กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
กระทู้แรก > https://fanboi.ch/literature/2342/
สวัสดี เราเห็นกระทู้เต็มแล้วก็เลยตั้งให้น่ะ
Last posted
Total of 1000 posts
กระทู้เพื่อพูดคุยเทคนิคการเขียน และเรื่องการประกวดต่างๆเกี่ยวกับนิยาย
กระทู้แรก > https://fanboi.ch/literature/2342/
สวัสดี เราเห็นกระทู้เต็มแล้วก็เลยตั้งให้น่ะ
อ่าว เต็มแล้วเหรอ ไม่ทันรู้ตัวเลยแฮะ
เอ้อ เรามีเรื่องจะปรึกษาน่ะ ตอนนี้กำลังเริ่มนิยายเรื่องใหม่อยู่ เป็นแนวใหม่ที่ว่าจะลองแต่งดู
อยากรู้ว่าเพื่อนโม่งคิดยังไง สมผลพอรึเปล่า?
เรื่องย่อคือ อาณาจักรมนุษย์เป็นมหาอำนาจของโลกในตอนนั้น แต่ว่าหลังจบศึกสงครามครั้งใหญ่กับจอมมารเมื่อ 100 ปี ก่อน
ก็อยู่ร่วมกับอาณาจักรอื่นด้วยสันติมาโดยตลอด แต่ก็เริ่มมามีปัญหาทางการเมืองเพราะสนธิสัญญาพันธมิตรกับ 3 อาณาจักรมหาอำนาจอื่น
อยู่มาวันนึงก็ได้มีอาณาจักรใหม่เกิดขึ้นติดกับพรหมแดนของมนุษย์ เป็นอาณาจักรที่ประชากรทั้งหมดเคยเป็นมอนสเตอร์ไร้ปัญญามาก่อน
แต่มนุษย์เองก็ไม่ค่อยจะมองเป็นภัยคุกคามเท่าไหร่เพราะยังดูถูกคิดว่าเป็นแค่มอนส์กากๆเลยไม่มีการติดต่อทางการทูตใดๆ
ทีนี้จะมีเหตุผลอะไรให้มนุษย์ที่อยู่กับความสงบสุขมาเป็น 100 ปีหลังจบสงครามกับจอมมารมาเริ่มทำสงครามอีกครั้งดีอ่ะ? คือประชาชนที่ยังมีชีวิตอยู่จากตอนนั้นเช่นพวกพ่อมดกับเอลฟ์(เป็นพลเมืองในสนธิสัญญา)ที่อายุยืน ก็ยังเหลืออยู่น่าจะเอียนสงครามกันแล้ว ถ้าไม่มีสาเหตุที่รุนแรงจริงๆแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ประชาชนจะสนับสนุน ก็เลยคิดว่าเจ้าหญิงของอาณาจักรมนุษย์ที่กำลังโตเป็นผู้ อยากสร้างผลงานเอาใจพระราชา เลยไปสานสัมพันธ์กับอาณาจักรของมอนสเตอร์(เจ้าหญิงออกแนวหัวเสรี) ระหว่างทางบังเอิญเจอพวกมอนสเตอร์เข้า ก็เลยเข้าไปพูดคุยด้วย แต่ด้วยความที่ไม่เข้าใจภาษากัน แถมมีทหารติดอาวุธตามมาด้วย พวกมอนสเตอร์ก็เลยฆ่าตาย เป็นชนวนให้นำอาณาจักรมนุษย์เข้าสู่สงครามอีกครั้ง
เพื่อนโม่งคิดว่าจะสมเหตุสมผลมั้ยอ่ะ? คือถ้ามองในเชิงลึก พระราชาก็น่าจะคิดมากพอตัวว่าพวกไหนเป็นคนฆ่า แถมยังมีเรื่องสนธิสัญญาพันธมิตรอีก เลยไม่น่าจะรีบประกาศสงครามเพราะความโกรธ แล้วประชาชนจะโกรธแค้นแทนถึงขนาดสนับสนุนให้ประกาศสงครามรึเปล่า? ช่วยแสดงความเห้นให้เราหน่อยสิ
>>3 เราว่าพลอตแอบเชยนะ แต่ก็เขียนไปเถอะ รายละเอียดเรื่องก็ลองทำให้มันต่างจากคนอื่น ถามว่าสมเหตุสมผลไหมอ่านเผินๆคิดว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผลนะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของเรื่องด้วย เช่น ราชาอาจจะรักลูกมากกกกและมีนิสัยเลือดร้อนทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วเจ้าหญิงคนนั้นเป็นที่รักของประชาชน พอโดนฆ่าเข้าทุกคนก็โกรธแค้นเป็นชนวนศึก หรือไม่ก็สร้างเรื่องมาก่อนว่าไอพวกมอนสเตอร์มันเคยทำร้ายมนุษย์มาก่อนซึ่งนั่นอาจจะเป็นแค่มุมมองมนุษย์ไรงี้ บลาๆ อะไรก็เขียนไปดิ หาเหตุผลให้มัน อาจจะต้องใจเย็นๆหน่อย
>>4 เราแต่งไว้แบบที่เพื่อนโม่งแนะนำ เป๊ะๆเลยนะตอนแรก แต่ไม่รู้ทำไมยังรู้สึกว่าไม่สมผลพอ อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้อธิบายตัวละครพระราชาให้ละเอียดพอละมั้ง คือตอนแรกกะจะใส่มาให้ตายอยู่แล้วเลยไม่ได้ใส่ใจมาก แต่พอย้อนกลับมาอ่านเองอีกรอบปรากฏว่ารู้สึกไม่สมผลซะงั้น ตัวเริ่มเรื่องที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี่ต้องใช้ความใส่ใจมากทีเดียวแฮะ ก็ต้องขอบใจเพื่อนโม่งที่ช่วยพินพอยท์ให้
ส่วนเนื้อเรื่องจริงๆ จะดำเนินเรื่องหลังจากนี้น่ะ นางเอกที่เบื่อโลก ไม่มีความฝัน ประเทศตัวรับผู้อพยพมาเยอะมากแล้วผู้อพยพก็กลายเป็นผู้ก่อการร้าย เธอโดนลูกหลงจากการก่อการร้ายเลยมาเกิดใหม่เป็นเจ้าหญิงองค์ที่ 2 ที่โลกนี้ แต่ไม่เสียความทรงจำเพราะเหตุผลบางอย่าง ที่แย่กว่าเดิมคือเหมือนจะขาดเซ้นส์ความเป็นมนุษย์ไปเลย พอพี่สาวเจ้าหญิงองค์แรกตาย ก็ได้แต่หมกตัวในวัง จนบ้านเมืองเกือบจะล่มจม มารู้ตัวอีกทีว่าตัวเองแบกรับความฝันของประชาชนไว้มากมายก็เกือบจะสายไป พระราชาเองก็นำศึกจนตัวตายเลยได้รับตำแหน่งราชินีมา หลังจากนั้นตัวนางเอกก็จะหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆของอาณาจักรมหาอำนาจที่ใกล้จะถึงจุดจบ ด้วยเรื่องที่เรียนมาในโลกเก่าแล้วก็ค่อยๆเรียนรู้ใหม่จากที่นี่ในฐานะเจ้าหญิงด้วย โดยหลักๆจะเป็นสงคราม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ระบอบการปกครอง แล้วก็เผ่าพันธุ์(ชาติพันธุ์) สุดท้ายก็ตามหาความฝันแล้วก็ไขปริศนาความทรงจำของตัวเอง แต่เพราะพยายามจะทำให้มันสมผลที่สุดเลยไปนั่งเก็บข้อมูลมานานเกือบเดือนละ - -
เอ้อ แล้วสาระเช่น พวกทฤษฏีการปกครอง ยุทธวิธีการรบ หรือพวกทฤษฏีการทูตนี่จะใส่มายังไงให้ดูไม่น่าเบื่อดีอ่ะ คือมันค่อนข้างซับซ้อนพอสมควร เลยกลัวว่าถ้าย่อแล้วผู้อ่านจะรู้สึกว่ากำลังอ่านคอร์สวิชาการทูตอยู่ พอจะแนะนำให้เราได้บ้างมั้ยอ่ะ ปกติเราแต่งแต่แนวบันเทิง ตลก ติ๊งต๊องเลยยังไม่ค่อยชำนาญเท่าไหร่
>>5 หาพวกหงสาจอมราชันย์มาอ่านดู
กุกำลังร่างพล็อตอยู่เหมือนกัน แต่กลัวคนอ่านจะไม่ชอบอะไรแบบนี้
เรื่องคร่าวๆ คือ
ตัวเอกเป็นวิศวะกรเวทมนต์บรรจุใหม่ในเหมืองแร่ที่สกัดผลึกกักเก็บเวทมนต์จากสิ่งมีชีวิต ซึ่งเหมืองนี้เป็นทั้งคุก แดนประหาร และสถานที่พิเศษบางอย่าง กะจะสร้างคอนฟลิคพวกกบฏ การเมืองภายใน เชื้อชาติ ศาสนา ให้มันตีกันในเหมืองนี้สักพัก แล้วก็ระเบิดเหมืองทิ้งก่อนออกไปสู่โลกภายนอกที่เริ่มสงครามไปสักระยะแล้ว แล้วค่อยกอบกู้อาณาจักรคืนทีหลัง
คนมันจะเข้าถึงมั้ยวะ นั่งเขียนเรื่องไป เขียนloreไป กลัวเชื่อมloreพลาดชิบ
อัพนิยายตอนไหนที่คนจะเห็นเยอะๆ ปกติอัพกันกี่โมง
>>8 ถ้าตามปกติคนเล่นเน็ตเยอะก็ช่วงหลังทุ่มนึง ถ้าจะเอาคนเห็นเยอะๆก็ช่วง 19.00-21.00 กุว่าน่าจะพีคสุด
>>5 พวกทฤษฎี สำหรับกุเลยนะ กุชอบแบบไม่ยัดเยียดเกินไป ใช้วิธีการแสดงเหตุการณ์ให้เห็นภาพแล้วค่อยๆอธิบายทีละจุดหรือมาเฉลยทีหลังก็ได้ ถ้ามาแบบยาวเหยียดนี่จะน่าเบื่อ กุก็กะเขียนแนวๆนี้เหมือนกัน แบบเน้นสาระหน่อยๆ แต่ไม่แฟนตาซีนะ กลัวเหมือนพวกเมิงเหมือนกัน กลัวว่าจะน่าเบื่อ ก็ต้องหาไรมาแซมๆให้ดูไม่เบื่ออยู่ ปวดหัวอยู่ 555
ส่วนเรื่องพล๊อตกุว่าถ้าเน้นเรื่องความสัมพันธ์ตัวละครให้อินมากขึ้นน่าจะโอเคขึ้นนะ ค่อยๆปูให้มีเหตุผลในการเกิดสงคราม เพราะตามปกติ ประชาชนทั่วไปมักไม่ชอบสภาวะสงครามอยู่แล้ว ยกเว้นเป็นประเภทชื่นชอบการต่อสู้ เรื่องตัวละครถึงรู้ว่าจะตายแต่กุว่าควรใส่ใจนะ กุคิดว่าถ้าคนแต่งเองยังไม่อิน คนอ่านก็คงจะไม่อินหนักกว่าอีกน่ะ คือกุก็มีตัวที่กะไว้ว่าจะให้ตายอยู่เหมือนกัน แต่ก็อยากให้แบบตายแล้วยังมีคนนึกถึงอะไรแบบนี้ กุไม่ค่อยอยากทิ้งๆขว้างๆตัวละครเท่าไหร่ คือคิดชื่อนานไง 555+
>>6 แต้งกิ้วมากที่แนะนำ
เรื่องของโม่งเราว่าพล็อตโอเคอยู่นะ ชอบแนวที่มันให้อารมณ์เหมือนถูกพันธนาการ จำกัดเสรีภาพ
แต่เขียนเรื่องว่ายากแล้ว การทำให้คนเข้าถึงเราว่ายากกว่า ยังไงก็สู้ๆ
>>9 แนวนี้เขียนยากจริง ถ้าไม่แฟนตาซีเราว่ากลุ่มผู้อ่านจะจำกัดขึ้นไปอีก คือจะมีแต่คนอายุ 20+ อ่านละ อาจจะเข้าถึงผู้อ่านยากขึ้น
แต่เฮ้ย ขอบใจมากกกก ก็คิดอยู่ว่ามันขาดอะไรไป ขาดจุดเด่นให้ตัวละครมีความน่าจดจำและนึกถึงนี่เอง เรื่องชื่อนี่คิดยังไงให้ออกมาดูดีอ่ะ เราคิดชื่อตัวละครได้กระจอกสัสๆพอมาอ่านเองแล้วชื่อยังกะตัวประกอบ 555 ส่วนตัวนี่ก๊อบชื่อมาจากประวัติศาสตร์ยุคกลางทั้งนั้น - -
เอ้อ ขอถามอีกหน่อย ถ้าเป็นนิยายแนวสงคราม คนส่วนมากจะนึกถึงเรื่องแนวตัวเอกเทพบู๊แหลกอะไรงี้ช้ะ แต่เราไม่คิดงั้นอ่ะ คือสงครามมันควรจะลงลึกมากกว่าแค่ต่อสู้กัน เช่นแสดงให้เห็นถึงความโหดร้าย ชิงไหวชิงพริบไรงี้ ซึ่งพอเริ่มแต่งไปฝ่ายตัวเอกมันไม่ควรจะขาวสนิท ควรจะเป็นสีเทาๆมากกว่าเพราะไม่มีฝ่ายไหนดีฝ่ายไหนเลว ต่างฝ่ายต่างก็สู้กันเพื่อความอยู่รอด แต่เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้นิยายดูดาร์ค ดูมืดมน เพื่อนโม่งคิดว่ายังไงกัน?
>>11 เขียนถึงความจำเป็นของการกระทำพระเอกสิ อย่างสมมติพระเอกส่งคนไปลอบสังหารอีกฝ่าย แล้วคนที่ลอบสังหารทำงานสำเร็จแต่ถูกจับได้ โดนฆ่า พระเอกรู้ข่าวตอนอยู่กับคนอื่นก็ทำหน้านิ่งๆ เย็นชา แต่พออยู่คนเดียวก็แสดงอาการเจ็บปวดหัวใจ แบบเสียใจกับการกระทำของตัวเอง แต่ถ้าไม่ทำเรื่องเลวร้ายก็อาจจะตามมาอีกมาก คล้ายกับสถานการณ์บีบบังคับให้ทำ คนอ่านจะได้รู้สึกเห็นใจพระเอก แต่ถ้าไม่มีเหตุผลรองรับ คนอาจจะบอกว่าพระเอกโรคจิต แนวดาร์คแน่นอน >>> แบบนี้มันน่าเบื่อนะ ออกซูด้วย
>>17 โอเค
เพื่อนโม่งเราคนเดิมนะ คือมันเป็นแนวสงครามแหละ แต่อยากรู้ว่าถ้าตอนเริ่มเรื่องมา เป็นแนวสดใสครอบครัวอบอุ่น ตัวละครต่างๆน่ารัก ฮีลลิ่งดีต่อหัวใจ
แต่พอเริ่มดำเนินเรื่องไปก็เริ่มมืดมน ตัวละครต่างๆในครอบครัวค่อยๆหายไปเรื่อยๆ จนเหลือตัวเอกเพียงคนเดียว
แล้วไปมืดมนถึงขีดสุดในตอนท้ายๆคือคนมากมายและตัวละครสำคัญตาย โดนจับไปฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ นี่จะโดนคนอ่านด่ามั้ย - -
คือคิดว่าพยายามใส่เหตุผลการตายของตัวละครแต่ละตัวมาจนไม่มีจุดบอดแล้ว แต่พอมาอ่านๆดูมันตายมากเกินไปจนจะเหลือแค่ตัวเอกคนเดียวแล้ว
ส่วนที่โดนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เองก็ใส่เหตุผลอันเหมาะสมตามแบบสงครามที่มีคู่ศึกเป็นพวกบ้าอำนาจ ชาตินิยมแล้วด้วย คือนิยายสงครามมืดมนจนเรียลไปนี่จะดีมั้ยนะ
>>19 มันก็มีกลุ่มคนที่ชอบเรียลๆนะถ้าเหตุผลแน่นพอมันก็โอเค สงครามไม่มีคนตายเลยมันก็ไม่ใช่ปะวะ แต่ก็ไม่ใช่แบบเมะบางเรื่องที่จบแบบที่ผ่านมาเรียกว่าอะไร พอจะนึกออกมะที่คนด่าๆกันเยอะ ก่อนอื่นต้องระบุไว้เลยนะว่าแนวไหน คนอ่านจะได้ไม่เข้าใจผิดคิดว่าไม่ดราม่าแล้วมาด่าทีหลัง
เอานิยายลงที่ไหนดีที่ไม่ใช่เด็กดี คือกูแค่หมั่นไส้ส่วนตัว มันมีเว็บที่ดีกว่านี้มะ หรือลงๆแม่งไปเหอะ?
เพื่อนโม่ง หนังสือคลังคำนี่ดีป่ะ ซื้อแล้วคุ้มไหม
>>27 คลังคำ น่าจะมีเฉพาะร้านนายอินทร์ https://www.naiin.com/product/detail/190307/
เห็นพิมพ์ใหม่แล้วโมโห กูตามล่าตามหามาหลายปีไม่มีพิมพ์ใหม่ พอล่าจนเจอ ได้มาไม่กี่เดือน ตีพิมพ์ใหม่ เพิ่มศัพท์ใหม่ แม่ง
ถามห้องไหนได้บ้างเนี่ย คือเพิ่งเห็นข่าวที่โครงการนักเขียนหน้าใสประกาศว่ามีนิยายเรื่องนึง โดนตัดสิทธิเพราะไปดัดแปลงนิยายเรื่องอื่นมาอ่ะ ใครพอจะรู้เรื่องบ้าง?
