อยากเขียนแนวไหนก็เขียนเหอะว่ะ งานเราเอง
หลังจากกุอ่านgame of thronesแล้วกุเริ่มทำใจได้ละว่าซักวันตัวละครต้องตาย ตัวโปรดกุก็ตาย ตัวเกลียดก็ตาย ตายกันหมด
มันทำให้คนอ่านลุ้นนะมึง๕๕
มาคุยเล่นกัน อะไรที่ทำให้รู้สึกท้อมากที่สุด
เขียนเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว เหมือนต้องเริ่มต้นใหม่
ไฟหมดไปดื้อๆ เขียนยังไงก็เขียนไม่ออก
>>724 ยอดขายจากเล่มที่พยายามเขียนให้ดีกว่าปกติ มีอะไรบ้างสอดแทรกในเนื้อหาไม่ให้ถูกเหมารวมว่าเขียนแต่นิยายกลวงๆ แต่ดันขายไม่ค่อยดี แต่เล่มที่เขียนพลอตธรรมดาๆ เขียนเอามันเฉยๆ ไม่สนสี่สนแปดอะไรแล้ว เสือกขายดี เลยรู้สึกว่าสิ่งที่คนด่าปาวๆ ให้เขียนอะไรดีๆ ออกมาบ้างกับคนซื้อจริงนี้มันคนละกลุ่มกันชัดๆ คิดแล้วทุกครั้งก็เลยท้อหน่อยๆ เวลาอยากเขียนอะไรที่มันพอมีอะไร แต่ก็กลัวยอดขายมันจะออกมาแล้วขายไม่ได้เลย (ขอโทษที่พูดวกไปวนมานะมึง TwT)
ตัวเอง... อุตส่าห์วางพล็อตเอาไว้ พอเขียนไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกว่าไม่สมเหตุสมผล เหตุจูงใจและน้ำหนักในการกระทำตัวละครไม่มากพอ
สุดท้าย เฟล พาลทำเอาหยุดเขียน
นี่กุหยุดมาเดือนกว่าละเนี่ย
>>730 จะว่ายังไงดี เอาตรงๆ เลยคือนักอ่านส่วนใหญ่แม่งกากน่ะ แม่งไม่รู้จักความสวยงามของภาษา ไม่สนใจความสมจริง (ตราบเท่าที่ไม่มั่วจนเกินไป) คืออ่านเอามันเข้าว่านั่นแหละ นิยายที่ดูไม่ค่อยมีอะไร (แต่อ่านเพลิน) เลยขายดีกว่านิยายที่จริงจังไง
ความเหี้ยมันก็จะมาตกอยู่ที่นิยายที่อยู่ตรงกลางระหว่างความเหี้ยกับโคตรจริงจัง คือนิยายจริงจังถ้าจริงจังจริงๆ (งงไหม) มันก็มีตลาดให้ขายอยู่ อย่างน้อยๆ ก็เอาไปชิงรางวัลนั่นนี่ได้บ้าง ส่วนไอ้นิยายตลกโปกฮาหาสาระไม่ได้ก็ขายนักอ่านที่เอามันเข้าว่าไป ส่วนนิยายที่พยายามจะขายความสนุก+จริงจัง แม่งก็ไม่ค่อยมีใครสน สนพ. ก็ไม่อยากพิมพ์ เว้นแต่นักเขียนคนนั้นจะมีชื่อเสียงพอดึงดูดลูกค้าได้บ้าง
เพื่อนโม่งมีความคิดเห็นกับจอยฯยังไงบ้าง กูว่ามันบริโภคง่ายเกินไป น่าจะมาไวไปไวไงไม่รู้
>>733 มึงพูดแบบนี้กูก็แอบหน้าสั่น แถวนี้นักเขียนเยอะ แต่พอดีกูเป็นนักอ่านที่ผ่านมา กูคิดว่าการเสพสำนวนภาษาที่สวยงามมันเหมือนการกินอาหาร...ถ้าซื้อหนังสือที่ภาษาดีมาอ่านก็เหมือนได้กินอาหารที่ดี ลื่นคอ กินง่าย...แต่ถ้าซื้อหนังสือห่วยๆก็เหมือนกินอาหารหมาห่วยๆ อ่านจบๆไปแค่นั้นแล้วไม่เอามาอ่านอีก หนังสือที่ดีสำหรับกูคือเนื้อเรื่อง กูชอบอะไรที่แน่นๆ ซับซ้อนเยอะๆแบบพลิกมาพลิกไป อ่านแล้วคิดไม่ถึงจนกูต้องย้อนกลับไปอ่านอีกรอบนึง กูชอบช่วงเวลาที่คลายปมกับย้อนความ ตลค.มาก
รองมาสำหรับกูคงเป็นสำนวน สำนวนที่ไหลลื่นอ่านไม่ติดขัดตั้งหากที่เป็นสำนวนที่สวยงาม ไม่ใช่พรรณนาเป็นหน้าไม่มีห่าอะไรเลย นั่นไม่ใช่สำนวนที่สวยงามหรอกเว้ย แม่งน้ำหวานไร้ประโยชน์ชัดๆ
อาจจะสำนวนกลางๆแต่เนื้อหาแน่นๆ ไม่กลวงโบ๋ ไม่หลักลอย สำนวนการใช้ภาษาไม่มั่วซั่วเหมือนจับเอาของดีๆมายำๆๆรวมกันกลายเป็นขยะ
มึงก็อย่าคิดแต่ว่านักอ่านส่วนใหญ่แม่งกากหรืออะไรเลย ถ้ามึงเป็นนักเขียนมึงกำลังดูถูกคนอ่าน ดูถูกคนซื้องานมึง เมื่อก่อนกูไปงานหนังสือนะชอบไปเหมามาทีเยอะๆ แต่เดี๋ยวนี้กูไม่ไปแล้วงานหนังสือ มีแต่อะไรก็ไม่รู้แม่ง นิยายก็วางพล็อตหลักลอยชิบ บางจุดไม่สมเหตุสมผลมาก บางจุดก็แบบนะ บลาๆ เยอะแยะตุงนังเลิกอ่านแม่ง กูไปอ่านหนังสือแปลดีกว่า แต่ถ้ามีงานดีๆกูก็อยากอุดหนุนนะ กูชอบหนังสือ หนังสือทำอาหารกับปลูกต้นไม้กูก็ชอบ
>>737 กูอยู่รุ่นที่ไม่ใช่เด็กสมัยนี้... ถึงกูจะไม่แก่มากแต่กูก็ไม่ใช่เด็ก... แต่ก็จริงเรื่องสำนวนดีกับเรื่องความสนุกนี่พูดกันยาก แม่งไม่เหมือนกันจริงๆ แต่กูไม่ค่อยแตะหนังสือสมัยนี้เท่าไหร่แม่งผิดหวัง หลายเล่มแล้วที่กูซื้อมาแล้วกูผิดหวัง แต่กูก็ไม่ชอบอ่านตามที่เขาแนะนำกันอีกอะ เพราะความสนุกของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันนี่แหละ
>>736 ขอโทษที่ทำให้ไม่พอใจ แต่กูก็ยังยืนยันว่านักอ่านส่วนใหญ่ (วงเล็บให้ก็ได้ว่าคือส่วนใหญ่ที่กูเคยพบเจอ อาจไม่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด) แม่งกาก
ตัวอย่างที่ง่ายที่สุด คือมึงไม่สามารถเฉลยปมแบบเป็นนัยๆ ได้เลย คือถ้ามึงต้องการจะบอกว่านางเอกเป็นคนแรงๆ เพราะต้องการซ่อนความว้าเหว่ในใจจากเรื่องในอดีตเอาไว้ มึงก็ต้องเขียนให้ชัดๆไปเลยว่า นางเอกเป็นแบบนี้เพราะมีปมแบบนี้ ถ้ามึงคิดจะเล่าเรื่องแบบมีชั้นเชิง อย่างให้ตัวละครอื่นพูดเป็นนัยๆ หรืออธิบายปมแทรกเอาไว้ให้ได้คิดต่อ แบบนี้นักอ่านส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจที่มึงสื่อ
ตอนแรกกูก็คิดนะว่าที่นักอ่านไม่เข้าใจเพราะกูเขียนห่วยรึเปล่า แต่ก็มีคนเข้าใจอยู่หลายคนนี่หว่า ลองไปให้เพื่อนนักเขียนช่วยปรับแก้แล้วมันก็บอกโอเคเข้าใจ แบบนี้ปัญหาไม่น่าจะอยู่ที่กูละ
>>741 อันนี้จากใจ กูมองว่านักอ่านหลายกลุ่มในบ้านเรา ตีความงานเขียนไม่ออก เพราะเสพแต่งานง่ายๆ ที่บอกทุกอย่างโจ่งแจ้งว่ะมึง
เพราะฉะนั้นเขาเลยเลือกเสพอะไรที่มันง่ายต่อไป เหมือนตอนรากนคราฉายแล้วมีคนออกมาตีความฉากแต่ละฉากในเรื่อง แล้วก็มีคนมาด่ามาแซะไงมึงว่าจะให้ตีความอะไรเยอะแยะ ทำให้มันดูมันเข้าใจง่ายๆ ไม่ได้หรือไง หลายคนในบ้านเรารักความง่ายในการเสพเช่นนี้แล
>>724 แม่งท้อได้หมดแหละ หนักสุดก็หมดไฟไปเอง 555 ทำงานหนัก วันๆแม่งทำงานกลับมาก็ไม่มีอารมณ์เขียนละ ความกระตือรือร้นแม่งหดหายไปหมดอ่ะ นอกนั้นก็พวกเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่มีคนอ่าน คนอ่านไม่เข้าใจ เรื่องที่เขียนขายตลาดขายดี เรื่องที่ตั้งใจไม่มีคนอ่าน แบบกูมีหลายนามปากกาเขียนหลายแนวช้ะ เขียนจริงจังปุ้บ ไม่มีคนอ่านเลยยย
กูเคยเห็นหลายคนแม่งชอบบอกว่า เขียนไปไม่ได้ต้องการให้ใครมาอ่าน เขียนเพราะอยากเขียน
เออกูก็เขียนเพราะอยากเขียน แต่ก็ชอบให้มีคนอ่านอ่ะ ดูละเรื่องที่กูเขียนจบได้ก็มีคนอ่านเยอะทั้งนั้น แม่งทำให้เรื่องมันไปเร็วนะเว่ย เหมือนพออ่านคอมเม้นแล้วก็สมองแล่นอ่ะ 5555555
แล้วแบบมันก็จะกลายเป็นว่า เฮ้ย กูไม่ได้เขียนเหี้ยไรที่กูอยากละ กูเขียนอะไรที่คนอ่านอยากอ่านว่ะ ไรงี้
ก็เป็นฟีลลิ่งชวนท้อถอยอีกอย่างหนึ่ง
เฮ้อออออออออ
เออ จู่ๆก็เกิดสงสัย กูคิดอะไรไม่ออกเลยเขียนเรื่องย่อเล่นๆ ทีนี้ก็คิดอยากเอามาแต่งจริงๆจังๆดู แต่เซ็ตติ้งมันน่าจะไม่กี่วัน ไม่กี่ตอนจบไรงี้ ก็ชักสงสัยว่าเวลาไม่กี่วันนี่ ตลค.จะตกหลุมรักกันนี่เป็นไปได้ป่ะวะ
>>745 ถ้าเอาแค่ตกหลุมรัก วินาทีเดียวก็ตกหลุมรักได้แล้ว และที่ว่าจะอยู่กันยืดหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าก่อนคบรู้จักกันมานานแค่ไหน หรือเป็นแฟนกันได้ยังไง แต่มันอยู่ที่นิสัยและความเข้ากันได้ล้วนๆ ถ้ามึงสามารถเขียนให้ตัวละครพระนางมีนิสัยสอดคล้องกัน ต่อให้แค่จ้องตาแล้วตกหลุมรัก แต่งงานอยู่กินกันจนแก่เฒ่า กูก็ถือว่าสมเหตุสมผล
เวลาแต่ง ในหัวพวกมึงเหมือนเป็นภาพยนตร์แมะ ของกุเป็นแบบนั้นแหละ มันแบบเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่ใช่กุเป็นคนแต่งเลย แบบสนทนาไรมันไหลลื่นเหมือนตัวละครมันเป็นคนพูดกันจริงๆเลย แล้วแบบตัวละครนี้จะทำไงในสถานการณ์นี้ ในหัวกูมีเป็นม้วนหนังเลย แต่กูบรรยายออกมาไม่ถูก5555 เหมือนประมาณแปลงมูฟวี่ เป็นตัวอักษรเลย ยากชิบหายทำไงดี
มึงๆ เอลฟ์ที่เป็นเด็กเรียกว่าอะไร เอลฟ์เด็กน้อย หรือเด็กน้อยเอลฟ์ หรือเด็กน้อยที่เป็นเอลฟ์
พวกมึงเหมือนกูเลย มัพลอตในหัวเล่นเป็นหนัง แต่พอจะเขียนเสือกเขียนไม่ออก 555
โอ้ย เรื่องชื่อนี่มีแม่งเรียลมาก คือพล็อต บทอะไรนี่คิดออกเป็นฉากๆ แต่คืดตีลังกาเค้นสมองแทบตายกูคิดชื่อเรื่องไม่ออก อนาถจังวะ TT
เออ... ใครเป็นแบบกุมั่ง พล็อตแม่งชอบออกมาตอนอาบน้ำว่ะ
วันก่อนกุตั้งใจจะเขียนแนว slowlife ชิลๆ สบายๆ แต่พอหลังกลับบ้านมากุเข้าอาบน้ำ ...ไม่นานพล็อตนิยายเรื่องใหม่ ดราม่า ปวดตับในแบบชนิดว่าตรงข้ามกับไอ้ที่ตั้งใจเขียนก็ผุดขึ้นมาซะงั้น
ไอ้ที่กุตั้งใจนึกพล็อตตั้งนานเสือกไม่มา พอหัวเปียกน้ำเท่านั้นล่ะ...
พล็อตกูมาช่วงหลัง 2 ทุ่ม กูรู้สึกสงบสุขแบบไม่มีใครมากวนดี ตอนอาบน้ำสมองกูจะว่างมาก เหมือนรีเฟรชข้อมูลใหม่
เออ จะว่าไปมีใครเป็นแบบกูมั้ย เวลาคิดคำศัพท์ในหัว มันออกมาเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย แล้วต้องมานั่งคิดคำแปลเป็นไทย แล้วบางทีมันไม่มีคำแปลที่ชัดเจน อย่าง Juggernaut dispersion อะไรงี้อธิบายยากจริง ไม่รู้ทำไม
>>764 กูว่ากูเข้าใจอยู่ แบบบางทีคำที่เป็นภาษาอังกฤษมันอ่านแล้วเก็ตความหมายเก็ตบริบท แต่พอจะแปลเป็นภาษาไทยแล้วไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร หรือจะปรับยังไงให้ได้เซ้นส์เหมือนคำอังกฤษต้นฉบับอะ
อย่างกูอ่านนิยายอังกฤษบางเล่ม กูเก็ตทุกอย่างเลย แต่พออ่านที่แปลไทยกูดันรู้สึกไม่เก็ต ไม่อินเท่าต้นฉบับ ไม่ก็รู้สึกแหม่งๆ เวลากูแปลงานกูก็เซ็งตัวเองมาก ไม่รู้จะหาคำ จะเรียบเรียงยังไงให้มันมีความหมาย+ให้ความรู้สึกเท่ากับภาษาต้นฉบับ
เพื่อนโม่ง...กุ >>759 เองนะ คือตอนนี้กุเจอปัญหาว่ะ คือกุมีนิยายเขียนค้างเอาไว้ก่อนหน้านั้น แต่เพราะไอ้การอาบน้ำวันก่อนแล้วได้พล็อตนี่ล่ะ ทำให้กุเจอปัญหาอยากจะมาปรึกษา
โอเค ก่อนจะเริ่มกันกุขอบอกก่อนว่า ไอ้นิยายที่เขียนค้างเอาไว้น่ะมันเป็นเรื่องราวที่กุวางพล้อต วางเนื้อหาเอาไว้หมดแล้ว (แต่ช่วงนี้หยุดเขียนเพราะ writerblock) เนื้อหาเป็นแนวแฟนตาซีวัยรุ่นตามหาคนสำคัญ มีตัวละครชายเป็นคนดำเนินเรื่อง คือกุไม่รู้ว่าแนวนี้จะขายได้มั้ย กุเลยไม่กล้าเขียนต่อเพราะยุคนี้ถ้าไม่ใช่นิยายขายผู้หญิงเขาก็ไปอ่านนิยายแปลกันหมด
ซึ่งกลับกันไอ้เรื่องใหม่ที่คิดได้เนี่ย... มันเป็นเรื่องธีมเรื่องที่เหมาะกับ สนพ.สถาพร มาก~ ตัวละครหญิงดำเนินเรื่อง (เช็ค) มีเรื่องราวความรัก (เช็ค) ความสั้นยาวพอดีประมาณ 4 เล่มจบ (เช็ค) เมื่อเอาองค์ประกอบทั้งหมดมารวมกันก็พอจะมีหวังขายได้ (มั้ง) ใจกุเลยค่อนข้างเอียงไปทางเรื่องนี้นิดหน่อย แต่กุก็ไม่อยากจะทิ้งไอ้เรื่องที่อุตส่าห์วางทุกอย่างเอาไว้แล้วเนี่ยสิ
กุกลุ้มใจมาก ไม่รู้จะปรึกษาใครดี เพื่อนโม่งช่วยกุหน่อยได้มั้ยเนี่ย~
อืม... พวกแฟนคลับ ของกุนี่ดูเหมือนจะเป็นผู้ชายส่วนใหญ่ว่ะ เพราะก่อนหน้านี้กุเขียนแนวแฟนตาซีเกิดใหม่ด้วยล่ะ
ไอ้เรื่องที่เขียนอยู่ก็เขียนเพราะอยากจะคงแฟนคลับกลุ่มเดิมเอาไว้ แต่ไอ้เรื่องใหม่ที่คิดพล็อตได้เนี่ย... มันไม่ใช่แนวผู้หญิงจ๋าก็จริงนะ เพราะกุตั้งใจดีไซน์ให้นางเอกแมนเข้าไว้จนแม้แต่ผู้ชายก็ต้องอาย แต่ก็กลัวว่าเขาจะไม่เอา Character แบบนั้นเนี่ยสิ
กลุ้มใจเพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเขียนเรื่องไหน... นี่ล่ะปัญหาของกุตอนนี้ เฮ้อ~
กูอยากมีไอดอลแต่ไม่ว่าอ่านอะไรก็ไม่ถูกใจซักที มาตรฐานสูงก็ใช่ แต่ยิ่งทำให้ห่างการอ่าน พอไม่อ่านก็เขียนไม่ออก ห่างการเขียนอีก เฮ้อ เซ็งตัวเองว่ะ เหมือนอิ่มตัว หมดไฟแล้ว เห็นคนอื่นก็อิตฉาไปทั่วเลย
คิดชื่อเรื่องจากอะไรกันวะ กูคิดมาเป็นเดือนแล้วกูยังคิดไม่ออกอยู่นั่นแหละ แต่ว่ากูเขียนชื่อไฟล์เป็นชื่อของตัวละครไปเลย กรรม
มีเทคนิคการสร้างตัวละครแนวสาวยันมั้ยเพื่อนโม่ง กูว่าดูซับซ้อนกว่าตัวละครแนวอื่นๆสุดละ
>>777 ยันเดเระสินะ? ก่อนจะสร้างตัวละครมึงต้องรู้จักเอกลักษณ์ของพวกนี้ก่อน
ยันเดเระ คือพวกที่หึงแรง ไม่รักกูมึงตาย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอาการผิดปกติทางจิตของตัวละคร แต่บางทีก็อาจจะใส่ปมเข้ามา อาทิเช่น สมัยเด็กๆ เป็นคนที่โดนชาวบ้านเมิน พอมีคนเข้ามาในชีวิตก็คิดว่าเขาเป็น Savior แล้วติดหนึบคนๆ นั้นแบบไม่ปล่อยเป็นต้น
ถ้าจาก ปสก. กุถามว่ามีเสน่ห์มั้ย... กุว่า Creepy มากกว่าว่ะ
สาวยันถ้าเอาไม่ดุมากมันก็จะไม่ยัน ที่กูเคยเจอว่าเกือบยันก็มี มิคาสะ ของ Attack on titan อะเกือบยัน เพราะมันมีเหตุผลว่าทำไมถึงรักฝังใจขนาดนั้น แต่ที่เห็นยันส่วนมากคือรักแบบคลั่งไคล้เกินเหตุจนเหมือนมีอาการทางจิตไปเลย
เออ กูห่างการเขียนไปนาน สกิลเลยตกๆไป ตอนนี้เขียนอะไรก็ดูห้วนๆสั้นๆพิกล มีวิธีทำยังไงให้เขียนบรรยายยาวขึ้นแนะนำบ้างมั้ยวะ 555
กูเขียนเรื่องสั้นลงทวิตแล้วให้เพื่อนอ่าน เป็นพลอตแบบนางเอกยืนเศร้าท่ามกลางฝูงชนหลังเลิกกับพระเอกไรงี้ (ใช้เพลงเป็นแรงบันดาลใจด้วย) ทีนี้เพื่อนก็บอกว่าไม่ค่อยอิน น่าจะบรรยายมากกว่านี้ว่ารักกันอะไรยังไง กูเลยอยากถามความเห็นหน่อยน่ะ คือกูตั้งใจแบบนี่เรื่องสั้นไง ไม่ต้องรู้หรอกว่าเขาคบกันยังไง เลิกตอนไหน จากนี้จะทำยังไงต่อไป ขอแค่ตอนนี้ โมเม้นนี้ รู้ว่านางเอกกำลังเศร้าเท่านั้นก็พอแต่เหมือนเขาจะชอบแบบบรรยายเยอะๆแฮะ นี่เรียกว่าเขาชอบแบบtell ไม่ได้ชอบแบบshowป่ะวะ 555 กูก็ไม่ถนัดบรรยายยาวๆ เยอะๆด้วยสิ
มึงกุกำลังติดนิยายเรื่องนึงอยู่ กูนั่งอ่านคอมเม้นชาวบ้านอยู่ มีแต้คนด่านักเขียนที่ไม่ยอมทำเรื่องไปทางตามใจมัน มึงรู็สึกไงกันมั่งวะ เวลาคนเม้นแบบนี้ ไม่ใช่น้อยๆ นะ เป็นร้อยๆ เม้น บางคนมาแบบหยาบคายมาก อินจัด อีเหี้ยกูนึกว่านางเอกไปเผาบ้านมันเจ็ดชั่วโคตร
ถ้ากูเขียนเรื่องนี้กูคงแหกอกคนอ่านตายซะก่อน เปิดวอร์แบบมึงมาเขียนเองเลยมั้ย
ตอนนี้กูล่ะอยากติดสำนวนใครซักคนจังเพราะกูเขียนไม่ออกเลย แต่หาอะไรอ่านก็ไม่ถูกใจซักที orz
อืมมม เพื่อนโม่งเอ๋ย กุขอถามหน่อย...
เขียนนิยายกันนี่ ส่วนใหญ่ความยาวประมาณเท่าไรกันมั่งนั่น?
พอดีกุตามนักเขียนคนหนึ่งเขาก็บอกว่าเขียนแค่ 50-70 หน้าก็ขายได้แล้ว อย่างมากก็ไม่เกิน 70k คำ ต่อเล่ม... ซึ่งนั่นก็ทำเอากุหันมาย้อนมองตัวเองว่ะ
กุเขียนตอนนึงก็ปาไป 15k ละ ทั้งเล่มกุก็ตีเฉลี่ยราวๆ 200k คำแน่ะ นี่แสดงว่ากุเขียนเยอะไปงั้นเหรอ?
เสิ่นเจิ้นดีดีกุก็อยากเปย์นะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนมันมีไฟต่อไป
ปล.มึงมีเสิ่นเจิ้นดีดีในเว็บเดกดอย เรื่องไหนแนะนำนอกจากนี้บ้างวะ
ตอนนี้กุอ่านไม่เยอะ แต่ หยกผลาญใจ สิ้นไร้ ลิขิตเทพอลวน หวน คุณชาย...ข้าตระหนก มู่กั๋ว เสี่ยวตี้ สมุนน้อย
มีไรนอกจากนี้บ้างวะ
ปล. ตัวประกอบสุดเริ่ดมีใครอ่านยัง เห็นอยุ่อันดับแรกๆ กุขอคนที่อ่านสับหน่อยจะได้คิดว่าควรเสียเวลาอ่านมั้ย
ชายาอ๋องกระดูกเหล็กตอนน้อยแต่ก็น่าสนใจ ติดตามอยู่ ขอขมาที่เคยนินทาชื่อเรื่อง๕๕๕
มีเรื่องจะปรึกษา กูคิดพล็อตในหัวมาเกือบสิบปีแล้วว่ะเพื่อนโม่ง มีอันนึงที่กูอยากให้เป็นแน่ๆคือ นางเอกมารุ้ตอนหลังว่าเป็นผู้ชายตั้งแต่เกิด(ให้มึงนึกถึงขั้วตรงข้ามของ เฟรินจากบารามอส) กูไม่รุ้จะเขียนอธิบายตัวตน การพัฒนาตัวละครกูจากนี้ไงว่ะ คือกูจะเขียนให้มันติดนิสัยสาวแตก โฮกผู้ชาย ก็แปลกๆ
โตมร กับ นพดล แปลดีปะ
KY คิดยังไงกับการก้อบเอาเนื้อเพลงมาใส่ในนิยายวะ
กูเห็นมาคนแม่งยกมาทั้งดุ้น จะจบเพลงอยู่และมันแปลกๆอะ คือกูเพิ่งไปเจอเพลงเหมาะๆกับเรื่องกูมา จะใส่ลงไปในเรื่องแบบนั้น/ตัดมาบางท่อน หรือ ฝังให้ฟังเฉยๆดี ไม่ต้องลงเล่ม (แต่คงไม่เล่นออโต้ กลัวคนรำคาญ 555)
ว่าแต่ก้อบลงไปงั้นไม่ผิดลิขสิทธิ์อ่อวะ ?