>>30 กูเจอแต่ของในเฟสแค่นี้เองว่ะ https://www.facebook.com/jamsaiteenwriter/photos/rpp.293243310799926/458024597655129/?type=3&theater
ประกวดปีนี้กูไม่ตามว่ะ เพิ่งได้ยินข่าวเลยไปคุ้ยดู มีเม้นนึงในหน้านิยายตั้งข้อสังเกตว่าไดอะล็อกการบรรยายของเรื่องคล้ายกับมังงะญี่ปุ่น
ซึ่งกูก็ไม่ได้ตามดูมังงะสมัยนี้ เลยไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แล้วประเด็นของเรื่องคือการมองเห็นด้ายแดง ไม่รู้เหมือนกันว่าไปคล้ายกับการ์ตูนหรือนิยายเรื่องไหน
อาจจะเป็นการลอกฉากจากเรื่องอื่นมาลงก็ได้มั้ง
อัพเดตล่าสุด เจ๊แตมรี่โพสต์ตอบว่าไปคล้ายการ์ตูนในโค่เรื่องนึง
ทำกันเป็นเรื่องปกติแล้วมั้งในเด็กดีก็มีพวกก๊อปแต่ได้รับความนิยมอยู่เพียบ
อืม เดี๋ยวนี้กูเขียนอะไรไม่เกินพันคำเลยว่ะ พอเขียนแบบไม่อีดิตก็ยังถึงอยู่หรอก แต่พอจะอีดิตนี่ตัดออกไปเยอะ ไหนจะเรื่องคำซ้ำ คิดคำบรรยายไม่ออกอีก ยิ่งเขียนยิ่งสั้น อย่างล่าสุดเขียนไปได้แปดร้อยกว่า อีดิตเสร็จเหลือห้าร้อยกว่าคำเองแฮะ เฮ้อ
เออ เพราะยังงี้ด้วยมั้งกูถึงเขียนเรื่องยาวไม่ได้ซักที แค่เรื่องสั้นกว่าจะถึงพันคำก็เค้นแทบตาย กูห่างไปนานกับอ่านน้อยลงด้วยก็น่าจะมีส่วนสินะ นี่กูเพอร์เฟคชั่นนิสไปป่าววะเนี่ย
เพื่อนโม่งกูจะสามารถหาข้อมูลเรื่อง bdsm จากไหนบ้างแบบเล่นกันยังไง มีข้อควรระวังยังไง อะไรแบบนี้
คงต้องเข้าสู่โลกมืด สายการ์ตูนมังงะของยุ่น สายโยมังงะของเกาหลี มีให้ศึกษาเป็นเพียบ
ส่วนเป็นหนังแสดงของคนนี่กูว่าไม่ค่อยน่าดูเท่าไร แบบมันขาดการบรรยายความรู้สึกอะไรบางอย่างไป
มึง เขียนนิยายนี่มันต้องยึดความต้องการตัวเราหรือคนอ่านวะ เห็นคอมเม้นอยากได้แบบนู้นแบบนี้แล้วกูก็ชักไม่มั่นใจแล้วดิ
ตอนแรกก็ไม่คิดอะไรหรอก เห็นบ่อยๆเข้ามันก็นอยด์วะ นั่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่ชอบ คนนี้พระเอกเหรอไม่เอา อยากได้อีกคน จะเปลี่ยนก็ต้องโละหมด เปลี่ยนนิสัยก็หลุดคาร์อีก เห้อ
ระบายความในใจเกี่ยวกะนิยายลงโม่งนี่จะรกไหม
>>42 ถ้ายึดคนอ่านจะได้ตลาด แต่คนอ่านยิ่งมากก็ยิ่งมีความต้องการหลากหลายไม่มีทางที่จะสนองได้ครบทุกความอยาก พอเขียนให้ถูกใจได้ประเด็นหนึ่งก็จะมีประเด็นอื่นมาด่าใหม่ได้เรื่อยๆ ความละโมบตะกละตะกลามของคนอ่านไม่เคยพอเพียง ยิ่งในยุคนี้สันดานระบายลงคีย์บอร์ดอย่างเมามันไม่สนใจผู้เขียน ผรุสวาจาพ่นออกมาบ่งบอกรากเหง้าการเลี้ยงดูเต็มหน้าจอ
ยึดตัวเองจะได้แนวทางและตัวตน เขียนจากตัวเอง รับผิดชอบผลงานตัวเอง ความภูมิใจว่าเกิดจากตัวเอง แต่อาจจะขายไม่ออก
https://www.facebook.com/pippopippii/posts/10158199849990263?__mref=message_bubble
แวะมาแปะให้ เผื่อมีประโยชน์ เกี่ยวกับนิยายออนไลน์ลองอ่านดูนะ
คือมึง การที่เราอ่านผลงานคนอื่นแล้วได้แรงบันดาลใจอยากแต่งแนวนั้นบ้าง มันต้องเหมือนแค่ไหนวะถึงจะไม่ดู "ลอก" เกินไป
แล้วเราต้องออกตัวว่าได้ อินสไปร์มาจากเรื่องนั้นแต่เนิ่นเลยหรือค่อยบอกทีหลังตอนคนอ่านทักดี
>>48 บอกไปก่อนเลยดีกว่า
สำหรับกูถ้ามันแบบถ้ามันยังกว้างๆอยู่ได้แรงบันดาลใจจากแฮรี่งี้ เป็นคนสำคัญแล้วเข้ารร.เวทย์(หรือพลังพิเศษอื่นๆ)เลือกหอเจอนู้นนี้นั่นในรร. กูจะยังถือว่าแรงบันดาลใจนะ
แต่ถ้าเจอแบบรายละเอียด เป็นคนสำคัญเข้ารร.ต้องเข้าทางลับไปหยุดอาจาย์ แต่จริงๆจารที่สงสัยไม่ใช้คนร้ายคือจารอีกคน อะไรงี้กูจะรู้สึกว่าแม่งลอกแล้ว
ก็อดฟาเธอร์ ก็เป็น กระบี่ ผีเสื้อ ดาวตก ของโกวเล้งได้ อันนี้ใกล้เคียงมาก
ไม่รู้ถามแล้วจะมีคนตอบหรือเปล่า
แบบเพิ่งได้เซ็นสัญญาครั้งแรกแล้ว
คือ ใครรู้บ้างว่า นักเขียนปกตินี่ สนพ. จ่ายค่า ebook ให้ล่าช้าสุดกี่เดือนหรือกี่ปี
แบบได้ตีพิมพ์นะ แต่ไม่ได้เงินส่วนแบ่ง ebook มาจะครบปีหนึ่งแล้ว
มันแปลกมากไหม งานก็ได้ป้ายประดับด้วย
เลยงงๆ ว่า สนพ. อื่น เป็นยังไงกันบ้าง
>>59 อันนี้ไม่รู้จริงนะ
คิดว่ามันแปลกมากๆ อยู่ ยอดอะไรก็ไม่แจ้งทั้งนั้น
เวลามันนานมากเกิน
คิดในใจว่าเรื่องที่เขียนนี่ขายดีด้วยนะ แบบขึ้นหน้าแรกในเวลาไม่กี่วัน
แต่ไม่เคยได้รับรายงานอะไรเลย
คิดว่าคงมีปัญหาแล้วละ
รู้งี้ทำมือขายเอง สบายใจกว่าต้องมาเครียดว่าจะถูกโกงหรือเปล่าอีก
กูอยากลองแปลอะไรหน่อย ถามหน่อยว่าเวลาเจอประโยคที่ในหัวอะเข้าใจแต่แปลไม่ถูกจะทำไง กับเวลาแปลได้ประโยคแล้วแต่แข็งสัสๆเลยนี้จะทำไง
>>58 ปกติสัญญาที่ไม่มีระบุรายได้อีบุ๊คจะเสร็จสนพ. หมดในแง่เอาไปบอกว่าเอาไปต่อยอดส่งเสริมการขาย สำนักพิมพ์จะถือว่าหนังสือตัวเล่มเขาลงทุนเยอะเขาจะเอากำไรฟรีๆ จากอีบุ๊ค
ก่อนเซ็นต้องถามแต่แรกเลยว่ารายได้ที่นอกเหนือสิ่งพิมพ์ได้หรือเปล่า? บางทีเอาไปทำละครนักเขียนไม่ได้อะไรเลยก็มี สำนักพิมพ์ที่แฟร์จะบอกรายละเอียดเลยว่าอะไรที่เขาให้ได้ เขาไม่ให้ และอีบุ๊คนี่เองที่เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้นักเขียนไปทำหนังสือกันเองหมดเพราะโดนหักแล้วหักอีกเหลือกลับมาถึงนักเขียนน้อยกว่าอัพเอง
ถ้าได้รายได้จากอีบุ๊คจากสนพ. ปกติเขาจะเคลียร์ยอด 6 เดือน / ปีละครั้ง หลังจากหนึ่งปีไปแล้วอีบุ๊คจะขายได้น้อย (มาก) ลืมๆ เบลอๆ ได้เลยเพราะถ้ายอดไม่เยอะเขาก็ไม่โอนหรือแจ้ง
ปล. ขายดีบางเว็บแค่หลักร้อยนะมึง อย่าไปเชื่อมาก
หลักร้อยเล่มก็หลายพันเกือบๆหมื่นอยู่นะ ถ้าแบ่งแฟร์ๆ ราคาเล่มเดี๋ยวนี่ไปที่ 250-300 บ. กันแล้ว
ได้ตีพิมพ์มันก็ดีตรงได้เหมาจ่ายในแบบรูปเล่มมาส่วนหนึ่ง
แต่ปกติสัญญามันจะแบ่งเซ็นสองอย่าง ถ้าถามกูที่เคยผ่านการตีพิมพ์มาเหมือนกัน ยุคนี้ถ้าแน่ใจฐานแฟนคลับตัวเอง ออกebook เองได้พอๆกับตีพิมพ์แล้ว
แถมสบายใจกว่าอีก เพราะขายebookได้เต็มๆในงานที่เราเขียน มีทุนก็ทำมือเองสักส่วนหนึ่ง แม้จะหลัก200-300เล่ม ก็ดีกว่าไปถูก สนพ. เหมาจ่าย
กูเจอแนวทางเขียนของกูแล้ว กูคิดว่าจะเอาดีทาง Fictional History แบบ World of ice and fire วะ
กูชอบประวัติศาสตร์ อ่านมาเยอะ ทั้งแบบวิชาการและกึ่งวิชาการ กูชอบ World Building ให้เสร็จหรือเกือบเสร็จแล้วค่อยเขียนนิยาย แต่ยิ่งทำยิ่งทำให้กูเขียนนิยายไม่ออก เขียนได้แต่พล็อต พอลองมาเขียนพล็อตแบบหนังสือประวัติศาสตร์แล้วสนุกกว่าที่คิด เขียนไหลลื่นดี กูเลยอยากรู้ว่ามีหนังสือแบบนี้อีกปะ จะได้เอามาเป็นแนวทาง
>>63 เดี๋ยวนี้น่าจะระบุสัญญา ebook หมดแล้วนะ
ส่วนตัวคิดว่าสมัยนี้ระบบขายเหมา น่าจะมีน้อยแล้วมั้ง นอกจากไปหานักเขียนหน้าใหม่ๆ ขึ้นมา
ส่วนนักเขียนที่พอรู้เรื่องการทำ ebook ก็น่าจะพอรู้เรื่องผลประโยชน์บางแล้ว
แต่คนที่มาถามว่าไม่ได้รายงานอะไรเกือบปีนี้ ผิดปกติมากๆ แล้วนะ
สนพ. น่าจะมีปัญหาแล้วล่ะ
มีใครเคยขายพล็อตป่ะ กูนึกพล็อตเรื่องสั้นออกแล้วบอกเล่นๆว่าจะขายพล็อตแต่มีคนอยากซื้อ แต่กูไม่รู้ว่าเค้าซื้อขายกันเท่าไหร่
ห้องไหนคุยเรื่อง ARC award บ้างครับ
เจอตารางแบ่งอาชีพ (แฟนตาซี) น่าสนใจดี http://weareadventurers.tumblr.com/image/139671868489
เพื่อนโม่งมีนิยายรึประวัติศาสตร์แนวสงครามทหารม้าเด่นๆแนะนำมั้ยอ่ะ กำลังเขียนนิยายสงครามอยู่ พอมาถึงทหารม้ามันดันตันซะงั้นกลัวไม่เรียล
>>77 >>78 แต้งกิ้วค่ะ เพื่อนโม่ง ฮัสซ่านี่สุดยอดจริง
เอ้อ ขอถามอีกรอบนึงสิ คิดว่าถ้าเราเขียนแบบนี้จะโอมั้ยอ่ะ
คือศึกระหว่างสองฝ่ายจบลงแล้ว ฝ่ายนึงชนะแบบรู้ผลไปเรียบร้อยแล้ว แต่ฝ่ายชนะต้องการรักษาน้ำใจของฝ่ายแพ้ที่สู้กันมายาวนาน
โดยการหยิบอาวุธ ไปคืนให้กับมือแม่ทัพของอีกฝ่าย คนอ่านเขาจะเก็ทมั้ยเรื่องเกียรติยศอะไรแบบนี้ รึควรจะนำเสนอยังไงดี
>>79 ขึ้นอยู่กับเซ็ตติ้งโลก + สถานการณ์ล้วน ๆ อ่ะ แต่ขอฝากคำถามให้ไปลองคิดดูเผื่อจะช่วยให้เขียนง่ายขึ้น สาเหตุของศึกคืออะไร ศึกมันดำเนินไปยังไง และจบลงแบบไหน ความเสียหายทั้งสองฝ่ายเท่าไหร่ เป็นศึกจริง ๆ หรือเป็นแค่การประลองก่อนเริ่มระดับความจริงจังของศึกมีแค่ไหน คนที่นำทัพทั้งสองฝ่ายมียศอะไร มีเจ้านายมั้ย หรือว่าเป็นกษัตริย์นำทัพเอง แม่ทัพฝ่ายที่ชนะจะแน่ใจได้ยังไงว่าฝ่ายที่แพ้จะไม่หาวิธีเล่นงานกลับ หรือวางกับดัก หรือไม่มีพลหน้าไม้ซุ่มยิงรอเก็บ
>>79 เขียนอธิบายธรรมเนียมของโลกนั้นในสายตาของผู้แพ้สิ
มีกรณีที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ชนเผ่าบางเผ่ามีธรรมเนียมการยื่นของขวัญแรกพบหน้า อย่างเช่นยื่นกล้วยให้ ถ้าอีกฝ่ายรับแปลว่าเป็นมิตร มันมีนัยยะอีกอย่างที่แฝงอยู่ คือการกินของอย่างเดียวกันหมายถึงพวกเดียวกัน ใน GoT ก็มีธรรมเนียมให้แขกกินขนมปังกับเกลือ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักเหตุผลเดียวกันนี้ละ
อันนี้เป็นเรื่องที่ 2 เองน่ะ เรื่องแรกปล่อยสุ่มๆไปแล้วมันฟลุคอะไรไม่รู้คนตามขึ้นมา เรื่องนี้เลยกะจะให้มันดูพัฒนาขึ้นมาหน่อย
เจ้า - จ้าว ใช้ต่างกันยังไง
จ้าว (โบ) น. เจ้า.
เจ้า ๑ น. ผู้เป็นใหญ่, ผู้เป็นหัวหน้า, เช่น เจ้านคร; เชื้อสายของกษัตริย์นับตั้งแต่
ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป, บางแห่งหมายถึงพระเจ้าแผ่นดินก็มี เช่น เจ้ากรุงจีน;
ผู้เป็นเจ้าของ เช่น เจ้าทรัพย์ เจ้าหนี้; ผู้ชํานาญ เช่น เจ้าปัญญา เจ้าความคิด
เจ้าบทเจ้ากลอน; มักใช้เติมท้ายคําเรียกผู้ที่นับถือ เช่น พระพุทธเจ้า เทพเจ้า;
เทพารักษ์ เช่น เจ้าพ่อหลักเมือง.
เจ้า ๒ ส. คําใช้แทนผู้ที่เราพูดด้วย สําหรับผู้ใหญ่พูดกับผู้น้อยอย่างสุภาพหรือ
เอ็นดู, เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๒ เช่น เจ้ามานี่, คําใช้แทนผู้ที่เราพูดถึง,
เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓, มักใช้เข้าคู่กับคํา นั่น เป็น เจ้านั่น เช่น เจ้านั่น
จะไปด้วยหรือเปล่า.
เจ้า ๓ น. คำนำหน้าชื่อเพื่อแสดงว่าเป็นเชื้อสายเจ้านายฝ่ายเหนือ เช่น
เจ้าดวงเดือน; คํานําหน้าที่ผู้ใหญ่เรียกเด็กหรือผู้น้อย เช่น เจ้าหนู
เจ้าแดง เจ้านี่.
เจ้า ๔ น. ผู้ค้าขายสิ่งของต่าง ๆ เช่น เจ้าผัก เจ้าปลา, ลักษณนามหมายความว่า
ราย เช่น มีผู้มาติดต่อ ๓ เจ้า.
และ
https://pantip.com/topic/30208430
สรุป เหมือนกัน
คือกูสงสัยว่า ทำไมบางคนถึงใช้คะค่ะไม่ถูกวะ กูเจอในนิยาย กระทู้ตามเน็ต แล้วหงุดหงิดอะ
>>95 เนื่องจากกูใช้ไม่ถูกกูจะตอบให้(คนอื่นอาจไม่ใช้แบบเคสกู) เพราะอ่านแล้วมันรู้สึกเสียงไม่ต่างกัน คือแค่มีคะ/ค่ะ นะ/น่ะ ละ/ล่ะ อะไรจำพวกนี้มานี้กูอ่านออกเสียงไม่เป็นหมดเลยทุกอย่างออกเสียงเหมือนกัน เอาจริงคือกูก็พึ่งมารู้ตัวจนคนบ่นเยอะๆแล้วแบบ หือ มันเสียงต่างกันด้วยเหรอ?
ปล.กูควรบอกมั้ยว่ากูผันวรรณยุกต์ไม่เป็น
ปปล.กูพึ่งมาแยกคะ/ค่ะออกได้ด้วยคำว่าโยคะ(มีคนบอก) แต่กูก็นึกถึงโยคะแค่ตอนที่ต้องพยายามเขียนให้ถูก เวลาอ่านปกติกูก็ยังแยกคะ/ค่ะในหัวไม่ออกเหมือนเดิม
กูเห็นคนทวิตว่า จ้ะ เนี่ย ทุกคนออกเสียงเป็น จ่ะ กันอยู่แล้ว กูเลยสงสัย พวกมึงออกเสียงจ้ะว่ายังไงกันวะ ของกูจ้ะก็จ้ะ จะก็จะ และจ่ะเนี่ยไม่มี
>>95 สมัยเด็กน้อย กูเคยถามเพื่อนที่เรียนภาษาไทยมาด้วยกันว่าทำไมถึงเขียนนะค่ะในประโยคคำพูด เพื่อนกูบอกว่าคนอื่นเขาก็เขียนกันแบบนี้ แล้วจากนั้นกูก็เห็นคำว่านะค่ะมากขึ้นเหมือนเป็นเทรนด์อะไรสักอย่าง กูก็เลยทึกทักเอาเองว่าคำว่านะค่ะเนี่ยมันเกิดเพราะคนใช้ตามๆกันมาจนชินไปแล้ว แต่ถ้าค่ะกับคะ ที่ใช้ไม่ถูกเฉยๆนี่กูคิดว่าเขาใช้ผิดเพราะผันวรรณยุกต์ไม่ถูกเหมือนกัน
ส่วนนึงเพราะคนแยกไม่ออกระหว่างภาษาพูดกับภาษาเขียนด้วยมั้ย
คิดแต่ว่าวิบัติเพื่ออารมณ์ ออกเสียงแบบไหนเขียนแบบนั้น ไม่ยึดว่ามันถูกมั้ย เขียนแบบนี้น่ารักกว่า บลาๆๆ
>>95 การล้มเหลวในการสอนเรื่องการผันวรรณยุกต์ ซึ่งปัจจุบันเกิดปัญหามากเพราะเด็กไทยรุ่นใหม่ไม่รู้อะไรคืออักษรสูง กลาง ต่ำ และไม่เข้าใจภาษาทางการกับภาษาพูด
>>97 เหมือน อะ ไม่มี อ่ะ
>>101 +1
>>104 มั้ยคือภาษาพูด ไหมคือภาษาเขียน สามารถอนุโลมกรณีในเครื่องหมาย "..."
สังเกตอีกคำที่กำลังจะเป็นปัญหา "เมื่อไหร่" เห็นเริ่มพิมพ์ตัวนี้กันเยอะขึ้น
>>106 เวลาผันเสียงวรรณยุกต์ เริ่มต้นลองผันอักษรกลางคำเป็นก่อนอ เช่น
กา. ก่า. ก้า. ก๊า. ก๋า
เสียงมันจะไล่เคล้ายโน้ตดนตรี เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท. เสียงตรี เสียงจัตวา
ส่วนรูป ก็ที่เราเขียน รูปสามัญ(ไม่มีวรรณยุกต์). รูปเอก (่). รูปโท (้). รูปตรี (๊). รูปจัตวา(๋)
วิธีที่ง่ายคือการไล่เสียงเอาให้ครบ. เวลาจะใช้งานก็ค่อยนึกถึงหลักภาษาที่เป็นข้อกำหนด
อย่างอักษรสูง อักษรต่ำ ใช้แต่ไม้เอก กับไม้โท เท่านั้น คำไหนไม่มีใช้ตัวอื่นแทนเพื่อให้เสียงครบ
ผันไม่เป็นถ้าอ่านไม่มากแต่เด็กเป็นเรื่องธรรมดา คาดว่าเป็นผลผลิตของยุคบัตรคำ จำเป็นคำๆ สะกดแบบจำการเรียงลำดับจากซ้ายไปขวา ไม่ใช้ตัวสะกด
การจำคำเยอะๆ หลายๆคนจะมีปัญหาการเชื่อมโยง มันเป็นเรื่องของสารเคมีในสมอง ทำให้การเชื่อมของสมองสองซีกทำได้ยากหน่อย
ไม่เกี่ยวกับไอคิว อีคิว หรือสารพัดคิว
>>107 อ่านน่าจะเยอะละมั่ง แต่มานึกดูการอ่านออกเสียงในหัวของกูมันก็บรรลัยตั้งแต่เด็กเลย กูสามารถอ่านเซราวี กลายเป็นเดวิด(หรืออะไรจำพวกนี้)ได้หน้าตาเฉย
>>108 นั้นแหละที่กูทำไม่เป็น กูสามารถผัน กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า เป็น กา ก๋า ก๊า ก่า ก้า ได้หน้าตาเฉยมาก(ตอนทำข้อสอบกูจำได้ว่าเจอเรื่องนี้ปุ๊บก็มาจ้ำจี้มะเขือเปาะเลย)
ปล.กูว้ากูยังอยู่ในบุคที่สอนแบบ ม เอือ ง เมือง อะไรงี้นะ
ปปล.อนึ่งกูก็อยากแก้แหละ แต่ส่วนหนึ่งในหัวกูก็บอกว่า เรื่องแค่นี้ทำไมต้องแก้วะ(แย่มากๆ)
Ky ขอถามโม่งที่เคยตีพิมพ์ ถ้านิยายมีภาคต่อ 4 ภาค แต่กูแต่งจบ 2 ภาค ส่งให้สนพ.พิจารณาได้ปะวะ หรือต้องแต่งให้ครบสี่ภาคแล้วค่อยส่ง
>>109 ไม่ใช่หมอ แต่ขอเดาจากข้อมูลว่าน่าจะเป็นแอลดีแบบอ่อนๆไม่รุนแรง เลยติดขัดแค่การเชื่อมโยงเสียงกับตัวอักษร ถ้าอยากแก้แนะนำให้ไปดูยูทูปที่สอนการผันวรรณยุกต์ของเด็กประถม น่าจะเริ่มที่ ป.2 เค้าสอนไล่เสียง แต่ทำใจนิดนึงสอนเด็กเล็กๆ อาจน่าเบื่อบ้าง
ต้องฝึกอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนๆ แต่ไม่นาน ประมาณให้สมองมันสร้างลิงค์ได้ สามเดือนน่าจะได้ผลเน้นความสม่ำเสมอ
หมอเคยเอาภาพmri ของสมองก่อนและหลังการฝึก มาให้ดูการทำงานของสมองที่เปลี่ยนไป
จ่ะ กุใช้กรณีเป็นคำพูดประมาณประชดนิดๆ ประมาณว่า จ่ะ เอาที่สบายใจ ประมาณนี้ แต่ถ้านับตามจริงคำนี้มันไม่มีหรอก ถ้าเขียนนิยายก็ไม่ควรจะใช้ เหมือนเป็นคำสำหรับแชททั่วๆไปมากกว่า ส่วนออกเสียงของกุ จ้ะ จ๊ะ ไม่เหมือนกันว่ะ เหมือนเจ้ เจ๊ ไม้โทสำหรับกุเสียงจะต่ำกว่าหนึ่งระดับ
ส่วนคะ/ค่ะ เมิงควรทำใจตั้งแต่ครูสมัยใหม่ยังใช้ผิดๆถูกๆละว่ะ กุนี่งงเลยเรียนภาษาไทยกันมายังไงวะ น่าจะเกี่ยวกับพื้นฐานการสอนแล้วล่ะกุว่านะ พวกนี้ เพราะกุสังเกตุดูรุ่นหลังๆกุไปนิดหน่อยจะยังไม่มีปัญหากัน ไม่นับพวกสก๊อยที่จงใจนะ พอรุ่นหลังจากนั้นไปปั๊บ คืออ.ที่สอนรุ่นเราๆเกษียณไปหมดแล้วไง เวลากุไปดูรร.เก่านี่แบบมีแต่อ.วัยรุ่นๆ ผลก็ตามน้านนน แต่มีที่ดีๆมีไหมก็คงมี แต่สมัยนี้ไม่เข้มงวดเท่ารุ่นก่อนๆแล้วควรจะทำใจ อ.ทำไรมากไม่ได้เลยตีก็ไม่ได้ นุ่นนี่ก็ไม่ได้
พวกคำพูดคำเขียนกุยังมึนๆเลยถึงเวลาก็ไปเปิดเช็คเอาง่ายกว่า บางทีใช้จนชินก็ลืมไปว่านี่มันคำสำหรับพูด
กูเห็นเรื่องการผันเสียงวรรณยุกต์แบบผิดๆแล้วเซ็งว่ะ มันเป็นเรื่องที่เรียนตั้งแต่ประถมเลยนะ โตมาแล้วยังใช้ไม่เป็นอีกเหรอ อย่างคนแก่ๆเรียนน้อยอะไรอย่างงี้ยังพอว่า แต่คนสมัยนี้ที่มีการศึกษาหรือเด็กที่เรียนพิเศษมาเยอะแยะยังใช้ผิดอีก แสดงว่าอ่านหนังสือไม่ออกป้ะวะ ไม่งั้นมันก็ต้องใช้รูปวรรณยุกต์ถูกเสียงดิ ถ้าเสียงมันออกเหมือนกันจะใช้วรรณยุกต์ต่างกันทำไม
ส่วนคำว่า จ่ะ อักษรกลางไม่มีคำตายวรรณยุกต์เอกนะถ้ากูจำไม่ผิด อ่ะ จ่ะ อะไรพวกนี้ใช้ไม่ได้ มีช่วงหนึ่ที่มีคนตั้งมู้ในเด็กดีเพื่ออธิบายอะ ลองค้นดู
กูเจอปัญหานี้มานานมากจนรู้สึกตัวเองเป็นพวกหัวรุนแรงแล้วอะมึง กูรู้สึกว่าคนเขียนคะค่ะผิดมันโง่ เรื่องง่ายๆแค่นี้ก็ทำไม่ได้ ยิ่งเตือนแล้วไม่ปรับปรุงกูก็ยิ่งหงุดหงิด
ยังไงกูก็เลิกมองคนใช้ผิดว่าโง่ไม่ได้สักที ทำไงดีวะ
กูหงุดหงิดเพื่อนกูมาก คือกูก็ไม่ได้อยากเป็นแกรมม่านาซีนะ แต่มั้ย-->ไม๊ คะค่ะใช้ผิด น่ะค่ะนะคะยิ่งไม่รู้เรื่อง วิจารณญาณก็เป็นวิจาลนยาน คือมึงช่วยค้นหาคำถูกก่อนพิมพ์ทีเถอะ ในหัวกูนี่ขีดตัวแดงรัวๆเลย
ไม้ยมกในคำพูดนี่เขียนยังไงวะ สงสัย "ยนยบ ๆ " กับ "ยนยบ ๆ"
แล้วเครื่องหมาย ? ! ก็แบบเดียวกันใช่ไหม กูไม่มีปัญหากับการบรรยายนะ แต่พอในวงเล็บแล้วดูไม่สวยแปลกๆ เลยไม่แน่ใจ
>>105 เมื่อไหร่ผิดยังไงว่ะ พจนานุกรมยังมีเลยมึง
http://www.royin.go.th/dictionary/
>>120 +1 ค่ะ คะไม่ถูกกูก็มองว่าโง่ว่ะ กูไม่รู้ว่ามีโรคอะไรแบบนี้ด้วย แต่ถ้ามึงเป็นโรคนี้แล้วรู้ตัวเวลาเขียนมึงก็ช่วยไปเปิดพจนานุกรมหน่อยได้ไหมวะ สรุปคือไม่โง่ก็ขี้เกียจสินะ
จ่ะ กูก็ไม่เข้าใจ มันต้อง จ้ะ นิ อีกอันก็ ชั้น ก็รำคาญมาก
ต้องโทษพวกสก๊อยแหละ ใช้คำผิดแล้วนึกว่าเท่ นาน ๆ เลยนึกว่าถูก
แต่ตอนนี้อย่างน้อย ปล่าว ก็ตายไปแล้วนะ ต่อไปพวกคำผิดอื่นก็อาจตายตามก็ได้ (สาธุ)
>>105 เมื่อไหร่ อ่ะถูกแล้วมึง ไม่ได้ผิดเลย กูหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นคนพิมพ์ว่า เมื่อไร ด้วยซ้ำ มึงลองอ่านออกเสียงดังๆ สิ แล้วมึงจะรู้ว่ามันผิดยังไง
>>123 คำว่ามั้ย ของมึงก็ผิด มันเป็นภาษาพูด ถ้าอยากให้ถูกต้องเป็น ไหม
กูรำคาญทุกครั้งที่เห็นคนพิมพ์อะไรเล็กๆ น้อยๆ ผิด (ถ้าพิมพ์ผิดไม่ได้ตั้งใจนี่เฉยๆ) มันบ่งบอกถึงสติปัญญาคนพิมพ์อ่ะ แต่กูก็ขี้เกียจไปนั่งไล่แก้ทุกคน ทำตัวเป็นแกรมม่านาซีนะมึง กูเลยปลง คิดซะว่า คนเราสติปัญญาไม่เท่ากันแล้วกัน
>>126 บางทีกูก็ใช้เมื่อไรนะ และออกเสียงสามัญว่า ไร ตามรูปที่เขียนด้วย ไม่ได้ออกเสียงเอกว่า เมื่อไหร่ คือใช้ตอนพูดเล่นๆกับคนสนิทกันเหมือนแบบภาษาโบราณไรเงี้ย ไปเมื่อไร ว่างเมื่อใด ฯลฯ
ส่วนมั้ยที่ >>123 พูดอะ น่าจะหมายถึงหงุดหงิดที่เขียนว่า ไม๊ ว่ะ เพราะ ม ม้ามันใช้กับไม้ตรีไม่ได้ ถ้าจะเขียนก็ต้อง มั้ย เวลาเห็นพวก ไม๊ ค๊ะ กูก็หงุดหงิดเหมือนกัน
แล้วถ้า "ไปตื๊บคนมา" ต้องเปลี่ยนไป "ไปกระทืบคนมา" รึเปล่า เพราะถ้าเป็นกระทืบมันไม่ได้สำนวนตัวละครเลย
ถามนิด ตอนนี้กุแต่งไปได้สักพักแล้วแต่ชื่อเรื่องยังไงก็นึกไม่ออกไม่ค่อยถูกใจ หรือไม่ก็ดูไม่เข้ากับเรื่อง ปกติมีหลักการตั้งกันยังไงบ้าง
KY หน่อยยย มีอาชีพไหนในโลกนี้ที่มันไม่ ต้องติดต่อสื่อสารกับคนอื่นมากป่ะ คือพระเอกกูมันต้องเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใครทำงานอยู่บ้านแต่มีเงินอ่ะ นอกจากนักเขียนแล้วกูนึกไรไม่ออกเลย
กราฟิคดีไซน์ ถาปนิก โปรแกรมเมอร์พอได้ป่ะ
กูกลัวการเขียนเรื่องยาวๆมาตลอด กูเคยเขียนแต่ตอนเดียวจบ บางทีก็สั้นบ้าง ยาวบ้างแต่ไม่เคบเกินตอนเดียวซะที กูอยากเขียนนะแต่กลัวจะวางพลอตไม่ถูกว่ะ กูไม่เก่งเรื่องอะไรที่มันซับซ้อนเอาซะเลย จะเขียนแค่สองสามตอนจบยังไม่ไหว พวกมึงมีอะไรจะแนะนำไหม แบบควรเริ่มต้นยังไงดี
>>126 เมื่อไร คือคำเก่าที่ถูกปะวะมึง เมื่อไร เท่าไร กระไร นั่นประไร
เมื่อไหร่ คือพิมพ์ตามเสียงที่พูดเพี้ยนกันมา จนกลายเป็นถูก
กูคิดว่าเป็นแบบเดียวกับ ฉัน ที่ออกเสียงเหน่อเป็นชั้น แล้วดันกลายเป็นคนที่เหน่อคือคนกรุงเทพ คนภาคกลางที่ออกเสียงฉันถูกต้องเลยกลายเป็นโดนล้อว่าเหน่อแทน
กุเจอปัญหาว่ะ ตอนนี้กุเอาแต่ build world ไปจนเกือบทั้งเรื่องละ แบบว่ามีเรื่องตรงกลางแล้ว แต่ไม่มีต้นเรื่องเลย ไม่มีตัวเอก สรุปกุมาผิดทางแล้วใช่มะ
>>150 ไม่หรอก ก็ค่อยๆประกอบไปทีละส่วนก็ได้เมิง ก็อยู่ที่จะดำเนินเรื่องแบบไหนมุมมองไหน ค่อยๆคิดไป ไม่ได้รีบนิ กุก็ช้าๆสโลวไลฟ์ ค่อยๆไปเหมือนกัน นึกตรงไหนออกก่อนก็เขียนไปก่อน ที่ไม่ออกก็ช่างมัน แล้วถ้ามันดูไม่เข้ากันก็ค่อยๆแก้ไปทีละนิดๆ ต้นเรื่องมันก็สำคัญ เมิงอาจจะเอาเหตุการ์ณพีคๆมาใส่ให้ดูน่าติดตามแล้วค่อยกล่าวย้อนก็ได้
Ky ถ้ากูจะขายนิยายเรท 15+ กูควรขายที่เด็กดีหรือนิยายรักวะ อย่าแนะนำธัญวลัย เพราะนิยายกูเรทไม่สูงขนาดนั้น
>>153 นิยายรักใช่เว็บนี้ปะ http://www.niyayrak.com
ระบบคล้ายเด็กดีนะ
>>157 ถ้าเซ็ตโลกไว้เป๊ะ สำนวนต้องเป๊ะตามด้วยนะ ให้อารมณ์แบบไฮ แฟนตาซีอะ คือมันจะมีลูกค้าเฉพาะกลุ่มที่ชอบเสพงานพวกนี้
ถ้าสำนวนไม่ดีพอ คนพวกนั้นมันก็อาจไม่อ่าน ส่วนพวกที่อ่านก็อาจเป็นนักอ่านที่คุณภาพรองลงมาหน่อย ซึ่งมึงอาจเจอคอมเมนต์เหี้ยๆ แบบ "อะไรกันนักหนา" ทำนองนี้ได้
กูมีพลอตมีเนื้อหาในหัวนะ แต่พอจะเขียน ทำไมมันตีกันจนเขียนไม่ออกเลยวะ หลายครั้งรู้สึกว่าตัวเองเขียนอะไรวกไปวนมาชอบกล บางทีก็รู้สึกเหมือนมันสื่อความหมายออกมาได้ไม่เต็มที่เหมือนอย่างที่ตั้งใจไว้ว่ะ แก้ไงดีวะ พอมีทางมั้ยเนี่ย 555
กูเขียนนิยายแนวจีนในเด็ก...ตั้งแต่สามสี่ปีก่อน ที่กระแสนังไม่แรงขนาดนี้ แต่ด้วยนู่นนั่นนี่ ทั้งปป่วยทั้งงาน อีกอย่างคือ กูรู้สึกว่า ตอนนี้ แนวนี้โหล บวกกับกูคิดว่า นิยายกูไม่จีนพอด้วย กูเลยดองยาว ทีนี้ มีคนมาทวง กูรู้สึกผิด แต่พอจะกลับไปแต่งต่อ ก็นึกถึงคำว่า จีนเสิ่นเจิ้น ลอยมาเลย ทำไงดีวะ ปล.กูรักนิยายของกูเรื่องนี้เพราะเป็นเรื่องแรกที่คนตามเยอะ จะลบทิ้งก็เสียดาย
>>162 เขียนให้จบ เพราะไม่ว่าจะดีเลิศยังไง ยังไงก็หนีไม่พ้นพวกสูงส่ง ที่วิจารณ์งานคนไทยว่าเป็นแค่จีนเสิ่นเจิ้นไปไม่ได้หรอก
แคร์มาก ปวดสมองเปล่า เขียนแค่ให้มีคนอ่านที่ชอบงานเขียนของเราก็พอ
เพราะไม่ว่าจะเขียนยังไง ถ้าเป็นเรื่องอยู่ในกระแส ก็จะถูกด่าว่าไปลอกเขามา เอาไว้ก่อนเสมอแหละ
ไปสายวายมา คนไม่ค่อยเหยียดงานคนไทยกันเองว่าเสิ่นเจิ้น เห็นแล้วรู้สึกสบายใจกว่าแยะ ถถถถ
แน่ใจเหรอว่าไม่มี ถามเพื่อความชัวร์เฉยๆนะ 555
ก้เขียนไว้นะว่า"ไม่ค่อย" กุรุ้แจ้ว่ามันมี แต่ห้อง801น่ารักจิงๆหนิ
ในนี้มีใครส่งผลงานไป ARC Award บ้างปะวะ?