>>804 เรื่องลิขสิทธิ์ไม่รู้อะ แต่กูไม่เคยอินกะพวกที่ก๊อปเนื้อมาเลย ยิ่งไม่ค่อยได้ฟังเพลงด้วย ถ้าเจอกูข้ามอะ
ถ้าจะใช้เพลงจริงๆ น่าจะใส่อย่างชั้นเชิงกว่าการก๊อป กูชอบแบบบอกชื่อเพลง แล้วเล่าอารมณ์บรรยากาศของเพลงงี้ แบบจนรู้สึกอยากไปหามาฟังประกอบรรยากาศเนื้อเรื่องเลย
ถามอะไรหน่อย เวลาพวกมึงเขียนนิยายจะมีสเป็คคู่ในอุคมคติบ้างมะ ไม่ว่าจะกี่เรื่องที่เขียนต้องมีคู่ลักษณะแบบนี้อยู่ด้วย อย่างเช่นคู่มีนิสัยคล้ายกันมากเหมือนเป็นคนคนเดียวกันหรือคู่ที่นิสัยต่างกันสุดขั้วอะไรประมาณนั้นอะ
กูชอบคู่ที่นิสัยต่างกันแต่เติมเต็มกันและกันได้ดีเหมือนแม่เหล็กที่ดูดเข้าหากันว่ะ กูรู้สึกว่าคู่แบบนี้มันฟินในหัวใจกูมากกว่าคู่ที่นิสัยเหมือนกันหรือคล้ายกันยังไงไม่รู้ดิ แล้วเพราะกูชอบคู่แบบนี้กูเลยสร้างคู่ที่มันต่างกันสุดขั้วจนไม่น่าเชื่อจะมารักกันได้ทุกทีเลย
>>804 กูว่าถ้าก๊อปไปใส่ทั้งเพลงอ่ะแย่ แถมถ้าพิมพ์นิยายคงโดนลิขสิทธิ์ด้วย ส่วนตัวกูก็มีใส่เพลงบ้าง แต่เป็นพวกเพลงสาธารณะอย่างคลาสสิกยุค 1800 อย่าง Ich hab die nacht ไม่ก็ยุคกลางอย่าง Scarborough ไปเลย ไม่โดนอะไรแน่นอน ตัดมาเป็นท่อนๆไปตามความหมายที่จะสื่อ แต่นิยายกูเป็นแนสแฟนตาซีด้วยละมั้งเลยใส่แล้วดูเข้า
เออ กูกังวลเรื่องShow don't tellว่ะ สมมติกูเขียนพระเอกคุยกับเพื่อนเรื่อยเปื่อยแล้วจู่ๆก็วกมาเรื่องเงินแล้วพูดเรื่องทำงานพิเศษ ถ้ากูเขียนบรรยายว่า ถึงไม่อยากทำแต่ที่บ้านอยู่กับแม่สองคน ฐานะไม่ค่อยดีอะไรทำนองนี้ จะถือว่ากูtellมั้ยวะ แต่ถ้าไม่เขียนงั้น เนื้อหาก็จะสั้นลงเยอะเลยว่ะ
ขอบคุณสำหรับคำตอบ กูจะได้พยายามกังวลน้อยลงหน่อย กูแบบกลัวว่าจะบอกคนอ่านมากเกินไป จนไม่กล้าเขียนเยอะๆเลย 555
ในนี้มีใครเขียนไลท์โนเวลมั่งรึเปล่าวะ
กุอยากได้คำปรึกษาหน่อย... คือกุอยากจะเปลี่ยนวิธีเขียน เขียนบรรยายให้มันเป็นไลท์โนเวลมากขึ้น จากที่ปัจจุบันกุเขียนแทบจะกลายเป็นหนังสือเล่มหนาอยู่แล้วอะ
เมื่อก่อนกุเขียนจะตกที่ 500 คำต่อ 1 หน้า A4 ปัจจุบันกุพยายามลดเหลือประมาณ 350-400 คำแล้ว แต่ว่ายังดูเหมือนไม่พอว่ะ
พอลองเอาเรื่องให้ บก. อ่านดูเขาก็ยังบอกว่ายาวไปอีก กุเลยไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วเนี่ยสิ
มึงลองแต่งพล็อตข้างล่างนีั้เป็นภาษาที่มึงเขียนเป็นไลท์โนเวล แล้วเดี่ยวกูช่วยดูให้
"ตัวเอกชายตื่นเช้าสุดๆ ในรอบสัปดาห์ เพื่อจะไปทำเวรที่โรงเรียน แต่เจอแมวข้างทาง"
กูติดเขียนยาวเหมือนกัน นี่แบบงานที่ทำอยู่ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องปาไปสองร้อยหน้าแล้ว กูแบบกังวลเลย เอาไงดี แม่งจะต้องแบ่งเป็นสองเล่มมั้ยวะ
>>817 ฮ้า แสงแดดอุ่นๆ สายลมอ่อนๆ นี่มันดีจริงๆ เลยน้า นานแค่ไหนแล้วเนี่ยที่ไม่ได้ตื่นเช้าขนาดนี้
ชีวิตประจำวันของผม นายคาซาม่า คิโม่ย ก็เป็นแบบนี้แหละครับ พอจากบ้านนอกมาต่อ ม.ปลาย ในเมืองกรุงก็หัวเดียวกระเทียมลีบ ยังดีนะที่คุณป้าเปิดอพาร์ตเมนท์อยู่ เลยมีที่ให้ซุกหัวฟรีๆ ไม่อย่างนั้นคงต้องเจียดเงินค่าขนมไปเช่าห้องอยู่แล้ว
แต่อยู่ในห้องใต้บันไดนี่มันก็ลำบากเหมือนกันนะ ใครจะไปใครจะมาก็ตึงตังไปหมด สุดท้ายก็ต้องเลื่อนเวลาเข้านอนมาให้ดึกขึ้น รอจนไม่มีใครขึ้นบันไดแล้วถึงค่อยหลับสบายหน่อย ปกติก็เลยตื่นค่อนข้างสายยังไงล่ะ
แต่วันนี้สายไม่ได้ ฮิๆ ก็เพราะเธอคนนั้นรอผมไปช่วยทำเวรอยู่ยังไงล่ะครับ
ต้องเป็นสาวสวยอยู่แล้ว สวยที่สุดในชั้นปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมปลายเทตันเลยก็ว่าได้ ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะจะหายตัวไปโผล่ที่หน้าประตูห้อง ร้องว่า "อิโอริจัง ผมมาแล้วนะครับ" แทนที่จะต้องมายืนรอข้ามถนนอยู่แบบนี้
ปรี้นๆๆๆ
มาอีกแล้ว พวกสร้างมลภาวะทางเสียง ฟังจากเสียงแตรแล้วรู้เลยว่าเป็นรถบรรทุกยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 10-10456 Japan รู้ได้ไงน่ะเหรอ? แค่นี้มันจิ๊บๆ ก็พ่อผมสอนวิธีแยกเสียงรถให้ตอนที่อยู่ฮาวายยังไงล่ะ
ปรี้นๆๆๆ
อีกแล้ว แต่เสียงแบบนี้เป็นฮอนด้าซิตี้สีดำ หมายเลขทะเบียน 1คว 3672 ที่แต่งไฟเหมือนเจ้าของมันสับสนว่าขับปอร์เช่ แถมไม่ยอมต่อ พรบ อีกต่างหาก ระยำจริงๆ กรมการขนส่งทางบกโทรเบอร์ไหนกันนะ
แต่เอ๊ะ ทำไมมีวีโก้ปี 2010 บีบแตรอีกแล้วล่ะเนี่ย เฮ้อ คนบ้านนี้เมืองนี้มันเป็นอะไรกันนะ
แต่เอ๊ะ บนถนนนั่น
นั่นมันน้องแมวกำลังจะข้ามถนนไม่ใช่เหรอ?
>>817
สมัยที่ผมยังอยู่ต่างจังหวัด แม่ก็มักพูดย้ำเสมอว่าการตื่นเช้านั้นเป็นกำไรของชีวิต
เธอมักชอบอ้างว่าตื่นขึ้นมารับอากาศแรกอันแสนบริสุทธิ์ของวันบ้างล่ะ ไหนจะอ้างว่าตื่นขึ้นมารับวิตามินดีจากแดดบ้างล่ะ
ซ้ำร้ายกว่านั้นก็คือแม่มักจะไล่ให้ผมออกไปวิ่งตอนเช้าอีกต่างหากซึ่งขอบอกเลยว่าผิดวิสัยของผมเข้าอย่างจัง
ถูกแล้ว... ผมไม่ใช่คนตื่นเช้า เรียกได้ว่าเกลียดการตื่นเช้าเข้าไส้เลยก็ไม่ผิดนัก
ถ้าเป็นไปได้ผมเองก็อยากจะคลุกตัวอยู่บนเตียงอุ่นๆ ซุกหมอนนุ่มๆ แล้วนอนต่อจนกว่าจะตาสว่างล่ะนะ
แต่ก็ดูเหมือนความปรารถนาของผมจะไม่มีทางเป็นจริงได้ เพราะว่า...
“พี่เมฆ! พี่เมฆ! ตื่นได้แล้วนะ! ถ้าไม่ยอมตื่นล่ะก็หนูต้องถีบพี่เมฆออกจากเตียงจริงๆ แล้วนะ!”
ผมเบิกตาโพล่ง หลังจากที่เสียงร้องแปดหลอดอันแสบแก้วหูดังได้ขึ้นพร้อมกับการเขย่าร่างของผมแรงๆ หลายๆ ครั้ง
พฤติกรรมดังกล่าวนั้นได้ฉุดสติให้หลุดจากภวังค์ ผมเริ่มปรับสายตาโดยการกระพริบตาปริบๆ สองสามครั้ง จ้องฝ้าเพดานที่เปื้อนราดำแสนคุ้นตา
เมื่อหันซ้ายก็พบว่า เจ้าสามสี แมวเจ้าถิ่นประจำบ้านยังคงนอนอุดตุลิ้นห้อยอยู่บนคอนโดสุดหรูริมห้อง
ซึ่งกลับกันนั้นเมื่อหันขวาไปนั้น...
"ในที่สุดก็ตื่นซะทีนะ! นี่จะเจ็ดโมงเช้าแล้ว!"
เด็กสาวในชุดนักเรียนคนหนึ่งกำลังยืนเท้าเอวมุ่ยหน้าใส่ผม เธอพ่นลมและขมวดคิ้วใส่ผมแทบจะทันทีในยามที่พวกเราสบตากัน
ใบหน้าอวบกลมตุ้ยนุ้ยดูคล้ายซาลาเปาขาว ๆ น่าหยิก ที่มาพร้อมกับเส้นผมยาวถึงกลางหลังมัดเปียอย่างเป็นระเบียบ เมื่อประกอบกับชุดนักเรียน ม.ต้น คอปกกะลาสีอันแสนคุ้นตาแล้ว ผมก็แทบไม่ต้องเดาเลยว่าเธอคนนี้ก็คือ...
"ยัยปุ๋ยเองเหรอ? ให้ตายสิ... แหกปากปลุกแต่เช้านี่มันอะไรกันล่ะเนี่ยห๊ะ?"
"ก็พี่เมฆบอกให้หนูมาปลุกแต่เช้าเพราะต้องรีบไปทำเวรไม่ใช่เหรอ? แล้วไหงยังจะมาถามอีกล่ะ?"
เออ... จะว่าไปก็ใช่แฮะ ไอ้เราเองก็ลืมไปสนิทเลยให้ยัยนี่ปลุก
"เอาล่ะ ในเมื่อตื่นแล้วก็รีบลุกไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว ...ป๊ะป๋าบอกว่าวันนี้จะไปส่งด้วย เพราะงั้นรีบ ๆ เข้าล่ะ!"
เจ้าหล่อนว่างั้น พลันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันควับเดินกลับไปยังทางออกห้อง
"...แล้วถ้ายังรักชีวิตล่ะก็ ...พี่เมฆก็อย่าได้ริแอบนอนต่อเด็ดขาดล่ะ"
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะออกไป เธอก็ชายตาหันมาแล้วพูดขู่ผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้งอันแสนน่าขนลุกซะงั้น
ซึ่งพอได้เห็นแบบนั้นผมก็พยักหน้าตอบอย่างหวาด ๆ เพราะ เข้าใจว่าถ้าหากผมลองดีแล้วผลมันจะเป็นยังไง...
วันนี้เองก็เป็นอีกวันที่อากาศดีเอาเรื่อง...
แต่บางทีผมก็รู้สึกว่าอากาศมันจะดีเกินไปหน่อยจนน่าหมันไส้ไปนิด
เพราะเมื่อชำเลืองออกไปนอกหน้าต่างแล้วก็พบว่า ท้องฟ้าวันนี้มันปลอดโปร่งเอามาก ๆ จนแทบไม่มีเมฆให้เห็นเลยซักก้อน!
แม้ว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่สูง อากาศจึงยังไม่ร้อนมากนัก แต่สำหรับคนที่เกลียดยามเช้าอย่างผมแล้ว ต่อให้ประเทศไทยเกิดพายุหิมะพัดเข้ามาผมก็ไม่รู้สึกยินดีกับการตื่นเช้าแน่...