>>162 กุก็เขียนอยู่นะ แต่กุเขียนสนองนี้ดตัวเอง ยังไม่ได้ลงเว็บ เพราะชอบอู้ ตอนนี้ก็อ่านๆเกลาๆไปเองก่อน พอใจแล้วไปสักครึ่งเรื่องกุว่าค่อยจะลง แต่ถึงกุจะแต่ง แต่กุก็ด่าชาวบ้านอยู่ดีนะ 555 แต่กุด่าพวกที่แต่งตามกระแสนะ แบบไม่หาข้อมูลห่าไรเลย กระทั่งนิยายแปลจีนยังไม่เคยอ่านงี้ ใช้คำสลับไปมา กุไม่ซีเรียสถ้าใช้คำไทยชื่อจีน แต่ความคิดตัวละคร สภาพแวดล้อมมันจีนก็โอเค ส่วนใหญ่ที่ด่าๆกันเพราะมันคือนิยายไทยชัดๆไง ทั้งความคิดตัวละคร สภาพแวดล้อมทางสังคม บลาๆ ยิ่งถ้าอ่านนิยายแปลมาเยอะๆมันจะอ่านๆไปตะหงิดๆไปเป็นจุดๆ ทำเอาหมดอารมณ์ กุอธิบายงงไหมวะ เหมือนพวกนิยายธีมฝรั่ง มาเฟีย บลาๆ น่ะแหละ แม่งความคิดไทยจ๋ามาเชียว แค่เปลี่ยนชื่อตัวละคร ถ้าคิดว่าไม่เข้าข่ายก็ปล่อยเบลอไป อย่าไปคิดมากเว้ย อีกอย่างหลายคนที่ด่าๆน่ะคาดหวังไง พอแบบเออมีคนชมเยอะลองไปอ่านดู ก็เจออารมณ์แบบนี้ แม่งก็เซงไง ที่สำคัญคือหลายรอบด้วย น๊านนานจะมีพวกงานดีออกมาที ก็จะแต่งช้า แต่กุไม่ซีเรียสเรื่องช้านะ ถ้ายังแต่งต่อแล้วคุณภาพกุโอเคกว่าพวกแต่งไวๆแล้วแบบ อืมมม
ช่วยกูคิดชื่อนิยายหน่อยสิเพื่อนโม่ง แต่งจนจบละแต่ก็ไม่รู้จะเอาชื่อไรดี
เรื่องย่อก็ประมาณว่า พระเอกเป็นนักวิทย์ย้อนเวลากลับไปช่วยนางเอกที่ตายไปแล้วให้รอด แต่ปรากฏว่าพอย้อนกลับไปจริงๆตัวเองดันไปเจอตัวเองในอดีต เลยเจอข้อขัดแย้งของเวลาแล้วโดนเด้งไทม์ไลน์ไปจนกลายเป็นผู้หญิงไป เนื้อเรื่องก็จะออกแนวตลก โรแมนส์ ดราม่า รักสามเศร้า ปนไซไฟนิดหน่อย ไปจบตรงพระเอกในร่างผู้หญิงทำให้นางเอกรอดได้ในที่สุด แล้วนางเอกก็ไปคบกับตัวพระเอกในอดีต แต่อดีตก่อนหน้าของพระเอกก็ไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ก็เลยปลงแล้วพอใจกับบทสรุปแล้ว เพราะไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปมากกว่าเพื่อนได้ในร่างนี้ เลยมอบคำยินดีให้ทั้งสองคนแทนในฐานะคนๆใหม่ที่ไม่ใช่ตัวตนเดิมแล้ว คือพระเอกกับนางเอกคือคนๆเดียวกันน่ะ
ผมยอนเวลาไปช่วยเธอแต่ผิดพลาดจนไปเป็นนางเอกแนวไซไฟเลิฟคอมเมดี้
แต่ ผู้หญิงก็รักกันได้ มีเซ็กกันได้ ทำไมมึงพอใจเป็นแค่เพื่อนวะ
Kyหน่อยนะเพื่อนโม่ง กูขอสอบถามนิดนึง พวกมึงคิดยังไงกับการซื้อadoptไปใส่ในนิยาย
Adoptคือขายไอเดีย เช่น อาวุธ ชุด ตัวละคร แผนที่ ห้อง มอนสเตอร์ ฯลฯ สรุปคือออกแบบทุกอย่างขาย
กูอยากโปรโมทกลุ่มอดอป แต่กูไม่แน่ใจว่าพวกมึงโอเคกับการซื้อไอเดียคนอื่นมาใส่ในนิยายกันไหม
กูขอบคุณคนที่ตอบกูล่วงหน้า
>>176 มันขายได้จริงๆ เหรอวะ เอาง่ายๆเลยว่าของแบบนี้แม่งจะก๊อบปี้ไปใช้ยังไงก็ได้อะ มึงจะฟ้องร้องยังไงว่านักเขียนคนนี้เอาผลงานของมึงไป ส่วนอีกข้อนึงก็เช่นกัน จะมีนักเขียนคนไหนเหรอวะที่ยอมรับว่า เออเนี่ย นิยายของกูไม่ได้คิดเองทั้งหมดนะ แต่มีการซื้อเอาไอเดียของคนอื่นมาผสมด้วย มันฟังดูทุเรศแปลกๆ ว่ะ
>>178 ขอบคุณที่สนใจค่ะ
Adoptable คือการดีไซน์ทุกอย่างอย่างที่เรากล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งคนที่ทำอดอปมาขายส่วนใหญ่ก็จะวาดรูปออกมาเพื่อให้ง่ายต่อการถ่ายทอดดีไซน์ที่ออกแบบมา โดยจุดที่เราคิดว่านักเขียนน่าจะสนใจนอกจากพวก ดีไซน์ชุด อาวุธ ตัวละคร(บางคนก็กำหนดนิสัย บางคนก็ไม่กำหนด) คือ species
species คือ การสร้างสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาเอง คนคิดอดอปต้องแจกแจงว่า สปีชี่ย์นี้กินอะไร มีลักษณะนิสัยอย่างไร มีวงจรชีวิตแบบไหน สืบพันธุ์ยังไง ความโดดเด่นของสายพันธุ์นี้คืออะไร โดยจะขายแบ่งอีกคือ rare uncommon common ตามราคาเลยค่ะ
species จะมี2แบบคือ opened กับ cloesed OSคือผู้ออกแบบเปิดให้ใช้เปิดเรฟฟรี CS คือ ต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาค่ะ
หากจะเอาไปใส่ในงานเขียน ต้องอ่านข้อตกลงที่เจ้าของงานเขียนไว้ในโพสต์ขาย เพราะบางคนอาจอัพราคาขึ้นเพราะถือว่าเป็นการนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ค่ะ บางคนก็ขายให้แต่ไม่อนุญาตให้นำภาพไปใช้ ต้องเอาภาพไอเดียที่วาดนี้ไปจ้างเอาเอง
>>179 ถ้าถามเรื่องฟ้องร้องยังไงว่านักเขียนคนนี้เอาผลงานไป อันนี้คงตอบไม่ได้เพราะ"แรงบันดาลใจแรงมาก"ก็มีให้เห็นบ่อยๆในหลายๆวง
แต่ถ้าพูดเรื่องของแบบนี้ก็อปปี้ไปใช้ยังไงก็ได้
ผู้ขายอดอปเองก็เซฟตัวเองคือ ไม่ปล่อยลายละเอียดผลงานมากจนเสียเปรียบเช่นกันค่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องก๊อปเพราะเป็นเรื่องปกติที่ผู้ขายไอเดียต้องเซฟตัวเองระดับนึงอยู่แล้วค่ะ
มีตัวอย่างนิยายที่เอาไปใช้บ้างไหม กุขอวาร์ปทีสิ
สำหรับกู คิดว่าอาชีพไหนๆมันก็มี outsource ให้ใช้ทั้งนั้น งานเขียนพวก generator ก็มีเยอะแยะ
นักเขียนจะมีการซื้อไอเดียมามันก็ไม่แปลก ขายพล็อต ขายเซ็ตติ้งโลก มันก็มีทั่วไป แค่ในไทยมันเพิ่งเริ่มมีกันค้าขายเป็นกลุ่มจริงจังก็เลยดูแปลกใหม่ และบางคนก็อคติเกินไป
คนเขียนไปซื้ออดรอปมาดูแย่มั้ยก็ไม่อะ คนอ่านนิยายคาดหวังอะไร ก็เนื้อเรื่องอยู่แล้ว ถ้าคนเขียนสามารถแต่งให้มันดีได้ก็ไม่มีอะไรให้ติหรอก คนเขียนขายไอเดียเรื่องจะซื้อนั่นนี่มาประกอบให้เรื่องสมบูรณ์แบบในส่วนที่คิดไม่ได้หรือไม่ถนัดก็ไม่เห็นแปลก
ของซื้อของขายก็ได้มาแบบถูกต้อง ดีกว่าไอเดียตันแล้วไปก็อปตัวละครคนอื่นเรื่องอื่นมาใช้ตั้งเยอะ
ราคาจะถูกหรือแพง ก็อยู่ที่คนขายคนซื้อ ถ้าจูนกันติดโอเคก็ไร้ปัญหา คนนอกที่ไม่ได้มีส่วนเอี่ยวด้วยก็ไม่มีสิทธิไปวิจารณ์งั้นงี้มากจนเกินพอดี
อาชีพอื่นเขายังมีแบ่งแยกย่อยตามแต่ถนัด มีผู้ช่วยเลย แล้วทำไมอาชีพนักเขียนจนต้องหัวเดียวกระเทียมลีบ คิดเองแต่งเองเขียนเองทุกสิ่งทุกอย่างกันด้วยล่ะ
อนึ่ง กูเป็นคนนอก ไม่ได้เป็นทั้งคนเขียนหรือคนขาย แต่พอจะเห็นคนบ่นๆในทวิตกันมาสักพัก ดูรวมๆแล้วคิดอย่างงี้นะ
กุว่าไม่แปลก พล๊อตก็ยังซื้อขายกันได้เลย อยู่ที่ใครจะใช้ไม่ใช้แค่นั้นแหละ บางคนอาจจะถนัดคิด ตัวละคร อาวุธ ที่แปลกใหม่ แต่ไม่ถนัดแต่งนิยายจริงจัง ก็เหมือนไปเอาดีทางนั้นแทน
กุอยากบ่นเรื่องที่กุเจอมากับนักเขียนแจ่มใสแนวลูกกวาด
มีใครอยากเม้ากะกุมั่ง
รึว่ากุมาผิดมู้
อืม กูอยากอ่าน มึงมาแชร์ปสก.ใช่มั้ยล่ะ งั้นก็ไม่น่าผิดมู้นะ
แชร์ ปสก. จากที่เคยอ่านแล้วสับได้ใช่มะ
น่าจะได้นะ
คือกุเห็นคนอวยนิยายของ พxxโx เยอะมากๆ อิเซ็ตแพลตตินั่มอะ กุเลยลงทุนถอนเงินใน atm ไปซื้อในร้านหนังสือ ราคาเต็มปกด้วย จำได้ว่าเรื่องนั้นนางเอกเป็นเมดนี่ คือกุอ่านไปไม่ก็ไม่ได้สนุกไรขนาดนั้น มันของข้างจะเรื่อยๆ สำหรับกุ แต่ที่กุอ่านแล้วสะกิดใจยิกๆ กุตลอดเลยคือนางเขียนนางเอกตัวเองแล้วแม่มหลุดคาแรคเตอร์เว้ย บางคนคงไม่ได้สังเกตไร คือกุอ่านนางเอกนี่อย่างสวย สวย หยิ่ง ดุ เป็นเมดอบรมมาอย่างดีๆ พอผ่านไปครึ่งเรื่องแม่มเริ่มพูดจาไม่ไพเราะ อิตาพระเอกก็ชอบตะโกนโวยวาย นางเอกก็เถียงแข่งสู้ พวกมึงพอนึกภาพออกมะ กุอ่านไปครึ่งเรื่องกุเจออีคำพูดที่ลงท้ายด้วย "วะ" "โว้ยยยยยยย" ย.ยัก อย่างเยอะ ใส่มาอย่างบ่อย จนกุอ่านแล้วแบบรู้สึกว่าเหมือนพระเอกนางเอกมันตะโกนกุยกันตลอดเรื่อง กุไม่ได้อรรถรสเลย ถ้าจะใส่ "วะ" ให้มันเรียล ก็ไม่น่าจะเลือกสถานการณ์หน่อย หรือไม่ก็ไม่น่าจะถี่อะไรขนาดนี้โว้ยยยยย คือกุอ่านแล้วกุเหนื่อย กูอยากปาทิ้งแต่กุก็เสียดายตังค์มากๆ กุเลยทนฝืนอ่านจนจบ และที่โคตรเบื่อคือ ไม่รู้เล่มอื่นนางเป็นงี้มั้ยนะ นางจะชอบเอาตัวคนเขียน (ตัวนางเองนั่นแหละ) มาใส่ลงไปในนิยายคุยกับตัวละครในเรื่อง คือกุเจอบ่อยมากจนกุนึกสงสัยว่าแจ่มใสปล่อยผ่านมาได้อย่างไร อาศัยว่าคนตามเซ็ตนี้เยอะไงวะ หรือเพราะนางเป็นนักเขียนรุ่นแรก
กุอยากให้นางปรับปรุงเพราะพล็อตเรื่องนางก็ไม่ไ้เลวร้ายเกินไปสำหรับกุนะเรื่องนี้ ก็เลยไปเม้นติชมในเว็บแจ่มใสตรงที่รีวิวสินค้าอะแหละ ก็ใช้คำสุภาพ ติชมนางไปนะ ก่อนโพสก็เช็กแล้วว่ากุติเพื่อก่อสุดๆ พยายามไม่ใช่คำทำร้ายจิตใจไรงี้เว้ย หลังจากนั้น ไม่ถึงสองวัน กุก็ไปเห็นนางโพสไม่พอใจในแฟนเพจจ้า นางไม่พอใจที่กุไปติเรื่องคาแรคเตอร์์นางเอกที่ไม่คงที่ของนาง นางเป็นคนสร้างตัวละครจะดีไซน์ออกมาแบบไหนก็ได้ คนอ่านไม่ได้มีอิธิพลขนาดที่นางจะต้องปรับตัวละครให้ถูกใจคนอ่าน กุไปเห็นกุก็งงสิวะ แม่ม ห่านเอ๊ย อุตส่าหวังดีแท้ๆ แล้วที่ติไปคือคาแรค์เตอร์นางเอกเปิดมาเรียบได้ครึ่งเรื่องแรก ครึ่งหลังแม่มทำตัวไม่สุภาพ แล้วไอ้ประวัติดีเด่นที่ลากยาวมาว่าเป็นเมดที่ได้รับคะแนนสูงสุด ได้รังวัลดีเด่น บลาๆๆ คือส้นติงไรวะ
หรือกุอ่านภาษาไทยไม่แตกฉานเอง รึกุอ่านนิยายไม่เข้าใจเอง กุเลยไม่อ่านนิยายของนางอีกเรื่อง และก็ไปบอกให้เพื่อนรู้ เพื่อนกุเลยตกลงจะไม่ซื้อนิยายของนางอ่านกันทั้งกลุ่ม แค่ถ้าอยากอ่านก็จะไปยืมอิห้องข้างๆ แทน 555+ ยกเว้นกุ
ปล. เรื่องนี้มันนานมาละ สมัยกุอยู่ ม. ปลาย ตอนนี้กุจะเรียนจบอยู่ละ
ต่อๆ มาที่นักเขียนอีกคน คือคนนี้กุไม่นึกคิดจริงๆ ว่านางจะเข้ามาอยู่แจ่มใส เพราะปกตินางออกนิยายกับชูการ์เรน เป็นตัวชูโรงเลยจ้า กุเห็นคนอสยเยอะมากของนามปากกานี้ "ปากกาสีชมพู" แต่เขียนเป็นภาษาอังกฤษนะ อืมนั่นแหละ แพ้พลังอวยก็เลยจัดชุดใหญ่ ซื้อนิยายของนางมา 10 เล่ม สั่งกับเว็บมันลดราคาให้ ถ้าสั่ง 10 เล่มแถม 1 เล่ม ก็โลภอยากได้ จ่ายไม่ถึงพันกุยอม เพราะกุตั้งใจซื้อมาอ่านเบาสมอง กุไม่ต้องการสารถค่ะ ณ ตอนนั้น แต่พอกุหญิบเล่ม 1 ของเซ็ตที่มันมี 5 เล่มมาอ่าน ปรากฎว่าโคตรน่าเบื่อเลยยยยย น่าเบื่อยิ่งกว่านิยายแสตมป์เบอรี่หรือหัวสมองตีบตันมารวมกัน คือมาจืดมากๆ ไม่มีสิ่งใดทำกุลุ้นเลยสักนิด อ่านแล้วไม่ได้ความบังเทิง พวกมึงเชื่อมั้ยว่านิยาย 99 บาทที่ขายในเซเว่นเล่มเดียว กุใช้เวลาอ่าน 3 วันถึงจบ พออ่านจบกุนี่โคตะระนับถือตัวเองเลย ทนไปได้ไงวะ แต่ความพีคมันคือตรงนี้เว้ย นางเขียนชื่อเพื่อนนางเอกผิดชื่อจ้า
เปิดเรื่องมาเพื่อนนางเอกชื่อ "นานา" พ่อไปเจอเพื่อนนางเอกครึ่งหลังอีกทีดันเป็นชื่อ "นาโน" ตอนแรกกุว่ากุเข้าใจผิด อาจเป็นเพื่อนคนละคน กุเลยลงทุนย้อนกลับไปดูใหม่ สรุปใจความได้ว่านางเอกมีเพื่อนสนิทผู้หญิงแค่คนเดียววววว แล้วอีนานามันเป็นนาโนได้ไงวะ กุงงโว้ยยย
กุเลยไม่กล้าอ่านเล่มต่อของนาง กลัวความน่าเบื่อที่กุต้องทนอ่าน 3 วันอีก มาถึงจุดนี้กุเข้าใจนักอ่านที่ลองเปิดใจอ่านนิยายขงนักเขียนใหม่ได้เลยว่าพอลองครั้งแรกแล้วมันผิดหวั้งจนไม่กล้าอ่านนามปากกานี้อีกมันเป็นยังไง จนเมื่อปีที่แล้วเพิ่งได้รู้ว่านามปากกา "It's me" ก็คือคนเดียวกันกับปากกาสีชมพู
ดีนะ กุเช็คแฟนเพจนักเขียนก่อนถึงรู้ ตอนแรกอ่านเรื่องย่อในเว็บแจ่มใสแล้วน่าสนใจ กะว่าจะซื้อ แต่สำนวนการบรรยาย+เดินเรื่องที่ทำให้กุอึดอัดไป 3 วันยังฝังรากอยู่ในหัวกุอยู่เลย กุเลยไม่กล้าสอย ถ้ายังไงใครเคยอ่านนามปากกาใหม่ของนางในแจ่มใสแล้วช่วยมาสปอยกุทีนะว่าสนุกรึเปล่า กุอยากลองให้โอกาสนางอีกครั้งนึง
กุนับถือมึงที่กล้าซื้อเป็น 10เล่ม
แล้วก็เซ็ต 7's ของแตม กุไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่านางจะลืมไปว่าเขียนอะไรลงไปบ้างในเล่มของสไปร์ลที่พระเอกเป็นเจ้าชายเพี้ยนๆ นั่นอะ คือกุซื้อต่อมาอ่านรวดเดียวเลย 8 เล่ม (รวมพิเศษ) แล้วกุสับสนแทนอิพระเอกเล่มนางเอกคลั่งขาวมาก (พระเอกชื่อแซทเทิล) พระเอกมันบอกนางเอกว่าตอนคบกับนางเอกมาเนี่ย ตั้งแต่เริ่มมาเลยนางไม่เคยไปจูบกับ ญ อื่นคนไหนเลยนอกจากอินางเอกจ้า อินางเอกก็บอกว่า ฉันเชื่อใจเขา เขาไม่โกหกฉัน เพราะเขารักฉัน คือแบบกุอ่านตรงนี้ละเพลียมาก มากจนแบบอยากจะเอานิยายเล่มสไปร์ลส่ง ems ไปที่บ้านนางเอกให้นางอ่านฆ่าเวลาว่าตอนที่อิพระเอกมันหายไปกลางเรื่องมันหายไปไหน คือพระเอกมันหายไปตามสไปร์ลจ้า ถึงจะเลิกเป็นแฟนกับสไปร์ลแต่ยังมีเยื่อใย แถมตอนไปที่เกาะเพี้ยนไรสักอย่าง กุมั่นใจมากว่ากุไม่ได้อ่านพลาดหรืออ่านผิดไป แม่มพระเอกมันไปจูบกับสไปร์ลที่นู่น แล้วพอกลับมาง้อนางเอกเสือกพูดว่า รักนางเอก มั่นใจมากๆ เพราะตั้งแต่คบกันมาไม่เคยไปจูบใคร อิดอกกกกก กุอยากเผานิยายทิ้ง!!!
เรื่องนานมาแล้วสินะ สมัยนั้นคนยังไม่ค่อยอ่านตัวอย่างในเนตกันเท่าไหร่ด้วยล่ะมั้ง แต่ก็นะ ขึ้นชื่อว่าเป็นนักเขียนรุ่นแรกทำอะไออกมาก็ขายออก แต่ทีนักเขียนคนอื่นล่ะ มาตรฐานสูงชิบ เห็นได้ตามการแข่งขัน เหอะๆ
>>199 มาตราฐานพล็อตเรื่องอะสูง ต้องไม่เดินเรื่องคล้ายหรือไปซ้ำกับนิยายแจ่มใสที่เคยออกมาทั้งหมด ต้องไม่ให้น่าเบื่อ เคยได้ยินมาว่าถ้าพล็อตเรื่องน่าสนใจมากๆ แต่การบรรยายยังกลางๆ ก็ผ่านได้ เพราะเรื่องการบรรยายมันไปฝึกฝนต่อได้ในอนาคต แต่พล็อตเรื่องที่เห็นแล้วต้องซื้อแน่นอนโดยไม่ต้องดูกันที่นามปากกามันต้องมีอะไรดีจริงๆ อะ
ส่วนตัวกุไม่ชอบนิยายที่ผ่านมาจากโครงการหน้าใสเท่าไร มันน่าเบื่อยิ่งกว่านิยายที่ส่งไปให้ บก. พิจารณาโดยตรงซะอีก
กุชอบนิยายของพวกที่แข่งประกวดปี 1-3 ที่มี มิลด์พลัส คนที่แต่งเรื่องคุณแม่ ม.ปลาย แล้วก็ นางร้าย ปีหลังๆ สะดุดตาที่ Just Nightmare Mina แค่นั้น ที่พออ่านได้ พล็อตน่าอ่าน+บรรยายดี
แต่เมื่อปีก่อนเพิ่งซื้อนิยายของ ล้านนาที มาอ่าน ไร้รักไรนี่แหละ คือแบบกุซื้อมาเพราะพล็อตเรื่อง อีกแล้ววว กับที่เคยเห็นนามปากกานางติดท็อปนิยายเด็กดี กุไม่คิดว่าสำนวนการบรรยายจะลิเกขนาดนี้ กุอ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองกำลังดูละครเวทีโอเปร่า อ่านไม่จบด้วย
บางทีพวกที่เขียนติดท็อปเด็กดีนี่ก็ไม่ได้ประกันอะไรเลยนะว่าจะสนุกจนเอามาออกกับสำนักพิมพ์ได้จริงๆ (พวกนิยายวัยรุ่นน่ะ)
Ky กูสงสัยมาตฐานไลท์โนเวลไทยว่ามีอะไนชี้วัดนอกจากภาพประกอบ คือกูลองไปอ่านพวกที่ได้ตีพิมพ์แล้ว (อดีตจอมมาร,เซเวียร์,จูนิเบียว) ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากนิยายปกติเท่าไหร่ คือถ้ายึดตามมาตฐานยุ่นหรือความเข้าใจส่วนใหญ่ คือเนื้อหาน้อยไม่เกิน 200-300 หน้า ใช้ภาษาสำนวนง่าย ๆ บรรยายไม่ละเอียดมาดบทพูดไม่ยืดยาว
พวกJLS กุไม่อ่านนานมากแล้ว เลยไม่รู้เรื่องแหะ สมัยก่อนชอบอ่านแต่พวกแปลเกาหลีน่ะ กุยอมใจเมิงจริงๆที่ซื้อยกเซตขนาดนั้น เรื่องคาร์เพี้ยนหรือลืมว่าบทเป็นยังไง หรือบทเพลียๆกุค่อนข้างชินว่ะ เห็นได้จากละครไทย ที่กุก็ไม่ได้อยากจะดูแต่ที่บ้านเปิด หลายเรื่องนี่กุถึงขั้นงงว่าเอามาทำเป็นละครได้ยังไงวะ ถ้าสมมุติมีการเปลี่ยนแปลงนิสัยจากเหตุการ์ณต่างๆที่เข้ามา ทำให้ตัวละครเปลี่ยนแปลงไปกุว่าก็ยังโอเค แต่อยู่เฉยๆ แสดงนิสัยผิดเพี้ยนไปนี่นข.ควรพิจารณาตัวเองปะวะ มีการมาด่าลงเพจด้วย แล้วพวกนี้มักจะมั่นหน้ามากๆ ถ้ารับฟังพูดจาดูดีมีแต่คนจะเป็นแฟนคลับขึ้นมะ นี่เหมือนชอบสร้างศัตรูกันกุไม่เข้าใจ พวกที่นิสัยดีๆก็ดีเวอร์ พวกเห้ๆ แต่ยังอยู่ในวงการนี่ก็แยะ
>>202 กุเคยอ่านไลท์โนเวลแปลนะ แต่ไม่เคยอ่านแบบที่คนไทยเขียน ถ้าเมิงอ่านแล้วรู้สึกอย่างนั้น กุว่ามันจะต่างตรงที่ความหนานั่นแหละ เนื้อเรื่องก็คงเบาๆ อ่านง่าย เน้นวัยรุ่นอ่านสุดๆ ประโยคสนทนาเยอะ การบรรยายไม่ต้องละเอียด ขนาดเล่มเล็กเท่าไลท์โนเวลยุ่นมั้ง แบบพกพาเอาไปนั่งอ่านในรถไฟฟ้าได้ไรงี้อะ (ความคิดกุล้วนๆ)
>>203 ในละครไทยกุก็เจอแบบเมิงเลย แม่กุชอบเปิดดู กุเลยต้องดูตาม ที่กุเห็นแล้วสุดขั้วจริงๆ ก็เรื่อง "คนละขอบฟ้า" ที่พระเอกเป็นเจ้าของสวนยางอะ อิห่า ปากจัดชิบหาย แถมได้รางวัลละครที่คนพูดถึงเยอะแห่งปี 2016 กุนั่งสตั๊นเลยห่า ทั้งพระเอก พระรองแม่มคาแรคเตอร์พาสับสน "ขนาดต้นยางยังมีนำยา เธอเป็นผู้หญิงแท้ๆ ทำไม่ไม่มียางอายบ้าง" สลัด!! ด่าเจ็บชิบหาย 555+
แต่เรื่องที่นักเขียนบ่นลงเพจนี่กุก็ไม่เข้าใจแบบเมิงนะ ว่าทำไมถึงมาโพสระบายในนี้ แต่ก็ดีละ ทำให้กุหยุดซื้อนิยายแจ่มใสไปพักนึงเลย ตอนนี้ตามเก็บแต่นักเขียนที่กุชอบจริงๆ กุเป็นพวกชอบติดตามพัฒนาการของนักเขียนที่กุชอบ พร้อมเปย์อะนะ 555+
แต่กุชอบนักเขียนที่วางตัวแบบนิ่งๆ อ่า มีไรไประบายกะเพื่อน ไม่ต้องมาโพสประจารความรู้สึกตัวเอง เพราะเดี๋ยวพอเวลามันผ่านไป ไอ้ที่ไม่พอใจก็จะลืมไปเอง ท้ายที่สุดแฟนคลับก็จะออกมาให้กำลังใจปกป้องมากกว่าเดิม มีคนรักมากกว่าเกลียด
แต่ถ้าไม่พอใจไรมาโพสด่าระบาย ไปๆ มาๆ อีพวกแฟนคลับกับคนอ่านทั่วไปนี่แหละ จะตีกันเอง ติดภาพลบไปอีกคนเขียน
กุเริ่มลองอ่านนิยายทำมือในเด็กดี แนววัยรุ่น 18+ เคยเปย์มาอ่านหลายเรื่อง วางพล็อตดราม่าทั้งเรื่องแต่ชอบตัดจบแบบที่กุไม่โอเคบ่อยๆ จนรู้สึกเซ็ง
บางเรื่องก็บางมากๆ แค่ 200 หน้า แต่ขายตั้ง 400 กว่า เลื่อนไปเจอนิยายวายทำมือ 400 กว่าหน้า ขาย 400กว่าบาท เป็นเมิงจะสอยเรื่องไหนล่ะ 555+
กูจะหนีไปอ่านนิยาย ภาคินัย มั่งละ เบื่อรักใคร้ไปพักนึง
>>206 ทำมือมันก็เฉพาะกลุ่มแฟนคลับอยู่แล้วนี่หว่า
ราคาต่างกับแบบ สนพ. มากอยู่แล้ว ทั้งเรื่องต้นทุน และฐานแฟนคลับ
คนที่บ่นนี่คงไม่ใช่คนเคยเขียนอะไร และไม่เข้าใจความยากในการทำนะ
เมื่อก่อนที่กูยังไม่เคยเขียนนิยายเอง ก็รู้สึกแบบนี้ว่า อะไรวะแพงจัง
แต่พอเข้ามาเขียนเองและทำมือเอง จึงรู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
นี่ไม่ใช่อาชีพหลัก เป็นความพอใจ ที่ต้องใช้เวลามากกว่าที่คิด ไปทำงานประจำมีรายได้มากกว่าเป็น10เท่าตัว
เวลาที่เอามาเขียนให้จบได้ กับมากกว่ากันเยอะ พอทำมือ ก็ต้องคิดให้เรื่องจำนวนที่มีคนอ่านอุดหนุนน้อย อะไรนี่่อีก
ความคิดต้องเปลี่ยนไปเป็น ความพอใจทั้งสองฝ่ายมากกว่า คือคนทำมือพอที่จะมีกำไรบ้าง ถึงจะมีคนซื้อน้อยมากก็ตามที
>>205 มึงก็ต้องเข้าใจนักเขียนบ้าง
อารมณ์ก็คนธรรมดา ไม่ใช่หัวหลักหัวตออะไร ยิ่งคนมาวิจารณ์มากๆ ตบะแตกได้ง่ายๆ
การบ่นในกลุ่มหรือในเพซ ก็ถือเป็นการระบายความเครียดอะไรออกมา
ส่วนที่เก็บเอาไว้ในใจ มันแล้วแต่นิสัยคน แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากทนกันหรอก เพราะจะเป็นมะเร็งในอารมณ์กันเปล่าๆ
นิสัยคนเขียนก็แตกต่างกันไปร้อยคนร้อยแบบ มีคนชมคนด่าในผลงานทุกอย่างนั่นแหละ
บทกับตอนอันไหนใหญ่กว่าวะ ถ้ากูจะแบ่งเนื้อหานิยายเป็นสามช่วงจากมากไปน้อยคือ ภาค บท ตอน แบบนี้ถูกปะ
ถามหน่อย สิมีใครเคยหัวตันๆละใช้ศัพท์จากพวกเว็บ wordstuck บ้าง มันเชื่อได้ป่ะ บางคนมันก็สวยดีอ่ะ
>>207 มันเฉพาะกลุ่มจริงๆ ก่อนจะซื้อกุต้องทำใจแต่แรกแล้วว่าราคามันแพงกว่านิยายที่ออกกับสำนักพิมพ์ บางทีกุคงเอานิยายแนววัยรุ่นทำมือ 18+ ไปเปรียบเทียบกับนิยายวายทำมือคงจะอยุติธรรมเกินไปหน่อยนั่นแหล่ะ
แต่เรื่องราคาที่กุยกขึ้นมาพูดเนี่ย คือกุไปเจอมาจริงๆ ที่เขียนแนวเดียวกัน คนแต่งเป็นที่รู้จักเยอะพอกัน แถมหน้าปกนิยายของแต่ละคนก็จ้างวาดมาเหมือนกัน แถมนักวาดแต่ละคนก็วาดสวยทั้งคู่ ซึ่งจำนวนหน้านิยายกับราคานี่แตกต่างกันมาก คนที่กุเล่าไปว่า 200 หน้าขาย 400กว่านี่ นานๆ ทีกุจะเจอแบบนี้ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อย
ในขณะที่นักเขียนอีกจำนวนหนึ่ง ราคาจะไล่ๆ กันแถมจำนวนหน้าก็สมเหตุสมผลกับราคาที่จ่ายได้ไม่รู้สึกคลางแคลงใจ ทั้งนักเขียนโนเนมทั้งที่ดังๆ ในเด็กดีกุตามมาก็เยอะเลยแหละ ราคาที่ตั้งก็ไม่ทิ้งห่างจนน่าเกลียดแบบนี้ กุเลยสงสัยว่าทำไมเขาถึงตั้งราคาแบบนั้น
หรือกุจะพลาดไป กระดาษอาจดียิ่งกว่ากรีนนี้ด หน้าปกคงลงเคลือบอย่างดีจนหน้าและแข็งแรงกว่า จะเอาเรื่องค่าจ้างวาดมาพูดกุก็ไม่กล้า เพราะบางคนนี่นักวาดค่าตัวแพงมากแต่ราคาก็ยังไม่โหดเท่านี้ แต่ไม่แน่ว่าในเล่มอาจจะมีรูปภาพประกอบเยอะกว่าอีกเรื่องก็ได้ มั้งนะ
ส่วนยอดจอง+ยอดคนที่จ่ายจริงๆ+กำไรหลังจากขายมีแต่ตัวนักเขียนเท่านั้นแหละที่รู้ว่าเป็นอย่างไร
>>208 อืมถ้าบ่นในเฟสส่วนตัวกุก็เฉยๆ นะ ไม่ได้เข้าไปตามถึงชีวิตส่วนตัวขนาดนั้น แนะนำให้ตั้งไพรทเวทเห็นแค่เพื่อนของตัวเองก็คงดี
แต่การโพสลงแฟนเพจมันแตกต่างจากโพสลงเฟสส่วนตัวเยอะ ต้องคิดนิดนึงด้วยว่ามีแฟนเพจเพื่ออะไร แล้วมีเฟสส่วนตัวไปเพื่ออะไรถ้าจะเอาทุกอารมณ์ไปประกาศลงแฟนเพจ มารวมเลยดีกว่ามั้ย (เว้นแต่จะคิดไม่ได้)
ถ้าใครเขียนนิยายขายอยู่ กุแนะนำพวกมึงไว้ตรงนี้เลยว่าไม่พอใจอะไรแล้วจะโพสลงโซเชียลต้องคิดดีๆ ก่อนกดปุ่มโพส เพราะอย่างที่กุบอกไปก่อนหน้านี้ว่าเวลาผ่านไปแม้งก็ลืมละ ไปโกรธเรื่องอื่นแทน (ที่กุพูดเรื่องนี้เพราะกุไม่อยากให้ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง)
แต่ถ้ามันมีมือดีแคปภาพมาประจาร เดี๋ยวแฟนคลับกับคนนอกก็มานั่งเถียงทะเลาะไร้สาระอีก สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับไปลบโพสตัวเองเพื่อเลี่ยงปัญหา
ชีวิตคนเรามันมีวิธีระบายอารมณ์ความเครียดเยอะกว่าที่คิด มองรอบตัวบ้างเหอะ
ก็อย่างที่มึงบอก นักเขียนก็ร้อยพ่อพันแม่ ความอดทน+นิสัยหลายๆ อย่างมันต่างกัน
แต่ต้องเตือนตัวเองไว้ด้วยว่า อะไรที่โพสลงโซเชี่ยลแบบสาธารณะไปแล้ว ไม่ว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน ก็ต้องยอมรับผลลัพธ์ที่ตามมา มันแสดงถึงความรับผิดชอบที่ตัวเองมี
แต่ถ้าแบบพวกโดนโจมตีกลับมาแล้วมาโวยวายหาเรื่องตอบโต้กลับ หรือแถจนสีข้างถลอก ก็จะยิ่งแต่เพิ่มคนเกลียดมากขึ้น
กุควบคุมอารมณ์ได้เลยไม่ต้องพึ่งโซเชียลเพื่อเรื่องแบบนี้ กุมีเพื่อนมีครอบครัว กุก็เดินเข้าไปบ่นๆ ให้พอใจ สบายใจกว่าเยอะ ได้กำลังใจที่แท้จริงด้วย ไม่ใช่พลังอวยปลอมๆ ที่แฝงมาและวันนึงมันก็หายไป กุคิดว่าถ้าต้องพึ่งอะไรแบบนี้ชีวิตคงจัดการตัวเองยากนะ แต่ก็เรื่องของเขานั่นแหละ
>>208 >>215
เพื่อมึงนึกภาพไม่ออก กุจะยกตัวอย่าง
ถ้ามึงเป็นผู้ชมคนนึง มึงอยากจะดูละครของใครมากกว่ากันระหว่าง แตงโม กับ ขวัญ
แตงโมเล่นละครเก่งเลยนะ แต่มีไรกะโพสลงไอจีหมด
ในขณะที่ขวัญนี่ฝีมือค่อยๆ พัฒนาจนตอนนี้เก่งมาก มีข่าวฉาวเรื่องทะเลาะกับแม่ออกมา หรือเรื่องกอล์ฟ ไรงี้ค่อยออกมาโพสอธิบายในไอจี ไรกะว่าไป
มึงไม่เคยเป็นแฟนคลับใคร รอเสพแค่ข่าวบันเทิงกับละคร มึงอยากจะดูของใครมากกว่ากัน
ทั้งที่ความจริงเบื้องลึก ด้านมืดของดาราอาจจะมีไอจีสำรองไว้ด่าคนอื่นกะได้ แค่คนดูไม่รู้
เรามองกันที่หน้าฉาก
คนส่วนมากชอบพูดว่าให้ดูกันที่ผลงาน ประโยคนี้จะหลุดมาเมื่อรู้สึกดีกับคนคนนั้น มีความชอบโดยส่วนตัว หรืออาจจะมองเป็นกลางจริงๆ แต่น้อย
ซึ่งผลงามยอดเยี่ยมสมัยก่อนจนคนพูดถึงก็มีอะ แต่ทำไมแตงโมโดนอคติเยอะจังวะ บางทีแค่โพสรูปเศร้าพร้อมแคปชั่นคิดถึงผัวเก่ายังถูกแคปเอามาด่ากันสนุกว่า ตอแหล สร้างภาพ สมน้ำหน้าที่ทิ้งผู้ชายไปเอง บลาๆ
กุเห็นจนเอือมอะเรื่องพวกนี้ แล้วก็มาตัดพ้อว่าคนดูอคติ ไม่เปิดใจชมผลงาน มันคนละเรื่องกับส่วนตัว
แต่เอาเข้าจริงแม้งโคตรมีผลลัพธ์ส่งต่อกัน
ทีนี้ถ้ามึงต้องกลายเป็นคนดัง มึงอยากจะดังแบบไหนล่ะ ดังแบบคนสงสารเห็นใจแบบขวัญ งานเข้ามาเรื่อยๆ รับตังค์ๆ
กับดังแบบในแง่ลบ โดนคนเกลียด อคติเยอะกว่าคนทั่วๆ ไปไม่รู้กี่เก่า มีงานมีเงินก็จริงแต่ก็ดราม่าแม้งทุกรอบด้วยพลังเสือกของโลกโซเชียล แต่มีความสุขไหม? กุไม่รู้
นี่คือเหตุผลที่กุอยากเตือนทุกคนว่าจะโพสระบายอะไร ก่อนกดปุ่มต้องคิดดีๆ คิดไม่ออกก็ห่างออกจากโซเชียลแล้วชวนเพื่อนไปเที่ยวหรืออารมณ์แย่มากก็นุ่งบิกินี่ไปลอยแช่อยู่ในสรถว่ายน้ำคนเดียวแม้ง
>>216 คนเขียนกับคนอ่าน มองคนละมุมอยู่แล้ว
คนเขียนยังเป็นคนธรรมดา ขนาดคนอ่านยังรู้สึกหงุดหงิด คนเขียนที่ได้รู้ว่าใครวิจารณ์ยิ่งมีอารมณ์เป็นสองสามเท่าตัว