บ้าชะมัด ...ถ้าเลือกได้ก็อยากจะตื่นสายกว่านี้ซักหน่อย
แต่ก็อย่างที่รู้ล่ะนะว่ามันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อวันนี้ผมดันเป็นเวรประจำสัปดาห์ซะงั้น
...ถ้าขาดเวรอีกครั้ง คงโดนเรียกผู้ปกครองไปพบครูแหง ๆ
ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น วันนี้ผมจึงถึงขั้นต้องทำร้ายตัวเองโดยการให้ยัยปุ๋ยมาปลุกเช้าวันนี้กันเลยทีเดียว
ให้ตายสิ... สำหรับผมแล้วการตื่นเช้านี่มันชวนให้รู้สึกห่อเหี่ยวชะมัด
และยิ่งรู้สึกเฟลหนักเมื่อหันไปมองเจ้าสามสีที่กำลังนอนยืดตัวกรนเสียงดัง ราวกับเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่บนคอนโดสุดหรู ณ มุมห้องนั่น
"...ตูอยากจะโดนรถบรรทุกชน แล้วไปเกิดใหม่เป็นแมวชะมัด"
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนลุกขึ้น แล้วจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมตัวออกไปต้อนรับวันใหม่ที่ไม่อยากจะให้มาถึง
ก็... ประมาณนี้ล่ะ
กูไม่ใช่ >>817 นะ แต่ขอแสดงความคิดเห็น พูดอีกอย่างว่าเสือกก็ได้
>>819 มึงเขียนเหมือนพยายามประชดไลท์โนเวลนะ ให้ 0.5 เต็ม 14 คะแนน
>>820 มึงไทยมาก กูพอเห็นความพยายามแต่มึงยังไทยมากจริงๆ ให้ 0.05 เต็ม 14 คะแนน
เกณฑ์การให้คะแนน
14 คะแนน สำหรับใจกู
>>816 กูไม่เขียนไลท์โนเวลแต่กูอ่านแนะนำได้มะ มึงไม่ต้องตอบก็ได้เพราะกูจะแนะนำเลย กูว่าความยาวอาจจะไม่สำคัญมากเท่ากลิ่นอาย มึงเขียนเป็นไลท์โนเวลจะยาวจะสั้นมันก็เป็นไลท์โนเวล แต่ถ้ามึงพยายามเป็นไลท์โนเวล มึงเขียนสั้นๆ ก็ไม่ใช่ไลท์โนเวล กูยกตัวอย่างนะ นิยายแปลเล่มหนาสัดๆ ทำไมมันยังถูกเรียกว่าไลท์โนเวลได้ เพราะมันมีความเป็นไลท์โนเวลยังไงล่ะ ส่วนหลักเกณฑ์นั้นถ้ามึงพยายามให้คำจำกัดความมัน ต้องอย่างงั้นต้องอย่างงี้ ทำไมแบบนั้นทำไมแบบนี้ กูว่ามึงยังเข้าไม่ถึงความเป็นไลท์โนเวล แต่ถ้าใจมึงบอกได้ว่าเออ นี่มันไลท์โนเวล มึงเขียนยาวหน่อยมันก็ยังเป็นไลท์โนเวล
กูไม่แน่ใจนะว่าที่ว่ายาวไปมันยังไง แต่ถ้ามึงเขียนแบบ >>820 ถ้ากูเป็น บก ไอ้ที่ยาวไปมันหมายถึง มึงติดการบรรยายแบบนิยายไทย ไม่ใช่เรื่องจำนวนคำต่อตอน หรือมึงอาจจะบรรยายเหตุการณ์หนึ่งนานไป ไม่ใช่สิ่งที่นักอ่านไลท์โนเวลต้องการ ง่ายๆ คือน้ำเยอะ แต่มันก็ไม่เสมอไป ถ้ามึงบรรยายพร่ำเพ้อแบบไลท์โนเวลได้ ต่อให้ยาวๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะมันเป็นสิ่งที่คนอ่านต้องการ ตัวอย่างเช่น พี่น้องปริศนา รร มหาเวท บันทึกสงครามของยัยเผด็จการ ตอนที่มันจะอธิบายอะไรสักอย่างพร่ำเพ้อชิบหายแต่นั่นแหละเสน่ห์ของมัน
>>819 ตกลงฉากไทยหรือฉากเจแปน หรือฉากเมืองสมมติ
กลิ่นวาซาบิใส่น้ำปลาคลุ้งไป
อ่านสนุกนะ แต่เริ่มขมวดคิ้วตรง 'อิโอริจัง ผมมาแล้ว' เอาจากที่กูอ่านการ์ตูน เขาไม่ได้ทักทายกันแบบนี้นี่?? หรือจะบอกใบ้ว่าพระเอกกำลังตามตื้ออะไรอิโอริป่าว?
ความสามารถพิเศษคือหูดี แยกเสียงรถได้ ลอกรุ่นบอกยี่ห้อได้จากเสียง เพราะพ่อฝึกไว้ตอนอยู่ฮาวาย
ตกลงมาจากฮาวายหรือบ้านนอกวะ แล้วทำไมต้องฝึกจากฮาวาย
กะปิน้ำปลาแรงขึ้น ตรงยี่ห้อรถ กูเลยไม่แน่ใจว่ามึงจะใช้ฉากวาซาบิ หรือฉากน้ำปลา หรือจะผสมกันโต้งๆแบบนี้กันแน่อ่ะ
ไลท์โนเวลก็เหมือนกับขี้ของวงการหนังสือ ถ้าจะคุยรบกวนไปคุยในห้องไลท์โนเวลที่เว็บจัดไว้ให้พวกหิวขี้ด้วยครับ มึงอย่ามาชวนคนอื่นแดกขี้ในที่ๆคนเขากินข้าว
เพื่อนโม่ง มึงว่านิยายบอกเล่าโดยมุมมองของตัวเอกกับใช้ Narrator แบบมุมมองบุคคลที่ 3 บรรยายแทนแบบไหนดีกว่ากันวะ? พวกมึงใช้แบบไหนกัน? กูรู้สึกว่าพอตัวกูเขียนแบบบุคคลที่ 1 แล้ว ดูคล้ายๆไลท์โนเวลไงไม่รู้
>>835 ความคิดแบบนี้มันน่าสมเพชนะ ขอโทษที่อาจใช้คำแรงไป แต่กูไม่คิดว่าจะมีคนดีๆ ที่ไหนลดค่างานของตัวเองด้วยเหตุผลงงๆ แบบนี้
ยอมรับว่าคนอ่านแม่งกากลงทุกวันๆ (และที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมันเสพงานห่วยๆ อย่างไลท์โนเวล) แต่เชื่อกูเถอะ ถ้ามึงเขียนสนุก พล็อตน่าสนใจ ซูนิดหน่อยตามใจคนอ่าน ยังไงก็มีลูกค้า
กูว่ามึงไปทางผิดนะ >>835 คือวิธีปรับสำนวนน่ะแค่ทำให้มันอ่านง่ายเข้าก็พอ ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนให้เป็นสไตล์ไลท์โนเวลหรอก ว่าแต่เหมือนมึงยังไม่เก็ตเลยสินะว่าสไตล์ไลท์โนเวลเป็นไง ลองไปอ่านให้เยอะกว่านี้ก่อนมึงจะพอจับทางได้
แต่กูอ่านไลท์โนเวลก็อ่านเอาเนื้อเรื่องนะ ไม่ได้สนใจว่าสำนวนมันอ่านง่ายหรือยาก ไลท์มันจะมีเอกลักษณ์ของความเป็นไลท์โนเวลอยู่ประมาณนึง
>>835 กูไม่ว่ามึงเรื่องปรับสำนวนนะ ถ้าจะหาแดกมึงก็ต้องทำความเข้าใจลูกค้า แต่กูว่าไลท์โนเวลมันก็แค่กลุ่มหนึ่ง แล้วคนกลุ่มนี้ที่อ่านกันมากจริงๆ มีอคติกับคนแต่งไทยว่ะ ส่วนใหญ่จับงานแปลมากกว่า โอเคว่ามันมีคนอ่านงานไทยนะแต่ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ ภาษาแบบมึงกูว่าอย่าพยายามเลยเสียเวลาเกินไป มึงกลับไปเขียนในแนวทางของมึงดีกว่า สิ่งที่มึงต้องปรับอาจเป็นความกระชับ รวดเร็ว เขียนให้คนอยากอ่าน
เรื่องสั้นยาว ถ้ามึงเขียนดีมึงเขียนยาวคนก็ตาม แต่ถ้าเป็นเล่มแรกๆ เขียนสั้นก็ดี เขียนยาวบางทีมีพวกรอเล่มสุดท้ายออกค่อยซื้อมึงจะไม่มีแดกก่อน
ebook ที่ขายดีกันจริงๆ มันพวกนิยายรัก ภาษาของมึงถ้าไม่พยายามไลท์โนเวลมันก็พอไปได้ ถ้าจะหาแดกมึงไปเขียนนิยายรักดีกว่า
แต่มึงพยายามลดคำฟุ่มเฟือยลงหน่อยนะ ไอ้ที่เขียนก็ได้ไม่เขียนก็ได้ตัดให้เหี้ยนเลยก็ได้หรือใส่มาแต่น้อยๆ พอ เท่าที่กูเคยอ่าน กูไม่ได้ยี้ว่ามันยาวไม่ยาว ไม่งั้นงานจีนสามสี่สิบเล่มจะออกกันได้เรอะ แถวๆ สิบเล่มขายดีชิบหายก็หลายเรื่อง เรื่องเดียวแพคคู่ขายขาดตลาดเยอะแยะไป ปัญหาไม่ใช่ความยาว แต่เป็นการคงความสนใจคนอ่านให้ตามอ่านยาวๆ
อ้อ... สรุปก็คือกุมาผิดทางสินะ?
ไอ้เราก็มัวแต่กังวลเรื่องนี้แทบตาย เพราะสมัยก่อนเคยโดนในโม่งสับว่า "รก" เป็นประจำ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมากุเอาแต่นั่งแก้สำนวน ปรับให้สั้นอยู่ตลอดเลย จนกลายเป็นแบบปัจจุบันเนี่ยล่ะ
เห็นแท็กNovelberในทวิต นี่คือแบบเดียวกับFictoberป่ะหรือต้องนิยายยาวๆอย่างเดียว
เพื่อนกูเรียนประวัติศาสตร์แนะนำมาว่า ถ้าคิดพล็อตเรื่องไม่ออกให้หาประวัติศาสตร์มาอ่านซะ แม่งได้ผลจริง พล็อตนี่เพียบ ยังกะนิยายที่ทุกคนเป็นคนแต่ง คือต่อให้กูก๊อปมา คนก็ดูไม่ออกแน่ๆถ้าไม่ใช่ทั้งดุ้น หรือต่อให้ก๊อปมาทั้งดุ้นถ้าไม่โคตรเซียนประวัติศาสตร์จริงๆก็ดูไม่ออก เยี่ยมยอดจริงๆ
>>846 เรื่องจริงยิ่งกว่านิยายไงมึง
อยากเขียนนิยายการเมืองเรอะ เปิดประวัติศาสตร์ ซับซ้อมซ่อนเงื่อน
อยากเขียนนิยายเศรษฐกิจ ดูประวัติตระกูลดังๆได้เลย เทคนิคหาเงิน ปั่นหุ้น ข้อมูลวงใน
นิยายมาเฟีย ของจริงโหดกว่าเยอะ ตำรวจก็ไม่ใช่เล่นๆ
นิยายสงคราม มีให้ดูทุกวัน
นิยายรัก เอาชีวิตรักพ่อแม่ ปู่ย่าของตัวเองมาเขียนก็ได้
ถ้าจะเขียนเกี่ยวกับมาเฟีย/มาเฟียจีนนี่ต้องหาข้อมูลจากไหนอะ หรือนิยายคนอื่นที่เขียนแนวนี้ก็ล่าย ไม่เอาพวกบำเรอรักทาสสวาทมาเฟีย nc 90+ นะ 555555
แล้วถ้าจะเขียนแฟนตาซีนี่กุต้องเผาหัวตัวเองกี่รอบวะ?