คนที่วางตัวดีก็ตาามนิสัยของเขาไป คนที่ทนไม่ได้ปกติมันก็ต้องระบายออกแหละ
กูว่าคนที่วิจารณ์ว่าคนเขียนต้องดียังนู๊น วางตัวดียังงี้ ถ้าไม่มาอยู่ในสภาพเป็นคนเขียนก็คงไม่รู้ถึงความกดดัน ความตันในสมอง ความยินดีที่ได้ตีพิมพ์หรอก
ถ้าไปดูนักเขียนเก่งๆ ที่ต้องทำไมแล้วจะเขียนออกมาได้นี่ยิ่งเป็นอะไรที่สุดๆ ในต่างประเทศบางคนต้องแก้ผ้าถึงเขียนออก บางคนต้องขังตัวเองในห้องปิดสนิท บางคนแม่งเป็นโรคซึมเศร้าไปเลย
คือการวิจารณ์ ถ้าลองคิดกลับว่าตัวเองโดนยังนั้นบางจะรับมือเป็นยังไง อาจจะมีมุมมองอีกอย่าง
>>213 แต่กูเห็นไลท์โนเวลบางเรื่องมันซอยย่อยจากน้อยไปมาก ตอน>บท>องก์>ภาค
แรก ๆ กูก็งงนะว่าต่างกันยังไง พอลองอ่านไปก็เริ่มเข้าใจว่า ตอนคือชื่อเนื้อหาหนึ่งบท บทคือการจบปมเล็กของตัวละครหรือเหตุการณ์หนึ่ง องก์คือการจบอีเว้นต์ ภาคคือจบปมใหญ่
และไลท์โนเวลส่วนใหญ่ที่มีำารจัดลำดับแบบนี้ ส่วนใหญ่ออกมาเกือบสิบเล่มละ ยังไม่จบภาคแรกเลย
>>218 กุล่ะเบื่อตรรกะที่ว่าถ้าไม่ได้ไปเป็นเขาไม่รู้หรอกว่ามันรู้สึกยังไง
มีอะไรเชื่อถือได้บ้างว่าคนที่วิจารณ์งานมันจะเป็นแค่คนอ่านอย่างเดียวไม่ใช่คนเขียนนิยายเหมือนกันน่ะ
ถ้าไม่เคยออกหนังสือมาก่อนก็วิจารณ์งานเขียนที่ใช้เงินตัวเองซื้อมาไม่ได้หรอ
ต้องเป็นมืออาชีพมาวิจารณ์เหรอถึงจะเปิดใจมากพอยอมรับได้
ไม่ใช่แค่นักเขียนหรอกนะที่โดนวิจารณ์หรือด่า
คนอ่านที่ด่าแบบไร้เหตุผลหรือบางคนด่าแบบมีเหตุผลก็โดนลากไปรุมด่า (พวกมากลากไปรุม)
แล้วส่วนมากนี่เด็กๆ ทั้งนั้น โดนเข้าไปก็ปิดเฟสหนีไปเลย เห็นบ่อยละพวกปิดเฟสเนี่ย
นักเขียนวางตัวดีแต่ระบายความท้อลงโซเชียลมันก็มี ถ้าท้อแล้วมาเล่าว่าไปเจอไรแย่ๆ มากุก็พร้อมให้กำลังใจ แบบนี้กุเห็นเยอะ
เล่าแบบไม่ต้องไปพาดพิงหรือระบุตัวตนใครชัดเจน บอกแค่ว่าเสียใจเพราะอะไรก็เพียงพอ
แต่ไอ้ประเภทโดนวิจารณ์แค่คนเดียวแล้วดิ้นจนต้องแคปเอามาด่ากลับ หาเพื่อนช่วยกันรุมด่า หรือด่าลอยๆ ไร้หลักฐานแต่คนอ่านรู้ว่าหมายถึงใครนี่กุโคตรไม่ชอบเลย
ส่วนเรื่องกดดันหนักจนเป็นโรคซึมเศร้านี่ นักเขียนไทยก็มีเยอะนะ ที่ไปพบจิตแพทย์เพื่อขอยาและปรับความรู้สึกตัวเอง
เพียงแต่ส่วนมากไม่ค่อยออกมาบอกหรอกว่าไปหาจิตแพทย์มา เพราะบางคนคิดว่าถ้าประกาศออกไป เดี๋ยวจะมีคนเอาไปพูดอีกว่าสำออย เรียกร้องความเห็นใจ
สุดท้ายจิตแพทย์ก็แนะนำไม่ต่างจากกุมากเท่าไรคือ ให้หยุดเล่นโซเชียล เลิกสนใจความคิดแย่ๆ ของคนอื่น แล้วไปพักผ่อนให้สบายใจ มีคนอื่นอยู่เป็นเพื่อนเผื่อเศร้ามากจนอยากฆ่าตัวตาย
>>220 แต่ตอนนี้เห็นบอร์ดโมงมีกระทู้ด่านักอ่านเทวดาแล้วนี่ ก็ไประบายลงกันตรงนั้น จะได้สบายใจขึ้น เพราะยังมีนักเขียนที่ไม่กล้าโพสลงโซเชียลอยู่
แต่เสียอย่างเดียวคือต้องระวังโม่งหลุดจนจับได้ว่าเป็นใครแค่นั้นแหละ
ถ้าใครเอาเรื่องในบอร์ดนี้ไปด่าต่ออีกทีนี่ก็โม่งแตกอีก อืม เหมือนจะแฟร์ดี
กระทู้นี้คือ รวมพลนักเขียน แชร์เทคนิคประสบการณ์และข่าวสาร
กลายเป็นมาว่า เป็นนักเขียนต้องวางตัวดี มันเลยแปลกๆ ไง
ย้ำเป็นภาษาไทย หลายรอบว่า คนเขียนก็คนธรรมดา มีร้อยคนร้อยนิสัย ทำไมคนอ่านต้องมีกรอบที่เป็นมาตราฐานเดียวว่าคนเขียนต้องทำตัวดีๆ
บางคนเป็นนักเขียนที่ไม่ได้คาดหวัง ต้องยิ่งใหญ่อะไรนัก เขียนไปตามอารมณ์
เน้นย้ำชัดเจน คนเขียนก็คน ไม่ได้วิเศษอะไรมาจากไหน ทำไมต้องถูกด่าอยู่ฝ่ายเดียว? ตรรกะคนอ่านแปลกๆขึ้นเรื่อยๆ
เอ๊า อาชีพอื่นมันก็คนธรรมดาเหมือนกันนะ ไม่ใช่แค่นักเขียน
ยิ่งอาชีพด้านการบริการนี่ถ้ามีคนแสดงออกมาไม่พอใจลูกค้า คนนอกแม้งก็รุมด่ากันสารพัด ไม่รู้หรอกว่าที่เขาออกมาบ่นเป็นเพราะเจออะไรมา
ทุกอาชีพมันมีแรงกดดันหมดแหล่ะ
แล้วอ่านยังไงว่าเน้นย้ำเรื่องวางตัวดี จริงๆ ที่พิมพ์ไปทั้งหมดนี่คือกุเห็นมาทั้งสองด้านว่า ไม่ว่าจะนักเขียนหรือนักอ่านแม้งก็โดนด่าทั้งคู่อยู่ดี ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกระทำ ถึงนักเขียนไม่ด่ากลับก็มีคนอื่นด่าแทนให้
แล้วก็ไม่ได้เห็นนักเขียนโดนด่าฝ่ายเดียว คนเขียนเอานักอ่านมาด่าลับหลังก็มีอยู่ในบอร์ดนี้ปะปนไปทั่ว
ส่วนเรื่องผิดมู้ ตอนเข้ามาก็ถามแล้วว่าบ่นนักเขียนแจ่มใสได้มั้ย แล้วสับหนังสือที่ซื้อมาอ่านในนี้ได้มั้ย กลัวผิดมู้ ก็มีคนบอกว่าได้ แล้วลามมาเรื่องวิจารณ์ได้ไงก็ย้อนกลับไปอ่านต้นเรื่องดู
แต่ไม่เป็นไร เพื่อความสบายใจของเหล่านักเขียน เดะกุย้ายไปหามู้อื่นเอง เรื่องที่แตกยอดออกมามันผิดมู้ไปแล้วแหละมั้ง
>>223 ก็ใช่ไง ทุกอาชีพมันมีแรงกดดันหมดแหล่ะ
มันก็ต้องมีการระบายบ่นออกกันมาบ้าง
ส่วนที่ คนเขียนเอานักอ่านมาด่าลับหลังก็มีอยู่ในบอร์ดนี้ปะปนไปทั่ว นั่นก็แสดงว่าคนอ่านก็ต้องไปทำอะไรขึ้นมาถึงมีประเด็นกันได้
แล้วงานเขียน ความเห็นส่วนตัวนะ ไม่น่าจะใช้อาชีพด้านการบริการ เพราะขายงานจากสมองที่แต่งขึ้นมามากกว่า การขายหนังสือก็ไม่ได้บังคับให้ซื้อ
เป็นเรื่องความพอใจตัั้งแต่แรก ของสองฝ่ายนั้น ไม่น่าใช่งานด้านบริการอะไร
ขอเพิ่มเติม องก์ ภาษาอังกฤษคือ act น่ะแหละ
กูว่าเพื่อนโม่งต้องเคยได้ยินคำว่า act1 2 3 ในหนัง หรือในบทละครบ้าง แต่อาจจะไม่คุ้นกับศัพท์ภาษาไทยเฉยๆ
act นี่เล็กกว่า arc ใช่มั้ย
มีใครมีปัญหาเรื่องคิดชื่อตอนแบบกูบ้าง กูแต่งเนื้อเรื่องได้ไปไกลเลยนะ แต่ 100 ตอนมีชื่อแค่ 40 เองง่ะ พอแนะนำได้มั้ยทำไงถึงจะคิดชื่อออก
ชื่อเรื่องเองก็ยังไม่รู้จะเอาอะไรดีเหมือนกัน ธีมเรื่องเป็น Apocalypse วันสิ้นโลก ตัวเอกย้อนเวลาได้แต่เปลี่ยนอดีตไม่ได้ เลยได้แต่ย้อนวันสิ้นโลกวนอยู่อย่างนั้นเพื่ออยู่กับครอบครัว ก็ทำนองนี้
KY พวกคำเรียกหญิงสูงศักดิ์สมัยอดีตนี่มันมีหลักอะไรปะ อย่างเจ้านาง แม่หญิง บลาๆอะไรแบบนี้อะ หรือเรียกๆได้หมด
>>234 มันต้องดูเซ็ตติ้งกับยุค
ถ้าเป็นตะวันตกก็ใช้ยศขุนนาง ถ้าเป็นลูกดยุค-เอิร์ลก็เลดี้ นอกนั้นก็ใช้มิส แต่ก็มีบางกรณีเหมือนกันที่เรียกเลดี้กับคนที่ได้รับการยกย่องไม่ก็พวกกิ๊กๆของคิง แล้วก็ช่วงหลังๆเลดี้ก็ใช้กับพวกภรรยาของอัศวินหรือพวกลอร์ดได้ด้วย
ถ้าจีนก็ใช้ถ้าเป็นลูกฮ่องเต้ก็กงจู่(เจ้าหญิง) เมียอ๋องก็หวางเฟย(ที่เห็นในนิยายแปลจะใช้คำว่าพระชายา) ลูกอ๋องก็จวิ้นจู่(ท่านหญิง) แล้วก็มีพวกวังหลัง พวกยศสนมยศนางกำนัลการกำหนดยศค่อนข้างจะเป๊ะนะ หาดูในพันทิปได้
ถ้าเป็นเมียขุนนางตั้งแต่กั๋วกงลงไปก็ใช้ฟูเหริน,ฮูหยิน (แปลไทยก็คุณนายมั้งแต่ส่วนมากเห็นทับศัพท์กัน) ลูกสาวขุนนางหรือเศรษฐีก็เป็นคุณหนูหมด ทับศัพท์ที่เคยเห็นคือเสี่ยงเจียไม่ก็กู่เหนียง (เว้นแต่ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหญิงหรือท่านหญิง) ถ้าคนใช้ก็ย
>>235 พิมพ์ตก
ลูกสาวผู้มีอันจะกิน - เสี่ยวเจีย/กู่เหนียง (กู่เหนียงเป็นคำเรียกแบบสุภาพของผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานด้วย)
ถ้าพวกคนใช้ในวังก็หนูปี้ นอกวังก็ยาโถว ยาโถวบางครั้งก็ใช้เรียกเพศหญิงแบบเอ็นดูหรือถ่อมตัวหรือเหยียดก็ได้ ขึ้นอยู่กับน้ำเสียง
ส่วนหญิงสูงศักดิ์ไทย มันต้องแยกยุค อย่างอยุธยา ตำแหน่งสนมเอกชื่อท้าวศรีสุดาจันทร์ หรือรัตนโกสินทร์ เรียกสนมสามัญชนว่าเจ้าจอม ถ้ามีลูกก็จะเป็นเจ้าจอมมารดา แล้วยังมีตำแหน่งมเหสีอยู่สูงกว่านั้นอีก วิกิช่วยท่านได้
แอบบ่นในนี้ได้ไหม โม่งจะแตกไหมนะ 555 คือกูเห็นเพื่อนกูแต่งฟิคนะแต่บางทีก็แอบตงิดๆกับคำที่เขาเลือกใช้ว่ะ อย่างดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้าก็ใช้ว่าสุริยะเทพยังไม่ตื่นจากการหลับใหล ซึ่งกูคิดว่ามันดูสูงส่งไปสำหรับสถานการณ์แล้วในความคิดส่วนตัว เทพก็ต้องเป็นลักษณะมนุษย์ด้วยสิ หรืออย่าง เจ้าของตัวตาสีฟ้าใต้คิ้วเรียวพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย คืออ่านแล้วชะงักนิดๆ มันออกแนวงงๆชอบกล แบบนี้เป็นประธานนำประโยคก็ได้เรอะ เอาเป็นว่าก็คห.ส่วนตัวล่ะนะ ขอแค่มีที่ระบายหน่อยก็พอ ฮา
เจ้าของดวงตาสีฟ้าป่าวมึง
>>239 ดูภาษามันแอ๊บลิเกเกินไปยังไงก็ไม่รู้ =w=' คือตรงพระอาทิตย์ขึ้นจะว่ามันเปรียบแบบนั้นก็ได้อยู่หรอกถ้าเป็นแนวแฟนตาซีจ๋าแล้วงานเขียนแบบยุคเก่าๆ หน่อยจะเขียนเปรียบเปรยกันประมาณนี้แหละแต่ถ้าเอามาใช้กับงานสมัยนี้แล้วเด็กรุ่นใหม่อาจจะแหยงกันเพราะมันเวิ่นเว้อถ้าให้รุ่นเก๋าๆ มาอ่านเขาก็คงปรามาสว่าแค่พยายามเลียนแบบงานรุ่งๆ ในยุคเขาไป
สรุปยังไงก็อยู่ที่บริบทในการใช้อ่ะนะ
พูดถึงเรื่องนี้ กุก็มีปัญหานึกคำบรรยายพวกหน้าตาไม่ค่อยออกเท่าไหร่เหมือนกันนะ กำลังเซงๆอยู่รู้สึกใช้คำซ้ำซาก
>>239 พระอาทิตย์ต้องดูว่าเนื้อเรื่องมันแนวไหน ถ้าแฟนตาซีหรือเทพเซียนก็ไม่แปลก ก็อลังๆแบบนี้แหละ แต่ถ้าจะอลังก็ต้องอลังให้ตลอด ไม่ใช่สลับไปสลับมา แต่แต่งฟิคอย่าไปซีมากเลยเมิง มองผ่านได้ก็ผ่านเถอะ หลายคนก็แต่งกันเล่นๆสนุกๆ ถ้าแต่งนิยายจริงจังค่อยไปด่ามัน
>>246 อันนี้จริง จะไม่ใช้แบบอลังๆแบบเพื่อนกูแต่ก็นึกคำแบบหลากหลายไม่ออก
เป็นฟิคหนังในจักรวาลแฮร์รี่น่ะ บอกได้แค่นี้สุดๆแล้วนะ เดี๋ยวโดนมันมาแหกอก 555 เป็นแนวย้อนยุคญี่ปุ่นแต่ชื่อยังอิ้งอยู่ กูเคยอ่านด้อมอื่นเซ็ตติ้งญี่ปุ่นก็จริงแต่เปลี่ยนชื่อด้วย ก็นะ แล้วแต่คนนั่นแหละ แต่ชื่ออิ้งในเซ็ตญี่ปุ่นกูก็ยังมองว่าแปลกๆนิดนึง กูอ่านไม่จบหรอก กูไม่ได้ตามแต่แค่ย่อหน้าแรกถึงตรงสุริยะเทพกูก็ปิดแล้ว แฮะๆ
มึง ถ้าเราเขียนผังตระกูลให้นักอ่านดูมันจะเป็นการสปอยล์ป่ะวะ
>>248 ถ้าบางตัวละครยังไม่ได้บอกความสัมพันธ์ในเรื่องแล้วเมิงกะจะให้รู้ทีหลังก็ถือว่าสปอยนะ แต่เอาจริงจังปะ กุเห็นหลาย ๆ คนสปอยตั้งแต่แนะนำตัวละครแล้วว่ะ เวลาเปิดไปอ่านอะ 555+ อยู่ที่เมิงซีเรียสไหม ถ้ามันเป็นจุดที่ต้องเก็บเป็นความลับก็เว้นตัวละครนั้นไว้ก่อนค่อยใส่ทีหลัง หลังจากแต่งจนถึงจุดเฉลยก็ได้ กุเข้าใจเมิงนะว่ากลัวคนอ่านงงอะ ยิ่งพวกตัวละครเยอะๆ มึนตาย
พอเราเป็นคนจริงจัง มองโลกค่อนข้างซีเรียส แล้วจะเขียนฉากคอเมดี้นี่โคตรยาขมเลยนะ เหนื่อยมาก อ่านทวนยังไงก็ดูเหมือนยัดแก๊กให้ตัวละคร แค่ฉาก ๆ เดียวรื้อทิ้งไปจะสิบรอบแล้ว พวกเพื่อนโม่งทำยังไงกันวะกับจุด ๆ นี้
>>250 พวกฉากตลกกุก็ไม่ค่อยเขียน จะเขียนออกแนวขำนิดๆ ขำลึกๆมากกว่า แบบขำความคิดตัวละคร หรือการกระทำ สร้างนิสัยตัวละครให้มันดูตลกตามธรรมชาติ มากกว่าจะไปยัดมุก คำพูดให้ดูขำอะ ไม่ถนัดคิดคำพูดกลัวจะแป๊กเลยเอาตามทางที่ถนัดดีกว่า กุอ่านหลายคนมันแป๊กกุไม่อยากให้นิยายกุเป็นแบบนีั้นอะนะ อารมณ์แบบด่าของคนอื่นไว้ก็ไม่อยากทำแป๊กเอง 555+
ถ้าส่วนตัวกุนะ ก็จะหานิยายแนวนี้มาอ่าน หรือนึกฉากที่เคยอ่านแนวนี้แล้วชอบ แล้วดูว่าทำไมกุถึงชอบ กุถึงขำอะไรแบบนี้ แต่กุก็ประเภทขำง่ายด้วยนะ แล้วถ้าตันก็ลองพักสมองไปก่อนก็ได้ เวลากุตันๆหรืออารมณ์แบบเครียดเขียนยังไงก็ไม่ถูกใจก็พัก ข้ามไปแก้พล๊อตหรือไปอ่านไรพักสมองสักพัก ดูซีรีย์ แล้วค่อยวนมาใหม่ก็ช่วยได้นะ
ฉากตลกนี่ยากมากเลยว่ะ แม่งไม่ใช่แค่มุก แต่เป็นเรื่องลงจังหวะ แล้วก็การใช้คำด้วย ยาวไปไม่ฮา สั้นไปไม่เก็ท
แต่กุเขียนอะไรก็รู้สึกตลก (เพราะกุขำง่ายด้วยแหละ) ปัญหาที่กุแก้ไม่ตกเลยก็คือดราม่าไม่ได้ ดราม่ายังจะตลก มันใช่เวลามั้ย!
คิดแบบนี้มันอันตรายจริงๆรึเปล่าวะ รึแค่เบียวไปเอง
https://www.dek-d.com/board/view/3752879/
เขียนเรื่องย่อยังไงให้ดึงดูด??