>>850 5555 กูชอบแนวมาเฟียอ่ะ แต่ไม่ชอบแบบทาสสวาท NC90+ เหมือนกัน แต่หาอ่านที่มันโหดร้ายจริงจังนี่ยากหน่อย ถ้าเป็นนิยาย คนไทยที่เขียนนิยายแนวนี้แล้วกูว่าโอคืองานของสร้อยดอกหมากเรื่องพญามังกรอ่ะ เป็นแนวมาเฟียจีน
ส่วนมาเฟียสัญชาติอื่นๆนี่ มึงจะเอามาเฟียสัญชาติไหน ที่โดดเด่นก็มาเฟียอิตาลิ พวกซิซิเลี่ยนนี่เดอะก็อดฟาเทอร์อย่างเพื่อนโม่งแนะนำก็โอนะ แล้วหนังสือหรือข้อมูลหาง่ายอยู่ มึงเสิร์ชค่อยๆ แกะหาได้เลย แต่ถ้ามาเฟียจีนนี่หนังแนวมาเฟียฮ่องกงอย่าง internal affairs ที่กูชอบดูอ่ะ หรือจริงๆ ก็มีอีกหลายเรื่องให้ดูด้วยนะ
กับอีกอย่างของมาเฟียจีนกูเสิร์ชอ่านพวกเจอร์นัลนะ มันมีบทความเกี่ยวกับการวิเคราะห์กลุ่มผู้มีอิทธิพลอยู่อ่ะ เคยเจออันนึงมีโครงสร้างอะไรด้วยดีเลย แต่เป็นอิ๊งอ่ะ ที่เป็นไทยคนพูดถึงมีนิดเดียว
ของพวกมาเฟียอิตาลีก็ลองเสิร์ชตรงๆว่า Mafia อะไรงี้ แต่ของจีนนี่ใช้คำว่า Triad Mafia แล้วค่อยๆ เจาะเอา ชอบความโหดของแก๊งไหนก็ค่อยตามอ่านข่าวก็ได้ว่าแก๊งนั่นก็ได้ว่ามันทำอะไรบ้างงี้ 5555
>>862 ตามวงเหล้าว่ะ 555555 ในไทยไม่ค่อยมีเป็นลายลักษณ์อักษรหรอก ส่วนกูเคยฟังตอนกินข้าวอ่ะ พ่อเล่าให้ฟังในวงข้าวเย็น อิเชี่ย แดกข้าวไม่ลงเรยยยย ตอนนั้นเหมือนจะคุยเรื่องซุ้มมือปืนอ่ะ เล่นเอากูผวาคนแถวบ้านเป็นไปเดือน
>>861 ก็ไม่ได้อยากพูดแบบนี้นะ แต่พวกมาเฟียบางกลุ่มในปท.เราอ่ะ ชอบส่งลูกหลานสักคนมาเป็นข้าราชการเพื่อเป็นใบเบิกทาง.... แล้วก็สูบเอาสูบเอา
>>862 ไว้กูจบโปรเจคนิยายตอนนี้ กูคิดอยู่เหมือนกัน ว่าจะเอาเรื่องจริงพวกนี้ที่คนส่วนมากไม่ค่อยได้ยิน ไม่ค่อยเชื่อกัน มาเขียนนิยาย แล้วมึงจะรู้เลย ว่าประเทศนี้แม่งยังมีความเป็น Feudal สัสๆอยู่ มึงเชื่อมั้ย ตำรวจบางเขต ถ้าจะขอย้ายต้องไปขอกับคนในคุก งงสิมาไงไปขอคนในคุก ก็ไอ้คนในคุกนั่นหล่ะ ตัวมีอิทธิพลเลย พอโดนอริเปิดโปงเรื่องที่มันโกงกิน ก็หนีเข้าคุก แต่อำนาจมันยังอยู่ คนๆนั้นเคยโดนโทษประหารคดีใหญ่ด้วยนะมึง แต่มันไม่ตาย อยู่ในคุกมีแอร์โหดสัสจริง ถ้าได้คุยกับพวกตำรวจในวงเหล้า รึทหารที่ประจำอยู่กับพวกนักการเมือง จะยิ่งขนลุกกับประเทศนี้
จริงๆเรื่องพวกตำรวจ หรือเส้นสาย วงการการเมืองในไทยก็มีนักเขียนไทยหลายคนชอบเขียนถึงนะ
อย่างวินทร์เงี้ยะ ชอบเขียนแนวนี้หลายเล่มเลย
แต่นักเขียนฝึกหัด พวกในเด็กดีอาจจะไม่ค่อยมี 5555 อาจจะโพสในพันทิป น่าจะตรงกว่า
ส่วนใหญ่ในนี้นิยมเขียนแล้วลงทีเดียวหรือลงเป็นรายบทกันอ่ะ นี่เพิ่งลบบทความในเด็กดีทั้งหมดมาเพราะเป็นคนเขียนช้าลงไม่ติดต่อกันเลยคิดจะลงรอบเดียวหลังแต่งจบเลย
กูคิดว่าส่วนใหญ่ที่ลงน่าจะแต่งไปลงไป พวกที่เขียนจบแล้วลงน่าจะส่วนน้อย อาจจะมีพวกที่เขียนไประยะหนึ่งแล้วปั่นจบขายหนังสือก่อนลงให้จบ (หรือไม่ลงเลย) ส่วนใหญ่ที่ลงเด็กดีน่าจะเป็นแบบนั้น พวกไม่ลงเลยไม่นับ
ถามหน่อย พวกสนมฮ่องเต้ไรพวกนี้เขาคัดเลือกยังไง พ่อแม่เอาใส่พานถวาย หรือฮ่องเต้มาขอไปเป็นสนมเอง
>>873 อะนี่เป็นการคัดเลือกสนมสมัยหมิงนะลองอ่าน ๆ ดู http://www.liekr.com/post_148164.html
>>873 แนะนำของคุณคนนี้นะ ข้อมูลค่อนข้างโอเค https://pantip.com/topic/33197538
มีของสมัยอื่นให้ดูล่างๆด้วย เป็นแหล่งที่ชอบที่สุดอ่ะ
เพื่อนโม่ง จะบรรยายทรงผมตัวละครให้ดูดีเวอร์ยังไงดี คือกูเขียนไลท์โนเวลน่ะ ทีนี้ผมนางเอกมันดูดีเกินไป กูคิดไม่ออกว่าจะบรรยายยังไงดี
จะเขียนอะไรก็หาข้อมูลจากตำราที่น่าเชื่อถือ ถือไม่ก็ถามพวกอาจารย์ นักวิชาการก็ได้ อย่ามักง่ายหาจากอากู๋เลย ข้อมูลผิดๆเพี้ยนๆ ทั้งนั้น อ้างอิงไปก็ไม่เป็นที่ยอมรับ บางเว็บสักแต่ว่าเขียนบทความมั่วๆ เอาแบนเนอร์โฆษณามาแปะหารายได้ ไม่มารับผิดชอบเรื่องถูกผิดอะไรหรอก
เพื่อนโม่ง กูมีคำถาม กูจะแต่งนิยายแนวดิสโทเปียประมาณโลกอนาคตหลังสงครามว่ะ แล้วคราวนี้มันมีเรื่องเกี่ยวกับจักรกล อะไรประมาณนี้อ่ะ แล้วมันควรจะอยู่หมวดวิทย์ใช่มะ แต่พอคิดดูหมวดนี้ยอดคนอ่านจะน้อยกว่าแฟนตาซี กูควรลงหมวดไรดี (กูเขียนในเด็ดดวก)
กูรู้ว่าไม่ควรเปรียบเทียบแต่แบบกูมีปัญหาส่วนตัวจนขาดการเขียนไปพักใหญ่ ก็พยายามฟื้นตัวอยู่ แต่บางทีพอเห็นเพื่อนๆ คนรู้จักหลายคนหรือแม้กระทั่งนักเขียนคนอื่นๆ กูก็จะอิจฉาขึ้นมาทันทีอ่ะ เขาเขียนเรื่องยาวหลายตอนได้ แต่กูจะเขียนให้ถึงหน้านึงก็เต็มกลืน เขาได้พิมพ์ออกมาเป็นเล่มๆไม่ก็อีบุ๊ค ของกูได้แต่ฝันไปวันๆ คือจิตตก เฟลชัดเจนเลยอยากขอมาระบายในนี้หน่อยน่ะ...
>>86จ แฟนเก่ากูเป็นลูก ตร. แตงโมแถวตอนบนของประเทศ...เคยลองถามเรื่องวงในบางอย่างไปแถวนั้นที่เกิดขึ้นช่วงปี 2010 กว่าๆ มันตอบแบบเป็นเรื่องธรรมดาปกติมาก แต่คำตอบไม่ปกติเลย ทำกูเสียวสันหลังแทนชื่อคนที่อยู่ในคำตอบพักหนึ่งเลย แบบเหี้ยเอ๊ยยยมันมีจริงเหรอวะเนี่ย นี่เลิกกันมาจะ 3 ปี กูเคยคิดจะเอาที่ฟังมาไปลงใน storylog พอคิดแล้วคิดอีกยังไงก็ไม่กล้าเสี่ยง ที่บ้านยังไม่กล้าเล่าเลย ได้แต่เขียนไดอารี่ลง Day One แทน...
ถึงโม่งนักเขียน ในฐานะโม่งนักอ่านอย่างกุถ้ามึงไม่มีตอนใหม่อะไร ไม่ต้องเพิ่มตอนใหม่เพื่อคุยกับนักอ่านหรือตอบคอมเม้นในนิยายก็ได้ กุเลิกfavนิยายหลายเรื่องละทั้งเรื่องยอดนิยมและมาใหม่ กุให้ความรู้สึกเหมือนแบบมึงต้องการให้อันดับมันคงที่มันไม่แฟร์กับคนเขียนคนอื่นที่ตั้งใจเขียนออกมาเป็นตอน และน่ารำคาญสำหรับคนอ่านอย่างกูมากๆ บางเรื่องแม่งเนื้อหาที่ตอบคอมเม้นตอนเยอะกว่าเนื้อหานิยายจริงๆ อีก กูรู้มึงอยากติดต่อกับนักอ่าน แต่ทำแบบนี้ซักวันคนอ่านอย่างกูระอาแล้วจะทิ้งนิยายมึงไปแบบไม่กลับมาแน่นอน อย่าคิดว่าตัวเองจะชูคอได้นาน ถ้าไม่มีคนอ่าน มึงก็ตกมาตายได้เหมือนกัน
พวกมึงว่าอย่างไหนโอเคมากกว่ากันระหว่าง
1.เล่มใหญ่เล่มเดียวตะลุยเนื้อเรื่องหลัก เนื้อล้วนๆ ไม่มีน้ำปน แล้วแยกเล่มเล็กเป็นเรื่องสั้นพรีเควล,ไซด์สตอรี่,อาฟเตอร์สตอรี่ อย่างละสั้นๆ ในเล่มเล็กเล่มเดียว หรือ
2. เขียนเล่มเดียวไปเลย แล้วหาทางสอดแทรกพรีเควลกับไซด์สตอรี่ไปด้วย ส่วนอาฟเตอร์สตอรี่ค่อยเอาไปเป็นบทส่งท้าย
คือส่วนตัวกูชอบอย่างหลังมากกว่า อยากจะเขียนเรื่อยๆ ปูพื้นประหนึ่งเว็บโนเวลที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหน้ากระดาษ แต่ก็กลัวว่าจะทำให้เนื้อเรื่องไม่กระชับ แล้วกลัวอารมณ์กระโดดด้วย เพราะเรื่องหลักกูแนวผจญภัย ส่วนเรื่องสั้นจะมีทั้งเรื่องเศร้า เรื่องลึกลับ เรื่องตลก เป็นทำนองชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอกน่ะ
เพื่อนโม่ง กูมาขอกำลังใจ กูทำมือ เปิดจองมาได้สักพัก ยอดจองกูยังมีไม่ถึงสิบเลย กูนี่เครียดฉห มีใครแนะนำเคล็ดลับอะไรมั่งมั้ย กูซื้อโฆษณาแล้ว แต่ยังไม่โอเคว่ะ เฮ้อ ตอนเปิดให้อ่านในเว็บก็มีคนตามพอสมควรเลยนะ แต่พอเปิดจองหายกันไปหมด กูก็ท้อเป็นนะเว้ย
>>894 ช่วงนี้เพิ่งผ่านสงครามงานหนังสือ กำลังซื้ออาจดรอปลงด้วยนะ
อีกอย่าง ราคาปกแพงไปด้วยป่าว กูเห็นนักเขียนบางคนเปิดพรีเล่มละ 450!!
กูมีเงินซื้อได้นะ แต่ราคาแรงขนาดนี้กูก็คิดหนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่มีกำลังซื้อ รอมือสอง หรือพวกที่ไม่คิดจะซื้อ ให้อ่านไม่จบก็ด่า ยอดเฟบไม่ช่วยอะไรจริงๆ
กูเฟบเป็นหมื่นคน ตามทฤษฎียอดขาย 10% ของยอดเฟบก็ควรเปนพันช่ะป่ะ แต่ยอดซื้อจริงกูแค่ 160 คนอ่ะ คิดดู
กู 894 เอง ขอบคุณมากทุกคน ฮรือออ สรุปคือกูควรปลงสินะ แต่ช่วยไม่ได้ว่ะ กูดันลงจบเอง แต่ลบนะ คือ กูเคยลงไม่จบ คนอ่านแม่งก็ดราม่าว่ากูหน้าเงิน จะเอาแต่ขาย แหม่ กูก็ต้องแดกข้าวไหมล่ะ
>>895 ยอดคนเฟบกูหลักร้อย 5555
>>897 เออ กูก็อยากเลิกทำนะ แต่คือลงทุนไปเยอะแล้วไง นี่เดี๋ยวนี้ต้องมีปกให้เห็นก่อน กูก็ต้องให้เขาทำปกอีก ค่าปกอีก กูปวดหัวฉห
>>898 สู้ๆ นะมึง กูมีอีกสาเหตุหนึ่งคือคนอ่านน้อย 55555
>>899 กูว่าเฉลี่ยเล่มกูไม่แพงนะ เลี่ยงงานหนังสือมาแล้วด้วย แต่ช่างมันละตอนนี้ เป็นไงกูก็กัดฟันรับละ แต่ยอดเฟบมึงเยอะอ่ะ อิจ!