>>255 ถ้าการติดลึกในผลงานของศิลปินไม่ว่านักเขียน นักแสดง นักร้อง มีคนที่เป็นอย่างในกระทู้ว่า ศิลปินกลุ่มนี้จะตอบรับผลสะท้อนจากภายในตัวเองมากกว่าภายนอกหรืออีกอย่างคือคิดแต่ตัวเองและผลงานของตัวเอง เป็นภาวะหนึ่งของอาการซึมเศร้า เก็บตัว บางคนที่ดื่มด่ำมากไม่ต่างจากการเสพยาเพ้อติดกับจินตนาการแยกแยะโลกในผลงานกับโลกจริงไม่ออก นำไปสู่พฤติกรรมผิดปกติต่างๆ และฆ่าตัวตาย
ตัวอย่างเบาๆ หลงรักโลกหรือตัวละครที่ตัวเองสร้างจนตัดขาดความสัมพันธ์กับบุคคลในโลกจริง รุนแรงขึ้นมาอีกก็ฝังลึกกับปมปัญหาสถานการณ์กดดันในสิ่งที่ตัวเองเขียนขึ้นแต่หาทางออกไม่ได้กลายเป็นเก็บตัวหวาดผวากลัวสังคม
>>256 กุก็มีปัญหาเหมือนกันว่ะ แต่ก็เอาแบบกลางๆ เหมือนสรุปเรื่องคร่าว ๆ ในเรื่องย่อ ทิ้งปมให้ดูน่าติดตาม แต่สุดท้ายนะ กุว่ามันขึ้นอยู่กับตัวนิยายด้วยว่ะ กุเห็นหลาย ๆ เรื่อง เรื่องย่อไม่มีอะไรก็คนตามเยอะก็มี หรือแบบเรื่องย่อน่าสนใจพออ่านจริงยี้ก็เยอะ อย่าไปซีเรียสกับตรงนั้นมากเลย
ทำไมกูเจอแต่เรื่องย่อดีแต่อ่านจริงไม่ไหววะ
สนพ.ไหนรับนิยายหนักๆ ดาร์คๆ มีฉากรุนแรง (แต่ไม่เย็ด) เล่นโศกนาฏกรรม บ้างวะ เห็นมีแต่แนวเบาๆ สุขนิยมกัน คำต่อคำน่าจะได้ อรุณกะพิมพ์คำนี่ไหวป่ะ
เพื่อนโม่งมีคำถามดวงตากับนัยน์ตาต่างกันยังไงวะ กูหาในอากู๋เจอเป็นชีวะมาเลย
>>266 นันย์ตาก็คือดวงตาน่ะแหละ
http://www.royin.go.th/dictionary/ ลองเช็คดูดิ
พวกมึงเคยประสบปัญหาสำนวนไม่คงที่แบบกูไหม กูแบบเป็นพวกสำนวนเปลี่ยนไปเรื่อยเลยว่ะ เดี๋ยวบางทีกูก็บรรย๊ายบรรยายบางทีเดี๋ยวบทพูดเยอะ บางทีความคิดตัวละครก็เยอะ
มันแบบ.. บางทีอ่านงานตัวเองกูก็งงๆทั้งที่เขียนไล่ๆกันแบบสองสามวันติดกันสำนวนกูยังเปลี่ยนได้ มันมีวิธีไหนทำให้คงที่บ้างมั้ยวะ .. เหมือนบางทีถ้ากูเขียนแนวฮาๆสำนวนกูก็คอมเมดี้จ๋าบรรยายหายหด พอจะโดดไปแนวเครียดหน่อยบรรยายก็จะมาตรึม หรือมันปกติวะ
ขอโทษนะถ้ากูถามอะไรโง่ๆ Orz
>>269 กุว่าแบบนี้ไม่ได้เรียกกว่าสำนวนไม่คงที่มั้ง มันก็ปกตินะ อยู่ที่ว่าจะเล่าเรื่องราวผ่านบทบรรยาย บทพูด หรือความคิดตัวละคร ในฉากนั้นๆมากกว่า กุว่าดีซะอีกมันดูไม่น่าเบื่อออก ของกุนี่บทบรรยายเยอะเขียนไหลลื่นมาก พอบทพูดช้าเป็นเต่าคลานเลย คิดไม่ค่อยออก เลยบทพูดค่อนข้างน้อยเทียบกับชาวบ้าน แต่กุก็ไม่ได้ถึงขั้นเครียดขนาดต้องมาแก้นะ ก็เหมือนเป็นสไตล์ใครสไตล์มันมากกว่า
กุเบื่อวิธีเขียนแบบนึงมากเลยว่ะ แบบตัวละครคุยกัน แล้วถามอีกตัวนึง แต่มีบรรยายมาคั่นยาวๆ แล้วอีกตัวถึงตอบ
ทั้งที่บทพูดมันน่าจะต่อเนื่องตอบได้ทันที คำถามไม่ได้ยากเย็น ซึ่งกุเจอบ่อยด้วยดิ เซ็งว่ะ
กูเห็นในทล น่าสนใจดีว่ะ https://goo.gl/iNDtAO โครงการ Web Fiction Academy เผื่อใครอยากลอง
ช่ายเลยมึง อุ๊คบีซื้อฟิคชั่นล็อกมา แต่ถ้าเป็นตามที่ว่าจริงก้ไม่เลวนะ สองหมื่นถึงสี่หมื่น บางค่ายยังให้ค่าลิขสิทธิ์ของนักเขียนหน้าใหม่ไม่ถึงเลย แต่ต้องดูสัญญาว่ามันผูกอยู่กี่ปี เพราะมันปันผลแค่ 30 จากยอดขาย
อะไรที่เกี่ยวกับค่ายผึ้งไม่เอาด้วยเข็ดตั้งแต่เจอบุฟเฟต์
สตอรี่กับฟิคชั่นล็อกของค่ายผึ้งแต่ตั้งแรกนะ แต่ฟิคชั่นดันไปชนกับธวล. เขาพยายามจะเปลี่ยนให้ฟิคชั่นเป็นพวกวรรณกรรมเอากล่องมุ่งซีไรท์แต่สุดท้ายงานที่ลงก็... อย่างที่เห็น
ky เพื่อนโม่งเห็นคุยกันเรื่องฟิคชั่นล็อค คือกูสงสัย กูติดนิยายเรื่องนึงเค้าลงในฟิคชั่นล็อค แล้วแบบลงให้อ่านฟรี จ่ายเหรียญเงิน ลงให้อ่านอาทิตย์ไม่กี่ตอน แถมแต่ละตอนยังสั้นมาก กูว่าเค้าน่าจะเขียนจบแล้ว กูสงสัยทำไมแมร่งไม่ขายเป็นเหรียญทองไปเลยวะ
ทำไมสนพ. ใช่เว้นวรรผิด ไม้ยมกมันต้องวรรคหน้าหลังไม่ใช่ แบบนี้ ๆ พวกนักเขียนทำมือแม่งก็ใช้ผิด สนพ. ใหญ่อย่างแจ่มใสยังหลุดคำว่าอ่ะ นักเขียนทำมือจัดหน้าทำไมไม่ใช่thai distributed พอไปใช้ justified แม่งเว้นเยอะเกินดูทุเรศ บางคนก็ไม่จัดอะไรเลย กูจะซื้อก็ไม่ซื้อแม่งละสัส ขอกูบ่นหน่อยไม่ใช่อะไร เห็นแล้วหงุดหงิด
ถามเรื่อง 'คำสมาส' หน่อย
พอดีเมื่อวานดูรายการหกโมงเย็น(ที่คุณก็รู้ว่ารายการอะไร) เจอตอนสัมภาษณ์เกี่ยวกับศูนย์นวัฒตกรรมอนาคตชื่อศูนย์ eng ตั้งว่า Futurium
เห็นในสัมภาษณ์บอกว่าเป็นคำสมาส จาก Future(อนาคต) + rium(ศูนย์,แหล่ง) ทีนี้ไอเรื่องการเอาคำมาประสมกันในลักษณะนี้ในงานเขียน eng ก็เจออยู่บ่อยๆ เหมือนกันแต่มันเรียกว่า 'คำสมาส' ได้เหรอเพราะไปค้นจากวิกิบวกตอนเรียนเหมือนจำได้ว่ามันมาจากการเอา บาลี+สันสกฤต
ส่วนอันข้างล่างนี่ค้นจากวิกิมา
คำสมาส
คำประสมระหว่างภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ส่วนคำประสมที่มาจากภาษาอื่นๆ ไม่นับว่าเป็นคำสมาส ทั้งนี้คำประสมระหว่างภาษาบาลีกับภาษาบาลี หรือ ภาษาสันสกฤตกับภาษาสันสกฤต ก็ถือว่าเป็นคำสมาสเช่นกัน
หมายความว่าการเอาตัว eng สองตัวมา + กันไม่ใช่คำสมาส น่ะสิ? แล้วมันควรจะเรียกว่าอะไรดี? อันนี้สงสัยเฉยๆ เพราะในนิยายเราก็มีการทำในลักษณะนี้เพื่อประดิษฐ์คำศัพท์เฉพาะขึ้นมาใช้ซึ่งบางทีไม่โดนใจคนอ่านหรือเขาไม่เข้าใจก็ไม่รู้เลยมาด่าสาดเสียเทเสียจะอธิบายให้ก็ไม่ค่อยแน่นอีกจะโดนจับผิดเอาง่ายๆ เลยมาขอความรู้+ความเห็นหน่อยอย่าเพิ่งว่ากันนะ
ปรึกษาหน่อยเพื่อนโม่ง คือกูเป็นคนที่ทำงานเกี่ยวกับคอนเทนส์วะ แต่พอมาทำงานแล้ว ความรู้สึกในการอยากเขียนฟิค เขียนนิยายแม่งหดหายไปหมดเลยโว้ย คือใจกูอยากเขียนมากๆ แต่พออยู่หน้าคอมก็เขียนไม่ออกวะ ในแต่จินตนาการที่พรั่งพรูในหัว กูไม่รู้จะทำยังไงดี
มึงหาว่ากุโอเวอร์ก็ได้ ถึงมันจะเป็นงานอดิเรก แต่กูกลัวว่า สักวันกูจะเขียนไม่ออกอีกเลย ถ้าไม่ใช่งานวะ ทำไงดีวะ กูควรหาแรงบันดาลใจยังไงดีมึง
>>291 มีจินตนาการในหัวเยอะก็จดไว้ก่อนเดี๋ยวจะลืม จดๆในมือถือก็ได้ถ้าขี้เกียจเปิดคอม แล้วก็นั่งจินตนาการต่อเรื่อยๆแหละเป็นฉากๆต่อไป พอเมิงเริ่มอินมันจะมีไฟขึ้นมาเอง หรือถ้ายังไม่มีก็ลองพักสมองก่อน ไปเล่นเกมอ่านนิยาย อ่านข่าวไรก็ได้เลิกคิดสักพัก กุคิดว่าเมิงเป็นแบบนี้เพราะเวลาทำงานก็ใช้สมองไปเยอะแล้วกับการคิดคอนเทนส์ พองานอดิเรกดั๊นใช้ต่ออีกมันเลยหนักเกิน หรือหากำลังใจดีๆเช่นพวกคอมเม้นชื่นชมติดตามก็จุดไฟได้พอตัว คิดว่าเออมีคนยังอยากอ่านอยู่ หรือเรายังรักฟิคเรานิยายเราอยากจะเขียนต่อก็ได้ ปรับๆความคิดก่อน กุว่าบังคับตัวเองให้เขียนได้ทุกวันมันก็ยากอยู่นะ ถึงจะบอกว่าเขียนทุกวันได้ก็ดี แต่กุเองไม่ได้เขียนทุกวันอะ เพราะบางวันกุเขียนได้เยอะยาวๆไป เป็นประเภทถ้าอินปุ๊บไหลลื่นยาวไป แต่ถ้าไม่มีไฟยังไงก็ไม่มี ก็จะไปนั่งแก้พล๊อต คิดชื่อตัวละครใหม่ๆเล่นๆ หรือเขียนพล๊อตเรื่องอื่นๆที่อยากลองเขียนแก้เซง เมิงให้เวลากับตัวเองเยอะๆหน่อย สู้ๆ ว่ะ
มีใครส่ง Comico บ้างไหม เห็นเปิดรับ Webnovel อยู่
กูกมดไฟในการเขียนกุควรแก้ไง...
>>303 พยายามอย่าไปฝืนเขียนนะมึง จะเขียนได้มันต้องรอทั้งเวลาที่เราพร้อมแล้วก็หัวเราพร้อม มันถึงจะออกมาดี แต่ยังไงก็สู้ๆนะมึง ตอนนี้กูเองก็เป็นอยู่เหมือนกัน...
แม่ง กูเครียดว่ะ กูเขียนอะไรไม่ได้เลย เหมือนแรงบันดาลใจกูมี ไฟกูมี ความอยากเขียนกูมี แต่ทุกอย่างมันเหมือนจะอยู่แค่ในหัวกู พอกูจับปากกาจะเขียนปุ๊บ ทุกอย่างคือหยุด มันติดขัดไปหมดทุกอย่าง กูมีเรื่องที่จะเขียน กูอยากเขียน แต่พอกูเริ่มต้นพิมพ์ปุ๊บ ทุกอย่างคือหยุดไปหมดเลย กระทั่งการที่กูมาเขียนบ่นในโม่งกูยังไม่ค่อยสามารถเขียนต่อไปได้ พอเริ่มต้นพิมพ์ปุ๊บมันจะมีอะไรบางอย่างให้กูต้องหยุดชะงักกลางคันตลอด กูคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะความคิดของกูที่กังวลว่าสิ่งที่ตัวเองเขียนมันจะไม่ดี มันจะน่าเบื่อ แล้วพอยิ่งเอางานปัจจุบันไปเทียบกับงานเมื่อก่อนที่ภาษาเป็นธรรมชาติกว่าและได้รับคำชมมาเยอะ กูก็ยิ่งพยายามมากขึ้นไปอีกให้กูสามารถกลับไปเขียนเหมือนตอนนั้นได้ แต่กูทำไม่ได้...กูพยายามแล้ว กูคิดว่าถ้าเขียนได้ไม่ลื่นเท่าเมื่อก่อน กูก็ต้องฝึกเขียนบ่อยๆ กูเคยกำหนดหัวข้อสามอย่างแล้วเริ่มเขียนเรื่องราวจากหัวข้อพวกนั้น ซึ่งทั้งพล็อตทั้งการดำเนินเรื่องกูก็คิดออกนะ แต่พอเขียนๆไปกูก็จะกลัวว่างานเขียนกูมันห่วยแตกจนกูหยุดลงกลางคันทุกที ตรงนี้กูก็เข้าใจว่าถ้ามัวแต่คิดแบบนี้ก็ไม่พัฒนาซักที กูเลยพยายามเขียนต่อไป เจียนต่อไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งเขียนกูก็ยิ่งทรมาน มันไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อนที่กูเขียนงานอย่างมีความสุขแล้ว ตอนนี้กูมีแต่ความคิดในแง่ลบที่ทำให้กูเอาแต่หยุดลงกลางคันแบบนี้
ซึ่งสิ่งนี้ก็ส่งผลกระทบต่อการเขียนอย่างอื่นที่ไม่ใช่นิยายของกูด้วย คำเชื่อมกูใช้ผิด สันธานกูใช้สลับ ทั้งๆที่เมื่อก่อนกูไม่เคยมีปัญหากับมันแล้วกูก็เริ่มไม่สามารถเขียนอะไรให้เป็นประโยคยาวๆที่สละสลวยเหมือนเมื่อก่อน
กูพยายามอ่านนิยาย ศึกษาสำนวนหลายๆแบบเผื่อมันจะช่วยในการเขียนกู พยายามฝึกเขียน พยายามเริ่มต้นใหม่
แต่ทุกอย่างที่ทำไปไม่ได้ช่วยให้กูสามารถขียนอะไรออกมาได้เลย
กูเหนื่อย กูท้อ ตอนนี้ ขนาดความรู้สึกที่ว่าเมื่อก่อนกูเขียนงานยังไงกูก็นึกไม่ออกเลยว่ะ กว่าจะเขียนย่อหน้าด้านบนนี้จบกูก็ใช้เวลานานมากๆ นานจนกูตกใจตัวเอง
กูไม่เข้าใจว่าทำไมกูเป็นแบบนี้ กูหาคำตอบอะไรให้ตัวเองไม่ได้แล้ว
กูถามนักเขียนหน่อย พวกมึงเลิกเขียนนิยายเห่อมอยกันตอนอายุเท่าไหร่วะ กุเข้าใจนักเขียนเด็กๆ นะ พวกที่ชอบเซ็ทตัวละครม.ปลายออกมาอยู่คนเดียวทั้งที่มีพ่อแม่ ไม่ก็เพอร์เฟคเว่อร์ๆ ใส่มุกตลกแบบโป๊งชึ่ง หรืออะไรที่ไร้เหตุผลมากๆ แต่เพราะเป็นเด็กกุเลยเข้าใจ แต่ทีนี้บางทีกูอ่านนิยายวัยทำงานที่ตลค.เป็นผู้ใหญ่ทำงานแล้ว คนเขียนก็อายุยี่สิบบวกเข้าไปแล้วยังมาแนวๆ นี้อีก กูนึกว่าคนอายุยี่สิบขึ้นจะเริ่มนิ่งเริ่มตกผลึก เบื่อหน่ายชีวิต และเริ่มมองโลกด้วยความจริงจังขึ้นกว่านี้ แล้วสะท้อนประสบการณ์ออกมาผ่านตัวหนังสือถึงได้แม้จะเป็นเรื่องรักโรแมนติกก็ตาม พอเข้าใจที่กูสื่อป่าววะ กูสงสัยเฉยๆ ว่าหรือกูเป็นคนส่วนน้อยที่มีชีวิตอมทุกข์เลยไม่เข้าใจว่าคนที่โตขนาดนั้นแล้วทำไมถึงเขียนอะไรใสๆได้
>>309 การเขียนนิยายอาศัยจินตนาการส่วนตัว
การเขียนช่วงที่สนุกของชีวิตมนุษย์ คงไม่มีช่วงไหนที่สนุกเท่าไรกับช่วงวัยเรียนรู้และยังไม่ต้องรับผิดชอบตัวเอง
ซึ่งคนเขียนก็ต้องเล่นกับวัยนั้นหรือคนที่มีบุคลิกเช่นนั้น ยังมีความฝันอยู่ในตัว มองโลกไม่คิดมากอะไรนั่นเอง
ต่อมาถ้าเน้นแนวรัก ก็จะเขียนไปทางอารมณ์ กลุ่มนี้ก็เน้นความสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ ตัวละครมีนิสัยมากมาย ไม่จำเป็นต้องดูเป็นผู้ใหญ่จัด เพราะถ้าศึกษาจริงๆ คนเรามีตัวตนที่เป็นเด็กๆอยู่ในตัวมากมาย ไม่งั้นจะมีมนุษย์ป้าในสังคมได้มากมายหรือ
ส่วนที่เพื่อนโม่งเน้นอะไรเป็นจริงเป็นจังก็คงต้องหาแนวนิยายสไตล์ผู้ใหญ่อ่าน ซึ่งบอกตรงๆมีคนเขียนแนวนี้แล้วได้ตีพิมพ์น้อยราย
เพราะโลกความจริง คนอ่านคงอยากได้อะไรที่มันบันเทิงใจ หลุดพ้น มากกว่าจะมัวซีเรียลอะไรให้สมองเครียด จากชีวิตประจำวันที่แสนเบื่อหน่าย กดดัน ในการหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
>>308 กุว่าเมิงหยุดบังคับตัวเองก่อน ส่วนตัวกุจะเขียนได้ดีตอนอารมณ์ดี ๆ แล้วก็อยากจะเขียนคิดฉากที่ถูกใจได้ค่อยเขียน อินไปกับนิยายตัวเอง ไอพวกบังคับหัวข้อแล้วเขียน บังคับตัวเองว่าต้องเขียนกุว่ามันไม่ใช่ว่ะ ฝืนเกินไปมันก็ออกมาแย่ ถ้าจะให้ไหลลื่นเมิงต้องรักนิยายตัวเองก่อน มีใจอยากเขียนจริง ๆ ขนาดนิยายตัวเองเมิงยังไม่อยากจะอ่านแล้วใครจะอ่านของเมิง กุคิดแบบนี้เวลาเขียน รักตัวละครที่สร้างคิดว่ามีชีวิตจริง ๆ เวลาแต่งก็เอาตัวเองเข้าไปนิยาย ปิดทุกอย่างตั้งสมาธิกับเรื่องราวตรงหน้า ฉากตลกเมิงต้องตลก ฉากยิ้มก็ต้องยิ้มไปด้วยเหมือนคนบ้า 555
>>309 กุเพิ่งมาเขียนตอนโตว่ะเลยตอบไม่ได้ เมื่อก่อนเคยจะเขียนแต่แค่หารูปประกอบก็หมดไฟไปเองละ ส่วนเรื่องเป็นผู้ใหญ่แล้วยังแต่งแบบนี้ เมิงต้องดูว่าเพราะอะไรว่ะ บางคนเริ่มจากแนวนี้มา มันขายได้เค้าก็เขียนต่อเรื่อย ๆ จะให้เปลี่ยนแนวแล้วขายยากสุ่มเสี่ยงบางคนก็ไม่เอา อยู่ในเซฟโซนหากินกับแฟนคลับกลุ่มเดิมๆต่อไป ต้องยอมรับว่านิยายแนวเด็กน้อยเข้าถึงง่าย ตลกตรรกะพังๆคนชอบเยอะ มันคลายเครียดดี แต่แนวสมจริงตรรกะไม่พังมีคนอ่านไหมมันก็มี แต่น้อยกว่า ขายยากกว่า เพราะแนวนี้คนอ่านก็โตขึ้นเลือกมากขึ้นไม่ดีจริงก็ขายยาก สุดท้ายถ้าจะเอาเงินมันก็วนกลับไปอยู่จุดเดิมๆ เน้นแนวตลาดๆเข้าไว้
ถามนิด นิยายเซ็ตติ้งเป็นยุโรปยุคกลาง ใช้สรรพนาม ข้า, เจ้า, ท่าน
นอกจากนี้ใช้ คุณ ได้ด้วยปะ คุณA คุณB มันหลุดตีมเปล่าวะ กูไม่ค่อยแน่ใจ
แบบเด็กเรียกผู้ใหญ่ใช้คำเรียกอะไร ผู้ใหญ่ไม่มียศขนาดจะใช้ว่าท่าน เรียกเจ้าก็ดูหยาบคาย
>>315 คุณ มันไม่หลงยุคใช่มั้ย กูกลัวหลงน่ะ เพราะลองเปิดพวกนิยายแฟนตาซีที่มักใช้สรรพนามแนวนี้ ไม่เจอใช้คำว่า คุณ เลย
กูขยายสถานะหน่อยแล้วกัน
X เด็กเป็นลูกขุนนาง กับ Z ผู้ใหญ่ที่เป็นสามัญชน แต่ก็เป็นปราชญ์ชาวบ้านที่เป็นที่นับถือ
แล้วก็สงสัยอีกอย่าง ในบทบรรยาย เวลากล่าวถึงพวกที่มีบรรดาศักดิ์มันต้องมี ท่าน นำมั้ย สมมติ
ท่านดยุคและท่านดัชเชสA กล่าวทักทายกับท่านเอิร์ลBที่อยู่กับท่านบารอนC
ปกติเขาใช้กันงี้มั้ยนะ หรือไม่จำเป็น เยิ่นเย้อไป ตัดท่านออกไปเลย?