ขอบคุณทุกคน ถามอีกหน่อยเขียนยังไงให้คนอ่านเยอะๆ วะ เอาไปโฆษณาที่ไหนได้บ้าง กลุ่มอ่านหนังสือในเฟสก็มีแต่คนโฆษณารัวๆ เลยอ่ะ
>>903 กูเข้าใจมึงนะ ของกูก็คนอ่านน้อยมากกกกก ยอดแอดแฟนนี่มีแค่หลักร้อยต้นๆ เหมือนกัน 555555 ยังไงมึงลองติดต่อร้านออนไลน์ไหม ถัวเฉลี่ยให้ถูกลง เผื่อได้ค่าพิมพ์เล่มมางี้ กูเองคนจองน้อยมากจนลองไปถามร้าน ปรากฎว่าบวกไปบวกมา มีส่วนลดให้ร้านงี้ ก็เออ พอค่าพิมพ์เฉยเลย
ส่วนโฆษณากูซื้อแอดโฆษณาในเพจอ่ะ เพื่อให้คนติดตามเพจเห็นมากขึ้น หรือกลุ่มเป้าหมายที่ซื้อนิยาย กูเองขี้เกียจไปลงโฆษณาตามกลุ่มอ่านหนังสือในเฟซอ่ะ อีกอย่างกูเจอหลายรอบแล้ว เวลาที่เราเปิดจองไม่มานะ พอปิดจองตีพิมพ์เป็นเล่มออกมาแล้ว คนอ่านก็จะตามมาซื้ออีกทีหลังอ่ะ ถ้าพอมีทุนอยากทำเองจริงๆ ก็พิมพ์มาเกินตามที่ตั้งเป้าไว้ก็ได้
>>904 ถ้ารักจะทำหนังสือทำมือขาย ทีหลังอย่าลงจบ และให้ประกาศว่าจะทำมือตอนที่กำลังพีคที่สุด คนอ่านเม้นเยอะที่สุด ยอดวิวพีคสุด ทีนี้ก็ดูว่าได้ยอดจองเท่าไหร่ ถ้ายอดคุ้ม บอกให้ลงชื่อสั่งจองเลย จ่ายเงินเลย แต่วิธีนี้มึงต้องเขียนให้จบแล้วค่อยลง ไม่งั้นพอเขาจ่ายเงินมาแล้วมึงมานั่งงมเขียนอีกนาน เสียเครดิตหมด ขอบอกว่าวิธีนี้ได้ผลที่สุด คนกำลังอ่านมันๆ กำลังมีอารมณ์ร่วม อยากได้ ถ้าจะให้ดี ต้องลงทุนสั่งคนทำปกไว้ก่อนเลย เอาแค่ปกร่างก็ได้ บอกคนร่างว่าขอเอาปกร่างมาโฆษณาก่อน จ่ายเงินเขาไปด้วยค่าร่าง พอมึงบอกให้คนจอง มึงมีปกร่างมาให้เขาดูทันที ทุกอย่างเตรียมไว้แล้ว มึงจะทำหนังสือเองต้องเป็นนักธุรกิจ ระหว่างที่จัดพิมพ์อยู่มึงก็ลงตอนพีคๆ เลี้ยงนักอ่านไว้ เผื่อได้เพิ่มยอดจองมาอีก ช่วงแรกถ้ามึงยังไม่ดัง ยอดเงินจองคุ้มค่าพิมพ์กับค่าส่งและค่ารถมึงแบกไปส่งก็พอแล้ว เป็นการสร้างชื่อเสียงไว้ก่อนว่ามึงไม่โกง ทีหลังมึงยังจะขายเล่มที่พิมพ์เกินมาได้อีก
>>904 คิดว่าทำซื้อประสบการณ์แล้วกันมึง รอบหลังถ้าลงมาพอควรแล้วยอดแอดเฟบไม่ถึง 2 พันกูว่าอย่าทำเลย 2 พันยังดูน้อยๆ อยู่ด้วยแต่คนรู้จักก็ราวๆ นี้ก็พอไปได้ คือยอดคนติดตามน่ะมันหมายถึงเวลาอัพแล้วคนมีเห็นด้วยไง ในบรรดาคนที่เห็นก็จะมีบางคนซื้อ 10% นี่ก็ว่าดูเยอะไปด้วยมั้ง บางคนก็ถึง บางคนก็ไม่ถึง คนเห็นน้อยไม่ซื้อมันไม่แปลกอะนะ
แต่ถ้าเข้าเนื้อหนักจริง แล้วถ้าพิมพ์มันจะเข้าเนื้อหนักเข้าไปอีกมาก มึงเชื่อตาม >>897 ก็ดี ปกก็เอาไปใช้เล่มอื่นหรือไปลง ebook หรือถ้ามันคงไม่เข้าไปมากกว่านี้เท่าไหร่ก็พิมพ์ตามออเดอร์ไปนั่นแหละ เข้าเนื้อไปแล้วก็ปล่อยๆ ไป เขียนเรื่องใหม่ต่อ
เรื่องเขียนให้คนอ่านเยอะๆ กูว่าโฆษณาตามกลุ่มมีผลไม่เท่าไหร่หรอก อย่างดีก็แค่ตอนเริ่มทำให้คนอ่านเพิ่มขึ้นไม่กี่คน มึงต้องเขียนให้คนสนุกตั้งแต่ตอนแรกๆ เลย สามตอนแรกคนต้องอยากอ่านตอนต่อๆ ไป แบบนั้นอะคนจะเข้ามาอ่าน ถ้ามึงไปสนุกกลางๆ หรือหลังๆ คนอาจไม่ทนอ่านไปขนาดนั้น ถ้าเรื่องมึงสนุกตั้งแต่แรกๆ กูว่าเดี๋ยวคนมาอ่านเอง
>>906 คิดเหมือนกูเลย แต่ตอนลงยังไม่จบก็ได้ แต่ตอนจะเปิดจองควรจะจบหรือใกล้จบได้แล้ว
กูมีปัญหา คือกูกังวลเรื่องคำซ้ำจนแทบเป็นบ้า แถมกูยังอ่านทิปการเขียนงั้นงี้ตั้งเยอะแยะแล้วก็แบบกังวลต่างๆนานามากมาย เป็นเพอร์เฟคชั่นนิสไปแล้ว ตอนนี้เขียนอะไรก็ไม่ลื่น ไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนว่ะ ก็พยายามปลงนะ แต่สุดท้ายก็กลับมาเครียดเหมือนเดิม เวลาอ่านของคนอื่นจะคิดว่าแบบนี้เราก็เขียนได้ แต่พอลงมือจริง หัวโคตรโล่งเลย
>>908 ถ้ากังวลเรื่องคำซ้ำ แนะนำว่าแต่งให้จบทั้งย่อหน้าแล้วอ่านทั้งหมดรวดเดียว หลัก ๆ ดูว่าอ่านแล้วลื่นมั้ย อ่านแล้วโฟลว์มั้ย จังหวะการเล่าได้มั้ย ถ้าพวกนี้ผ่าน ต่อให้มีคำซ้ำเยอะก็ไมเป็นไร เพราะตราบใดที่มันโฟลว คนอ่านจะไม่รู้สึกอะไรกับคำซ้ำเลย ถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าสะดุด คำซ้ำเป็นที่สังเกตได้ค่อยกลับมาแก้
กูอยากเขียนเรื่องยาวอ่ะ ที่ผ่านมาเคยเขียนแค่เรื่องสั้นตอนเดียวจบมาตลอด แต่กูก็แอบไม่มั่นใจเอาซะเลย กลัวว่าจะเขียนไม่ออก เขียนไม่รู้เรื่อง ไม่ต่อเนื่อง บลาๆ แต่กูก็พยายามปลงนะว่าเขียนๆไปเถอะ มีผลงานซักชิ้นก็ยังดี กูอยากขอคำแนะนำว่าควรเตรียมตัวไงบ้างอะ
กุกำลังเขียนแนวเสิ่นเจิ้นอยู่ ข้อมูลแอบหายากพอสมควร อิงจากนิยายบางเรื่องก็ไม่ได้เหมือนแต่งตามจินตนาการคนเขียน กุเป็นแบบถึงตัวละครสมมุติมา แต่คนละมิติกับเหตุการณ์จริงๆ เฉยๆ คนละคน แต่ข้อมูลถูก ตัวละครกูเป็นงี้ องค์ชายลูกคนล่าสุดของฮ่องเต้กับลูกสาวคนเดียวจากตระกูลเสนาบดี(มีพี่ชายอีกแปด เป็นลูกหญิงคนเดียว) จากสมรสพระราชทาน ไปจนถึงชีวิตประจำวันของทั้งคู่ เนื่องจากยังเด็กทั้งคู่เป็นแค่ตัวหมากทางการเมืองไปพลางๆ ก่อน นางเอกก็เอ๋อๆ ต้องคอยสอนไปเรื่องธรรมนงธรรมเนียม (ซึ่งจะได้สอนตัวกุไปด้วย)
นี่กุเพิ่งเจอพงศาวดารจีน.pdfมา ไม่รู้อ้างอิงได้แค่ไหนยังไม่ได้เปิดเลย และกำลังให้เพื่อนที่เรียนที่จีนไปหาให้อยู่ (ถถถ ใช้เพื่อนให้เป็นประโยชน์สูงสุด)
ใครที่เขียนแนวเสินเจิ้นแบบกุแล้วมีข้อมูลไรดีๆ ปันกูที กราบ ยุคไหนก็ได้ ช่วยโม่งคนนี้ด้วย
>>913 สร้างตัวละครหลัก นิสัยและวิถีชีวิต จากนั้นค่อยมีพล็อตเรื่องหลัก แล้วก็พล็อตรอง ตัวละครรอง จากนั้นก็เรื่องความสัมพันธ์ อิงจากนิสัยตัวละครแต่ละตัว โดยมีสถานที่ สถานการณ์ บรรยากาศในเรื่องเป็นตัวชี้นำ
ส่วนตัวกูเขียนได้เรื่อยๆ เพราะกูเอานิสัยจากคนใกล้ตัวมาเขียนเป็นตัวละครเลย เพื่อนนี่ใช้เป็นตัวละครได้ดีมาก เลือกเอาเลยว่าคนไหนนิสัยเหมาะจะมาอยู่ในนิยายของมึง จะให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นก็คิดถึงกิจกรรมต่างๆที่มึงทำกับเพื่อนก็ได้ มาเป็นโครงเรื่องสำหรับพล็อต ส่วนตัวกูเล่นเกมส์กับเพื่อนบ่อย รู้สึกเหมือนได้ผจญภัยไปด้วยกัน มีทะเลาะ ด่า เบลมกันบ้างเป็น Conflict แต่ก็ยังไปด้วยกันได้เรื่อยๆ แต่ไปได้เรื่อยๆต้องอย่าลืมว่ามีพล็อตเรื่องหลักด้วย ให้เขียนเนื้อเรื่องหลักเป็นเควสหลักบันทึกใส่ Notepad ไว้เลยจะได้ไม่ลืม เพราะนิยายเรื่องยาวหลังๆกูเห็นออกทะเลบ่อยมาก ออกทะเลมากๆคนก็จะเลิกตามเอา
คนอื่นอาจจะคิดไม่เหมือนกูนะ แต่กูว่าถ้านิยายมึงมาถึงจุดที่ควรจบ ก็ควรทำให้จบไปเลยดีกว่า เช่นเคลียปม เคลียความสัมพันธ์เสร็จหมดแล้ว แล้วจบอย่าง ตัวเอกก็ออกเดินทางต่อไปอะไรพวกนี้อย่าเลย มันกาก พล็อตทวิสต์นี่มีได้ แต่อย่าเล่นมุขเดิมซ้ำบ่อยๆไม่งั้นคนอ่านจะเบื่อ ถ้าจะให้พีค ก็ต้องทวิต์อย่างมีเหตุมีผลต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มเรื่อง เออ แล้วก็มาคุยกับคนอ่านบ้าง จะได้ดูเข้าถึงได้ แต่อย่าหลุดเนื้อเรื่องไปล่ะ
โอเค ก็ยากในหลายๆแบบแตกต่างกันไปแหละ แต่ยังไงกูก็ว่าฟิคมันดังง่ายกว่าอยู่ดี ก็มีฐานแฟนอยู่แล้วนี่นะ
กุเซ็งว่ะเพื่อนโม่ง... กุโดน บก. บอกว่าช่วงนี้ให้ลองเขียนอะไรแนวเมากาวดูบ้างตามกระแส
...เออ แบบนี้กุต้องดมกาวก่อนเขียนรึเปล่าวะเนี่ย
>>920 ทำเป็นเล่นไป ดังง่ายกับผีน่ะสิมึง เดี๋ยวนี้ฟิคผุดเป็นดอกเห็ด (อิห่า ผุดเยอะพอๆ กับนิยายวายสายเน้นเยดูด เยดูดอะ) ฟิคบางเรื่อง ภาษาดีมาก แต่เงียบฉี่เพราะคนอ่านไม่รู้จักคนเขียน คนเขียนดังไม่พอ ไม่มีบารมีเหมือนคนเขียนเซเลบในแฟนด้อมบางคน สักพัก คนเขียนโนเนมพวกนั้นแม่งก็ปิ๋วไป มีเกิดและดับไปกันเยอะจะตาย มึงอย่าหวังเลยค่ะว่าเขียนแฟนฟิคแล้วจะดังเป็นพลุแตก ยอดพรีฟิคบูมบาย่า มันก็เหมือนกับเขียนนิยายออริทั่วไปนี่แหละ
>>921 เมากาวยังไงวะคะเพื่อนโม่ง
กูอัดอั้น ขอระบายแป้บ คือเวลากูจะแต่งอะไร ถ้าได้เห็นงานของคนที่เขียนดีกว่ามาก่อน กูจะโคตรเฟลซึมเศร้าไปเลย แต่ถ้ากูเห็นงานห่วยกว่าแบบพวกในเด็กดี กูจะรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที แบบเอาวะกูคงเขียนให้ดีเลิศไม่ได้แต่อย่างน้อยก็ไม่กากจนทุเรศเกินล่ะวะ รู้สึกเลวชอบกล 555
กูเป็นนักเขียนแล้วก็เป็นนักอ่านด้วย กูหงุดหงิดมากเวลาเจอพวกนักเขียนที่ผิดในคำที่ไม่ควรผิด(ประเด็นคือที่กูเจอบางคนเป็นนักเขียนที่นิยายตีพิมพ์ด้วยไง อายุก็ 20+ ละ) ที่กูเจอมีเขียน
' ถ้า ' เป็น ' ท่า ' กูนึกถึงท่าเรือเลย
' พาล ' เป็น ' พาน ' จะยกพานถวายใครวะ
' งอน ' เป็น ' งอล ' อันนี้เจอบ่อย นี่ใช้ผิดจนไม่รู้ว่าเขียนถูกเป็นยังไงใช่ไหมวะ
มีอีกมากมายที่กูเจอ บางอันก็ตลกดี แต่โตๆมาอายุไม่น้อยแล้วเป็นนักเขียนด้วย คำปกติง่ายๆที่ไม่ใช่ศัพท์ยากๆก็ควรเขียนให้ถูกไหมวะ
กูฝากเพื่อนโม่งนักเขียนช่วยคิดถึงเรื่องคำผิดกันนะ เพราะคำผิดมันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ตัวมึงไม่มากก็น้อย
กูหงุดหงิดประเด็นการใช้สรรพนามมาก คือเรื่องเล่าด้วยสรรพนามบุรุษที่สาม แต่พอพูดถึงตัวเอกสองคนพร้อมกันเสือกใช้คำว่าเรา เจอแทบทุกเรื่องที่อ่านเลย เป็นอะไรกันไปหมดวะ
กุแต่งจีนโบราณ นางเอกเรียกแทนตัวเองว่าข้าได้มะ "ข้าไม่อยากทำอะไรเลยเจ้าค่ะ ขอนอนเฉยๆ เถิด ส่วนเจ้าจะไปไหนก็ไปเถิด"
แต่กูว่าบางทีใช้สรรพนามผิดก็ไม่เป็นไรนะ ถ้าจงใจใช้เพื่อแสดงนิสัยของตัวละคร เช่น บ่าวที่มีความทะเยอทะยาน แค่สนิทกันเจ้านายหน่อยก็ตีตัวเสมออะไรแบบนี้ รึพระเอกแนวไม่ก้มหัวให้ใคร มีความหยิ่งโอหังสูง
กูเป็นนักเขียนนะ กูเข้าใจว่าใช้พาล ลอลิง
แต่สนพ.แก้ให้กูเป็น พาน นอหนูหมด
กูก็ยึดตามสนพ.วะ
พาล ล.ลิง คือ พาลโกรธ
พาน น.หนู พานใส่ของหรือ คล้ายๆ พลอยจะ...ไปด้วย
ปกติกุแต่งฟิคลงfanfictionเป็นภาษาอังกฤษกุแต่งแบบตามใจฉันไม่เคยรู้สึกกดดันเท่าไหร่ พอกุมาแต่งภาษาไทย ภาษาตัวเองกดดันชิบหาย เพิ่งลงเว็บเด็กดอยไป เริ่มมีฐานแฟนคลับ กดดันชิบหาย โอยยย กุปวดตับ หรือกุกลัวนิยายกูโผล่ในโม่งวะ ถถถ
>>942 กุขอปรึกษาหน่อยได้ไหม กุติดคิดบทสนทนาในหัวเป็นภาษาอังกฤษแต่พอมาแปลเป็นไทยยังไงก็ใช้ได้ไม่ดีว่ะ อย่างกูอยากให้ตลค. บอกกับเด็กคนนึงว่า be kind to others and live your life well. กูไม่รู้จะแปลยังไงไม่ให้กระด้างเลย "จงอ่อนโยนกับผู้อื่นและใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี" หรือจะเปลี่ยนไปเป็น "ใช้ชีวิตของเจ้าให้มีควาหมาย" แต่มันก็แปลกๆ ว่ะ กูแต่งนิยายด้วยสำนวนแปลแต่ไม่อยากให้มันขัดเขินขนาดนี้
พอความจูนิเบียวของกุหาย นิยายกุเรียลขึ้นเหี้ยๆ แต่กุลงหมวดคอมเมดี้ แม่งงงงง ความจูนิเบียวกลับมาก๊อนนนนน
>>945 ลองดูคาร์ของมึงก่อนมั้ยว่าปกติพูดไงมั่งอ่ะ เป็นคนพูดแนวห้วนๆหน่อย หรือพูดแบบสั้นกระฉับเรียบๆ หรือเจ้าสำบัดสำนวน
กูไม่ค่อยเก่งอิ้ง แต่เท่าที่อ่านดู อันนี้เหมือนเขาจะเน้นพูดแบบกระชับๆหน่อยเปล่า
ถ้างั้น "จงอ่อนโยนกับผู้อื่นและใช้ชีวิตของเจ้าให้ดี" นี่อาจเยิ่นเย้อไป ปรับเป็น "ดีต่อผู้อื่นและดีต่อตนเอง" อะไรงี้พอไหวมั้ย
ถามหน่อยดิคือกุก็แต่งฟิคแต่งนิยายมาเรื่อยๆนะ แต่กุไม่จริงจังไงมันเป็นแค่งานอดิเรก แล้วกุถูกคนอ่านด่าวะว่าไม่จริงจัง อัพไม่สม่ำเสมอ ภาษาก็แค่พอได้ คือกุต้องจริงจังและพยายามพัฒนาฝีมือถึงขั้นไหนสำหรับงานอดิเรกวะ กุไม่หวังจะหาเงินอะไรจากเรื่องที่กุแต่งเลยนะ ถึงฟลุ๊คดังขึ้นมามีคนจะขอทำเล่มกุก็จะไม่ทำไม่อยากปวดหัวเพราะทุกวันนี้กุก็เรียนปีท้ายๆของคณะที่จบไปมีงานทำแน่นอนอยู่แล้ว กุไม่มีทางมาเอาดีด้านงานเขียนแน่ๆอะ กุอยากแต่งไปเรียบๆเรื่อยๆของกุไม่ต้องคิดไรมากแต่กุก็ไม่อยากถูกด่าละกุควรทำไงดี
>>948 คำเเนะนำของกูคืออย่าไปเก็บมาอารมณ์หรือทำให้ตัวเองคิดมาก ตัวเองสะดวกตอนไหน สบายใจจะเเต่งตอนไหนก็ตามใจมึงเลย เพราะคนที่พิมพ์ว่าคนเขียนแบบไม่มีเหตุผลเนี่ย เค้าไม่ได้ใช้อะไรเลย ใช้เเค่การระบายอารมณ์ใส่มึง เพราะไม่ได้อย่างใจตัวเอง เพราะงั้นนะ อย่าไปใส่ใจหรือให้ค่าเลยมึง เป็นกำลังใจให้มึงนะ
การ์ดที่เฝ้าประตูเมืองในธีมจีนโบราณเค้าเรียกไรวะ กุนึกภาษาไทยไม่ออกเลย ตำหนวด? ผู้เฝ้ารักษาการ? ทหาร? ยาม?
ใช้ภาษายังไงดีเพื่อนโม่งถึงจะดูเป็น Post modern กูว่ามันก็ไม่ค่อยต่างกับสมัยนี้ป่าววะ บก.กูแม่งบ้าบอ
ถามหน่อยครับ ปกติแล้ว นักเขียนหน้าใหม่ที่ส่งต้นฉบับผ่านจะมีบก.มาช่วยดูงานให้อีกทีหรือเปล่า
โม่งงงง เวลากุตาสว่างกุแต่งนิยายไม่ออกเลย พอกุจะหลับเท่านั้นแหละ แม่งไอเดียมา กุแต่งได้ยาวเลย ทำร้ายร่างกายกุมาก แง
เพื่อนโม่ง~ คือกุสงสัยอย่างนึงอะ
ถ้ากุเขียนแนว POV1 แล้วเขียนบรรยายภาพที่ตัวเอกเห็น + ความคิด มันจะเวิ่นเว้อไปมั้ยอะ?
กุสร้างตัวละครแนวตัวเอกขี้บ่น พอบรรยายสถานการณ์ตรงหน้าเสร็จ บรรทัดต่อไปก็จะตามด้วยคำบ่นเล็กๆ ซักสองประโยค แบบนี้มันจะโอเคมั้ยหว่า?
>>959 ก็บ่นในใจแหละ แต่บางทีจะมีบ่นออกมาข้างนอกบ้าง
อ่าแล้วขอถามเพิ่มอีกหน่อย ...ถ้าตัวเอกเป็นคนบรรยาย mechanic ในเรื่องแบบคร่าว ๆ มันจะนับว่ารู้มากไปมั้ย?
ยกตัวอย่าง สมมุติในเรื่องตัวเอกบังเอิญไปเจอคนรู้จักที่มาจากตระกูลใหญ่โต ตัวเอกจะบรรยายเกี่ยวกับตระกูลนั้นว่าเป็นใคร มาจากไหน ทำธุรกิจอะไร แบบคร่าวๆ ไม่ถึงกับลงรายละเอียดเบื้องลึกแบบนี้มันจะโอเคมั้ย?
เคยโดนติมาว่าตัวเอกเป็นพวกรู้มาก กุเลยไม่มั่นใจว่าเขียนแบบนี้ยังไปได้รึเปล่า
เด็กดอยเวลาเราปิดเปิดเรื่องมันแจ้งเตือนคนอ่านกันมั้ยวะ กูกลัวคนอ่านที่เฟบไว้รำคาญ
ตอนนี้กูเริ่มรู้สึกอายนิยายตัวเอง
โอ้ยกลุ้ม เขียนนิยาย 1 ภาค แต่กลับมีความหนาเท่า LN 3 เล่ม (ราวๆ 600 หน้า)
กุควรโละทิ้งทั้งหมดแล้วไปวางพล็อตใหม่ดีกว่ามั้ยเนี่ย หนาชิบหาย
ถามนิด ปกติถ้าเรื่องมีตัวละครต่างชาติพูดต่างภาษากันพวกมึงเขียนกันยังไงบ้าง
อย่างมีฝรั่งโผล่มาพูดกับตัวละคร
ใช้ภาษาอังกฤษไปเลย (อาจมีวงเล็บแปลว่ามันคุยไรกัน)
หรือว่าแปลไทยให้เลย โดยระบุว่าตอนนี้ตัวละครมันกำลังคุยอังกฤษกันอยู่
>>965 กูไม่วงเล็บเหมือนกัน ส่วนใหญ่ก็ใช้ภาษาไทยไปเลย แล้วบรรยายว่าพูดอังกฤษหรืออะไร
แต่มันก็จะงงๆถ้าเกิดว่าอยู่ดีๆมึงอยากเล่นมุกภาษาอังกฤษที่แบบ เออ ตัวเอกมึงอาจจะไม่เข้าใจงี้ มันก็จะแบบ เอ้ยย ทำไงดีวะ กูใช้ภาษาไทยมาทั้งเล่ม แม่งจะมาใช้ภาษาอังกฤษตรงนี้แม่งก็ประหลาด แต่จะให้ใช้อังกฤษทั้งเรื่องและวงเล็บตลอดก็ประหลาดเหมือนกัน
>>969 กุตัดหมดแล้ว นี่ 2 เดือนมานี่กุนั่งอ่านงานตัวเองแล้วไล่ตัดมา 2 รอบละ
แต่อันนี้กุยอมรับเลยว่าพลาดที่วางพล็อตละเอียดเกินไป ปมซับซ้อนและปูเนื้อหาเอาไว้เพื่อไปต่อ มันเลยออกมาเยอะแบบนี้
หลายคนก็บอกให้กุเขียนต่อไปอย่าได้แคร์ แต่พอมามองเทียบกับพวกไลท์โนเวลนี่ก็ทำเอารู้สึกเหมือนตัวเองมาผิดทางว่ะ - -
>>971 โม่งแตกน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่พล็อตเนี่ยกุลำบากใจที่จะเล่า (เพราะมันโคตรยาว) เอาเป็นว่าขอสรุปสั้นๆ แล้วกัน
เซ็ตติ้งเป็นธีมแฟนตาซียุคกลางตอนปลาย พระเอกกุเป็นชาวนาไม่รู้หนังสือ แต่ก็หัวไว ไหวพริบดี และช่างสังเกต อาศัยอยู่กับพี่สาวฝาแฝด (พระเอกเป็นซิสค่อนติดพี่) แต่วันหนึ่งไร่ที่พระเอกอาศัยอยู่โดนโจรบุก พระเอกพยายามปกป้องพี่สาว แต่ทำไม่ได้เพราะตัวเองไร้พลัง ถึงจะโชคดีที่มีคนมาช่วยเอาไว้ทัน แต่มันกลายเป็นปมที่พระเอกอยากให้ตัวเองเก่งขึ้น
หลายวันต่อมาพระเอกกุเข้าเมือง แล้วบังเอิญโดนร้านค้าแปลกๆ ลากไป มีการคุยถามประวัติกันเล็กน้อยก่อนฝ่ายร้านค้าจะยัดเยียดให้พระเอกซื้อของชิ้นหนึ่งมา ซึ่งมันคือหนังสือ แต่พระเอกกุอ่านหนังสือไม่ออกเลยได้แค่เปิดแล้วโยนทิ้ง โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองได้พลังบางอย่างมา
ต่อมาพี่สาวพระเอกโดนหาเรื่อง พระเอกเลยออกมาปกป้องและบังเอิญใช้พลังอัดใส่อีกฝ่ายจนหมอบ ก่อนทั้งคู่จะหนีไป (ตอนนี้กุพยายามบิ้วความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง + ให้พระเอกตั้งปณิธานว่าจะหาทางยกระดับชีวิตตัวเองและพี่สาวให้ดีขึ้น)
แต่ไม่นานเรื่องทะเลาะกันก็แดงขึ้นพระเอกเลยโดนลากไปสอบสวน และพบว่าตัวเองใช้เวทมนตร์ได้ แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้อีกฝ่ายเกิดความสนใจได้เท่ากับการที่พระเอก อ่าน เขียน และ คำนวณ ได้ ทางนั้นเลยอยากได้ตัวพระเอกเข้ามาทำงานด้วย ถึงพระเอกกุจะงงว่าเป็นไปได้ยังไง แต่ก็ยังอาศัยไหวพริบ ยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่ายยอมรับพี่สาวตัวเองเข้ามาด้วยได้สำเร็จ
เวลาไปผ่านไป พระเอกกับพี่สาวชีวิตดีขึ้น จนกระทั่งคืนวันหนึ่ง ก็ได้มีปิศาจตนหนึ่งปรากฎตัวขึ้น มันบอกว่าตัวเองเป็นปิศาจท่ี่ถูกผนึก และเฉลยว่าสาเหตุที่พระเอกใช้เวทมนตร์ได้ และอ่าน เขียน คำนวณ ได้เป็นเพราะหนังสือที่เขาซื้อมา ซึ่งพระเอกสามารถรับพลังได้มากกว่านี้ถ้าหากยอมขายวิญญาณให้กับหนังสือ พระเอกปฏิเสธ ปิศาจนั่นยอมถอยไป ก่อนมันจะทิ้งท้ายว่าหลังจากนี้พระเอกจะต้องเจอกับโชคร้ายอีกเยอะ
นี่คือ 1/3 ของเรื่องที่กุเขียน เป็นส่วนที่เขียนเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว พอลองกดเครื่องคิดเลขแล้วก็พบว่าปาไป 200 หน้าเศษๆ กันเลย ต่อให้ตัดตอนบิ้วอารมณ์ออกก็น่าจะยังเหลือ 150 หน้าอยู่ดี
ยิยายพวกมึงเคยพล็อตเปลี่ยนกันมั้ย
ของกุจากคอเมดี้ตอนนี้เป้นเหี้ยไรไปแล้วไม่รุ้ ไม่รู้จะกลับมาไงเี
>>973 เท่าที่ดูตอนนี้ตัดพล็อตไม่ได้ แต่ถ้ากูเขียน จะได้ไม่ถึง 150 หน้าด้วยซ้ำ เพราะกูจะไม่เล่าไปทีละขั้นตอน แต่จะเริ่มจากฉากที่พระเอกโดนสืบสวนแล้วแฟลชแบ๊กกลับไปเล่าความเป็นมาคร่าวๆ จากนั้นก็เชื่อมไปหาเรื่องปีศาจ มาบอกว่าที่มีเวทมนตร์เพราะบลาบลา แล้วพระเอกก็พยายามปกปิดเรื่องนี้ระหว่างที่โดนสืบสวน (ไทม์ไลน์จะเปลี่ยนจากของมึงนิดนึง) ดังนั้นกูว่าที่มันยาวไม่ใช่เพราะพล็อตนะ แต่เป็นที่การเรียบเรียงกับการลำดับเหตุการณ์เรื่องมากกว่า ฉากที่ไม่จำเป็นต้องเล่าละเอียดแบบ Sshow ก็ใช้ tell พอแล้ว อย่างช่วงชีวิตก่อนพระเอกโดนสืบสวนอะมึง
>>975 บ่อย 55555
>>976 ก็จริงอะที่กุเล่าไปตามลำดับขั้นเกินไป แถมยังใช้ show ซะเยอะด้วย Orz
แนะแนวทางได้ดีนะ แต่น่าเสียดายเพราะที่จริง... ไอ้ที่เล่ามานี่คือ flash back ของพระเอกทั้งหมดเลยอะสิ
ที่กุเขียนน่ะ บทนำคือตอนท้ายของเรื่อง แล้วพระเอกมัน flash back เล่าย้อนตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ไล่ไปจนถึงช่วงบทนำเลย
แต่ในเมื่อแนะมาแบบนี้ กุขอรับไปลองวิเคราะห์ดูแล้วกัน
บางทีอาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าให้มันสั้นกระชับกว่านี้ได้ก็คงดี
เห็นยอดเฟบลดแอบใจหาย กุเขียนไรผิดไป
นักอ่าน กุขอโทดกุไม่ว่างแต่งทุกวันนนน ทักต้องมานั่งแก้ก่อนเผยแพร่อีก
คืองี้กุคิดว่ายอดเฟบลดเพราะกุลงช้า กุลงช้าเพราะกุอ่านทวน เชคอีกรอบ แก้คำผิด แก้สำนวน มันคงไม่ทันใจแบบพวกนิยายพิมพ์ผิดแต่ลงไว ฮือ
>>982 มึงอยากได้คนอ่านที่ไม่สนสี่สนแปด เอาแต่ความเร็วเข้าว่าหรือเปล่าล่ะ ถ้ามึงชอบแบบนั้น มึงอยากสนองให้พวกที่อ่านนิยายเอาแค่เนื้อเรื่องสะใจตัว ไม่สนใจความละเอียดหรือความดีงามอะไร มึงก็ลงเร็วๆตามคนอื่นไป ถ้ามึงพอใจยอดวิว เผื่อว่ามึงจะเอาไปขายได้ หรือมึงภูมิใจในยอดมากกว่าในผลงานที่มึงตั้งใจำ มึงก็เอาเร็วเข้าว่า
เพื่อนโม่งปรึกษาเรื่องนิยายหน่อยสิ กูมือใหม่เพิ่งแต่งเรื่อง 2
แนวสงคราม เซ็ตติ้ง ยุคกลางสไตล์จักรวรรดิรัสเซีย แฟนตาซี
อยากรู้ว่าถ้ารีบเดินเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร เร่งเข้าช่วงสงครามเลยจะโอเคมั้ยวะ ทั้งหมดนี้ใน 10 ตอน แต่เป็นนิยายเรื่องยาวนะ
เรื่องย่อ พระเอกเป็นเด็กบ้านนอกในหมู่บ้านเกษตรกรรมที่กำลังจัดงานเทศกาลต้อนรับฤดูร้อนอยู่ ส่วนนางเอกเป็นเอลฟ์นักล่าสัตว์ บาดเจ็บโดนก๊อปลินทำร้าย แล้วหลงมาหมู่บ้านพระเอก เดิมทีมนุษย์กับเอลฟ์แทบไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกันเลยเพราะพวกเอลฟ์อยู่ในป่าลึก อันตราย กอปรกับปัญหาการเมืองภายในที่ฝ่ายปกครองแตกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายจักรวรรดินิยมนี่ยังนิยมให้ซาร์คุมอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ กับ ฝ่ายสหภาพแรงงานที่ต้องการให้อุตสาหกรรมต่างๆเป็นเจ้าของโดยชนชั้นแรงงานด้วยกัน อิงระบบ Syndicalism ทำให้เสียเสถียรภาพทางการเมือง ทีนี้พระเอกที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองเลย เพราะอยู่ในบ้านนอกตะเข็บชายแดนก็บังเอิญไปเจอนางเอกสภาพร่อมร่อใกล้ตายอยู่ แต่พาคนมาช่วยไล่ก๊อปลินได้ทัน พอนางเอกฟื้น ก็รู้สึกปลื้มและเปลี่ยนมุมมองต่อมนุษย์ นางก็เรียนวิธีทำอาหาร เล่นดนตรีจากหมู่บ้านมนุษย์ไปเผยแพร่ในหมู่บ้านเอลฟ์ ทำให้สองหมู่บ้านที่ไม่เคยติดต่อกันมาก่อนเป็นร้อยๆปี เริ่มสานสายสัมพันธ์ขึ้น
ทีนี้ฝ่่ายจักรวรรดินิยมรู้เรื่องขึ้นมา ก็เลยส่งทูตไปติดต่อกับเอลฟ์ มีบรรณาการมากมายไปให้ เอลฟ์ที่เพิ่งเริ่มเปลี่ยนมุมมองกับมนุษย์ก็ยิ่งรู้สึกปลื้มเข้าไปใหญ่ แต่หารู้ไม่ว่ากำลังจะโดนหลอกรวบดินแดนให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรเพื่อสร้างคะแนนนิยมให้ฝ่ายจักรวรรดินิยม แต่ด้วยวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ยังไม่เข้ากับวิถีชีวิตของพวกเอลฟ์เท่าไหร่ ทำให้พวกเอลฟ์ปฏิเสธ แผนการรวบดินแดนจึงล้มเหลว ซาร์รู้สึกเสียหน้าที่คนป่าเผ่าเล็กๆอย่างเอลฟ์ไม่ยอมรับข้อเสนอ เลยคิดจะใช้กำลังยึดครอง โดนอ้างเหตุผลว่าปกป้องเอลฟ์จากก๊อปลิน เมื่อกองทหารของซาร์ยกพลไปยังชายแดน ฝ่ายสหภาพแรงงานเห็นกำลังพลลดลงจึงถือโอกาสปลุกระดมประชาชนให้มาเข้ากับพวกของตน เป็นชนวนที่จะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง ที่พระเอกจะโดนดึงเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยในภายหลัง ทำให้ต้องแยกจากนางเอก
เล่นเรื่องการเมือง แนวคิดทั้ง 2 ขั้วอิงจากปฏิวัติรัสเซีย 1917 แล้วก็เล่าเรื่องเหยื่อของสงครามอย่างพระเอกกับนางเอกที่เป็นแค่คนธรรมดาที่โดนดึงเข้ามาด้วย แล้วถูกบังคับให้เลือกข้างตัวเอกโดนหลอกใช้ อาจจะเพิ่มประเด็นเหยียดเพศ เหยียดเผ่าขึ้นมาด้วย แล้วก็ปัญหาจากภายนอกคือเรื่องก๊อปลินกับออร์คที่จะยกทัพลงมาบุกตอนที่สองฝ่ายกำลังตีกัน อิงจาก 1937 ญี่ปุ่นบุกจีน
กุแต่งจีนโบราณ แต่ในหัวกุมีแต่ศัพท์สมัยใหม่ทั้งน้าน เง้ออออ บางอันมาแม่งเป็นตัวอังกฤษ มีวิธีทำให้สมองโบราณมะ ๕๕๕
kyนะ ขอปรึกษาเรื่องการแต่งนิยายหลายฉากหน่อยนะ
ฉากแรก พระนางมีโมเม้นต์กุ๊กกิ๊กน่ารักแล้วจะจูบกันจนท้าย แต่ฉากมันออกมาจืดๆ ไม่ฟินอย่างที่อยากให้เป็น เหมือนตอนแต่งเราไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วม พอมีคำแนะนำไหมว่าแก้ไขยังไงได้บ้าง
ฉากสอง ต่อเนื่องจากฉากแรกที่พระจูบนาง พระเอกนึกถึงอดีตตัวเองที่เคยมีปัญหาเรื่องผู้หญิงมาเยอะจนกระทั่งกลับตัวเป็นคนดีศรีสังคมแบบปัจจุบัน ช่วงย้อนอดีตจะเล่ายังไงให้น่าสนใจ รู้สึกเหมือนพระเอกมายืนรายงานหน้าชั้นเรียนน่ะ
ถามหน่อย คือกุเรียนมหาลัยอินเตอร์ในไทยที่มีนศ.ต่างชาติเยอะมาก ทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย อินเดีย
อิหร่าน อังกฤษ สวิส เมกา บราซิล กินี ไนจีเรีย เดนมาร์ก ยันเพื่อนบ้าน ฯลฯ อาจารย์ส่วนใหญ่ก็มาจากยุโรป แล้วกุจะเขียนนิยายโดยอ้างอิงเซตติ้งจากม.กูเนี่ยแหละ อ่านแล้วจะรุ้สึกอินมั้ยวะ คือไม่ใช่อะไรหรอกลำพังแค่กูเล่าให้ญาติฟังว่าม.กูอย่างงั้นๆ เขาก็นึกภาพไม่ออก ไม่ชื่อว่าในไทยมีม.แบบนี้อยู่ด้วยแล้ว เขาจะติดภาพแบบว่าภาคอินเตอร์คงมีหัวทองสักสามคนในห้าร้อย ต่างชาติที่เหลือเป็นเพื่อนบ้าน 70เปอเซ็นต์เป็นไทยหมดอะไรงี้ จริงๆ จะเปลี่ยนเป็นม.คนไทยทั้งหมดก็ได้แหละ แต่กูแค่ไม่อยากจะเขียนอะไรที่กูไม่รู้
มู้ 3 >>>/literature/4775/
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.