>>316 ท่านเลยดีกว่า ท่านเป็นแค่คำเรียกนะ ไม่ใช่ยศ ถ้าเป็นยศคือท่านหญิง/ชาย
มีข้าไม่ควรมีคุณ
ถ้าอยากใช้คุณก็เปลี่ยนคำเรียกเป็น กระผม ดิฉัน ท่าน คุณ ไปเลยดีกว่า (คนต่ำกว่าใช้คุณ)
ตัวอย่างนิยายสรรพนามแบบนี้คือ https://writer.dek-d.com/tfyumeiholysmy/story/view.php?id=849266
เราว่าเรื่องนี้ใช้สมูทมากเลยล่ะ (คืออวยนิยายเขาด้วย 555)
>>316 ถ้าว่ากันตามตรงก็ไม่มีคำว่า คุณ หรอก ภาษาใหม่ไป
ใช้คำว่า ข้า เจ้า ท่าน ไปตามปรกตินั่นละ ผู้สูงศักดิ์กว่าจะเรียกคนที่ต่ำกว่าว่าอะไรก็ได้ จะเรียกว่าเจ้าก็ได้ถ้าอยากเรียก ไม่ถือว่าเสียมรรยาทหรอก แต่จะใช้คำว่าท่านเพื่อแสดงความถ่อมตนหรือให้เกียรติอีกฝ่ายก็ได้
ส่วนเรื่องท่าน ถ้าเอาเรื่องบรรดาศักดิ์มาเล่นก็ต้องใช้ ในกรณีพูดกับคนระดับสูงมันจะมีคำนำหน้าด้วยเสมอ อย่าง
His/her majesty - ฝ่าบาท/องค์ราชา/องค์ราชินี (ราชา/ราชินีเท่านั้น)
His/her highness - ฝ่าบาท/องค์ชาย/องค์หญิง (เชื้อพระวงศ์อื่นๆ)
His eminence - ท่านผู้สูงส่ง (นักบวชชั้นสูงระดับบิชอปขึ้นไปยกเว้นโป๊ป)
His holiness - ฝ่าบาท (โป๊ปเท่านั้น)
อันนี้แปลคร่าวๆ นะ ถ้าอยากจะแยกไม่ให้ซ้ำก็ได้ กรณีโป๊ปหลักโปเจียมของไทยถือว่าเท่ากับพระสังฆราช และพระสังฆราชเท่ากับเจ้านายเชื้อประวงศ์ เลยใช้ฝ่าบาทไป แต่ถ้าแปลตามตัวคือ ท่านผู้ศักดิ์สิทธิ์ แบบเดียวกับ eminence นั่นละ
>>316 ถ้าเด็กเป็นลูกขุนนาง เรียกเจ้าไปเลยดีกว่า ยกเว้นถ้าตัวเด็กมีความเคารพในตัวคนนี้ก็ใช้ท่านไปได้
บรรดาศักดิ์ควรใส่ท่านอยู่แล้ว กุว่านิยายธีมโบราณๆมันเยิ่นเย้อเป็นปกติอยู่แล้วนะ
กุว่าเรื่องคำจะใช้แนวไหนก็ได้อิงๆพอประมาณ ขอแค่ในเรื่องมันไม่มาสลับไปสลับมาชวนงงเอามาปนไปปนมาแค่นั้นพอ ใช้อะไรก็ใช้ไปยาวๆเป็นมาตรฐานเดียวกัน เรื่องคำเรียกบางทีก็ปรับเปลี่ยนตามอุปนิสัยของตัวละครหรือเหตุการณ์อีก
อย่าเป็นเหมือนพวกนิยายจีนโบราณบางเรื่องก็พอ กุนี่ปวดประสาทใช้จีนกลาง ไทย แต้จิ๋ว ปนกันมั่วชิบหายไปหมด ทั้งที่ความหมายเดียวกัน แปบๆ เม่ยเหม่ย พักๆ พี่สาว ถ้าพีคๆหน่อยมีเจ้มาแซมอีก
เดาผล ARC award ใครจะร่วง ใครจะรุ่ง?
วันนี้เป็นวันประกาศผลรอบคัดสรร (รอบแรก) ของผลงานทั้ง 721 ชิ้น ที่ส่งเข้าประกวดในรายการ ARC award ของสนพ. อัมรินทร์ ซึ่งจัดแทนที่รางวัลนายอินทร์อวอร์ด เป็นปีแรก ดังนั้นจึงไม่สามารถการันตีได้ว่าเกณฑ์การตัดสินจะเป็นไปในแนวทางเดิมหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ทางทีมงานได้แจ้งรายละเอียดมาแต่ต้นว่า ผลงานที่ต้องการ คือผลงานที่ "เป็นที่สุดในทางของตัวเอง" โดยไม่ได้จำกัดแนวของผลงาน ถึงขนาดที่ย้ำออกมาว่า จะส่งเป็น photobook เน้นใช้ภาพเล่าเรื่อง โดยไม่ต้องมีตัวหนังสือแม้แต่ตัวเดียวก็ได้! ถ้ารูปภาพมันสื่อความหมายในตัวเองอยู่แล้ว ก็สามารถจับเงินแสนได้เหมือนกัน
แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
เวลาประมาณ 13.00 น. ของวันนี้ กองประกวดผลงานได้ประกาศจำนวนของผู้ผ่านเข้ารอบต่อไป โดยมีจำนวนผลงานที่ผ่านการพิจารณาทั้งสิ้น 38 ชิ้น จากทั้งหมด 721 ชิ้น คิดเป็น 5% จากผลงานที่ส่งประกวดทั้งหมด หรือพูดภาษาบ้านๆ ก็คือ ใน 100 ชิ้นที่ส่งไป มีผลงานเพียง 5 ชิ้นเท่านั้น ที่ได้ไปต่อ!
โม่งนิวส์ จึงขอตามติดผลการตัดสินของงานประกวดในครั้งนี้ โดยในเบื้องต้น จะขอคาดการณ์ถึงประเภทของผลงานที่ได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป
ผลงาน 3 ประเภทที่น่าจะผ่านเข้าสู่รอบต่อไปแน่ๆ คือผลงานประเภทนวนิยาย รวมเรื่องสั้น และกวีนิพนธ์ ซึ่งเป็นผลงานประเภทยืนพื้นของทุกกองประกวด โดยแนวของงานเขียนทั้ง 3 ประเภท น่าจะอยู่ในกลุ่มของงานเกี่ยวกับชีวิต สะท้อนสังคม วิทยาศาสตร์ และอิงประวัติศาสตร์ จากการคาดการณ์ของกองบรรณาธิการโม่งนิวส์ มีความเป็นไปได้น้อยมากที่ผลงานประเภทนวนิยายรักโรแมนติกจะผ่านเข้ารอบ เว้นแต่ว่าเนื้อหาจะมีความแปลกใหม่และดึงดูดเป็นอย่างมาก เพราะอมรินทร์เองก็มีสำนักพิมพ์ในเครืออย่าง สนพ.อรุณ ที่ตีพิมพ์นิยายรักอยู่ และหนึ่งในกองบรรณาธิการของ สนพ. อรุณ ก็คงได้รับมอบหมายให้มาเป็นกรรมการคัดเลือกผลงานในรอบนี้ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่ดีจริงปังจริง คงหวังเข้ารอบได้ยากสักหน่อย
ผลงานประเภทที่น่าจะเข้ามาเป็นตัวสอดแทรกนอกเหนือจากเมนหลักทั้ง 3 ประเภท ก็คงหนีไม่พ้นนิทานภาพสำหรับเด็ก ผลงานประเภท how to และหนังสือนำเที่ยว ผลงานอื่นนอกเหนือจากประเภททั้ง 6 ที่กล่าวมานี้ กองบรรณาธิการโม่งนิวส์มองว่าเป็นไปได้ยากมากที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป
สรุป: กองบรรณาธิการโม่งนิวส์เชื่อว่า การที่กองประกวด ARC award ไม่ได้กำหนดประเภทของผลงานที่สามารถส่งได้ เพียงเพื่อต้องการให้มีผู้ส่งผลงานเข้ามาร่วมชิงชัยให้เป็นจำนวนมากที่สุดเท่านั้น สุดท้ายทางกองประกวดก็น่าจะมีการกำหนดแนวทางและกรอบของผลงานอยู่ดี
ติดตามผลการประกวดได้ใน facebook fanpage ของกองประกวด ARC Award - อ๊าคอะวอร์ด https://www.facebook.com/AmarinReadersChoiceAward/
ประกาศผลรอบคัดสรร วันที่ 8 มิถุนายน 2017 เวลา 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
#ARCAward
#มากกว่ารางวัลคือคนอ่าน
เพื่อนโม่งช่วยแนะไอเดียหน่อย
กูกำลังแต่งนิยายเวทมนต์แต่มันตันๆว่ะ
ถ้าพูดถึงพวกเวทธาตุมันก็จะมีแค่ไม่มีกี่อย่างอ่ะ
อย่างดินน้ำลมไฟพิเศษหน่อยก็แสงความมืดไฟฟ้าว่าไป
แล้วพวกนี้ที่ดูเด่นๆจริงๆก็ไฟน้ำไฟฟ้าพวกนี้
กูพยายามหาอะไรเจ๋งๆเสริมให้อันอื่นให้ไม่ดูด้อยแต่นึกไม่ออก
อย่างลมนี่นอกจากบินได้กับเรียกพายุก็นึกไม่ออกแล้ว
ดินยังพอแตกไปได้เป็นสายพืชควบคุมหิน
แสง+ความมืดนี่ตันสุดๆ
กูคิดว่าความมืดคือการดูดแสงเลยจะเวทนี้สามารถดูดเวทอื่นได้แต่มันก็ดูแปลกๆโกงๆ
กูไม่ชอบให้คนเข้าใจว่า แสง=ดี มืด=เลว
มืดนี่เป็นเด่นเรื่องแปลงกายรึปลอมตัวอะไรงี้ดีไหม ส่วนแสง อืม... เด่นด้านรักษาหรือป้องกันสร้างเกราะสร้างเขตแดนมั้ง 555
ส่วนใหญ่แสง-มืด นี่มักจะนึกถึงพวกเกี่ยวกับอวกาศหรือดาราศาสตร์แฮะ
ลองให้แสงกับมืดออกแนววิทย์กึ่งเวทดูไหม อันนี้ลองเสนอเฉยๆ นะ
แสง เคลื่อนที่ความเร็วสูง หักเหแสงสร้างภาพลวงตา ข้ามเวลาได้ ยกตัวอย่างเรื่องการเดินทางของแสงกับการมองเห็นของคนที่จะมองเห็นก็ต่อเมื่อแสงสะท้อนกลับมาที่ดวงตาแล้วเหมือนเวลาเกิดซูเปอร์โนวาในซักที่บนอวกาศกว่ามนุษย์จะรู้ว่าเกิดก็ตอนที่แสงของเหตุการณ์เดินทางมาถึงระยะที่สามารถตรวจจับได้ คิดว่าน่าจะลองแถได้อยู่นะ
มืด ควบคุมแรงดึงดูด หยุดเวลาเหมือนกับข้างบนความมืดดูดแสงสว่างเข้าไป สร้างหลุมดำด้วยการดูดกลืนแสงโดยใช้เป็นท่าผสานกับเวทแสงหรือสวนกลับ
ที่ว่าไปยังมั่วๆ อยู่บ้างเราก็จับแพะชนแกะดูอ่ะถ้าจะใช้ก็ลองค้นเพิ่มเติมก่อนแล้วปรับให้สมจริงขึ้นหรือจะแถให้ไปทางเวทโดยอ้างตำนานเทพเข้ามาเอี่ยวก็ได้ จะใส่เรื่อง โฟตอน แทคีออน ดาร์คแมทเทอร์หรืออะไรก็ได้เต็มที่เบย
ดันกด reply ไปซะก่อนขอต่ออีกโพสละกัน
เรื่องเวทลมคิดว่าควบคุมอากาศเพิ่มเข้าไปก็น่าจะได้นะ เช่นทำให้เป็นสุญญากาศให้ขาดใจตาย หรือเปลี่ยนคุณสมบัติของอากาศให้เป็นพิษได้อะไรงี้หรือให้เล่นคู่กับพวกสารพิษเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเช่น ฉีดไบก้อนใส่ศัตรูแล้วควบคุมลมกากาศให้พาแก๊สเข้าสมองศัตรูโดยตรงเป็นต้น(เริ่มเบียวละตรู)
ลองประยุกต์กับอย่างอื่นที่ไม่ใช่เวทดูก็ได้ อย่างเรื่อง อวาตารเผ่าน้ำมันยังประยุกต์ไปถึงขั้นควบเลือดในตัวคนให้บังคับร่างกายศัตรูได้ตามใจนึกเลยเพราะน้ำเป็นส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตอะไรแบบนี้จะดึงน้ำออกจากตัวให้แห้งตายเลยก็ได้
>>325 ไอเดียดี แต่กลัวคนอ่านไม่เข้าใจเวลาอธิบาย กูก็ไม่ค่อยเก่งวิทย์ด้วยสิ555555 แถมตัวนิยายมันแนวเทพนิยายแฟนตาซี
>>324 ปลอมตัวโอเคเลย แต่แสงนี่อยากได้ที่เน้นบู๊ๆได้ด้วยอ่ะ พวกเกราะ+รักษามันจะยิ่งทำให้ธาตุนี้ดูเป็นตัวแทนความดีเข้าไปอีก เกราะนี่เอาไปใส่ในธาตุลมแทน สร้างเกราะลมให้หักเหเวทย์อื่น รักษาเอาไปอยู่ธาตุดินดึงแร่ธาตุต่างๆจากดินพืชใช้ในการรักษา ยังงี้โอเคไหม กูคิดว่าพอเสริมให้สองธาตุนี้เด่นได้อยู่
ความมืดดูดแสงควบคุมเงาเพื่อปลอมตัว+โจมตีว่าไป
เหลือแต่แสงนี่แหละ กูลองหาข้อมูลอยู่ว่ามีนิยายหรือเกมไหนที่มีเวทย์แสงไหมเผื่อได้ไอเดียดีๆ
>>323 กุมีวางพล๊อตไว้อยู่ แต่ของกุเป็นกึ่งกำลังภายในด้วย มันเลยเล่นท่ายากได้มากกว่ามั้ง ของกุวางไว้เลยคือ 4 ธาตุหลัก สามารถผสมรวมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ แต่คนที่เป็นก็น้อยส่วนลงไปอีก แต่แสงกับมืดกุจะแยกโซนต่างหาก เพราะของกุคือแสงกับมืดจะโกงระดับนึง ธาตุอื่นๆมีแพ้ทางกันเองอยู่ แต่แสงกับมืดไม่แพ้ทางแล้วก็ไม่ชนะทางด้วย
ส่วนท่าร่างมันได้เยอะมากๆ ถ้าเมิงนึกไม่ออกลองไปดูพวกเกมดิ เยอะจนไม่รู้จะเอาอะไรมาใส่เลยแหละ เท่าที่ดูอยากได้พวกธาตุแสงบู๊ ๆ ปกติมันก็บู๊ได้ทุกธาตุนะ
แต่ที่นิยมคือ แสงจะเป็นสายพวกป้องกัน พวกตรึง โล่ กักขัง รักษา
ถ้าโจมตีก็แล้วแต่ชอบ อาจจะแปลงสถานะเป็นอาวุธหรือจะใช้เป็นพวกสะท้อนการโจมตีกลับก็ได้
จริงๆแสงกับมืดนี่อิสระสุดละนะจะยำยังไงก็ได้ พวกธาตุนี่ยังต้องอิงสถานะจริงของมันอีกเพราะคนติดในหัวไปหมดแล้ว
แสงแต่เป็นตัวร้ายก็เยอะแยะนะ อันนี้อยู่ที่สร้างรายละเอียดของโลกมายังไง กับตัวละครที่ใช้มากกว่า
แฟนตาซีถ้าไม่อิงวิทย์มันไปไหนก็ได้ทั้งนั้นแหละขึ้นกับจินตนาการกับการบรรยายให้คนอ่านอินยังไง
>>328
Son of light ... บน gravity tales ...
แสง ถ้าแปลกๆหน่อยก็ นำทางมั้ง
ถ้านิยายพลังเวทธาตุต่างๆที่แหวกๆแนวหน่อย แนะนำเรื่องนี้ https://my.dek-d.com/cidius/writer/view.php?id=591537 เผื่อได้ไอเดียอะไร
ถ้าแค่เวทแสงโจมตีอย่างเดียว ยิงเป็นบีมก็เหี้ยละ จะเส้นเล็กเส้นใหญ่ก็แล้วแต่ เร็วและแม่นยำดี ถ้าร้อนมากๆก็เหมือนดาบเจไดที่แม่งทะลุทะลวงได้ทุกอย่าง(ความแรงมึงไปปรับเอา อาจจะเป็นแค่ความร้อนธรรมดาที่โดนแล้วไหม้ก็ได้) รึจะคงให้มีสถานะเป็นกึ่งของแข็งเหมือนดาบเจไดตรงๆเลยก็ได้
มึง ถ้ากูจะเขียนแนวๆโอเมก้าเวอร์สแต่เป็นฉบับนอร์มอลธรรมดามันทำได้ป่ะวะ หรือมันต้องวายเท่านั้น
ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ
เวลาเจอคนเม้นท์ชมงานกูใจฟูนะ แต่แม่งดีใจได้ไม่สุดไงไม่รู้ว่ะ เหมือนโดนคาดหวังให้งานต่อไปต้องออกมาดีพอๆกันหรือดีกว่าเดิม แล้วกูก็กดดันโน่นนี่นั่น สุดท้ายแม่งเขียนไม่ออกเฉย ควรทำไงดีวะ
จะว่าไปที่ไม่ค่อยเห็นนอร์มอลเป็นโอเมก้าเวิร์สเพราะสังคมจริงมันก็ค่อนข้างเหมือนโอเมก้าเวิร์สอยู่แล้วปะวะ แบบสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ ผู้หญิงท้องได้อะ
แต่กูก็อยากเห็นอัลฟ่าหญิงทำผู้ชายโอเมก้าท้องนะ ต้องน่ารักมากแน่เลย
ถามอะไรหน่อย คือตอนนี้เรามีพล็อตเรื่องสั้นที่อยากเขียนอยู่เรื่องหนึ่งแต่จัดไม่ถูกว่าควรอยู่หมวดไหนระหว่างเกมออนไลน์กับสไลวไลฟ์ดี
เรื่องมันจะเกี่ยวกับเกมแนว DOTA หรือที่เรียกว่า MOBA อ่ะนะเล่าถึงกลุ่มเพื่อนชายล้วนกลุ่มหนึ่งที่อยากจะไปเข้าแข่งงานแข่งเกมเลยตั้งทีมฝึกฝนเพื่อจะเข้าแข่งคัดตัวไปแข่งงานใหญ่ เนื่องจากเป็นเรื่องสั้นเลยไม่ได้วางพล็อตคลุมไปถึงตอนแข่งใหญ่กะแค่ว่าจะให้ตกแค่รอบคัดเลือกนั่นแหละแล้วไปเล่นประเด็นของคนในทีมพวกความสัมพัน ภาระในการแบ่งเวลาชีวิตกับเล่นเกม แล้วก็การค้นหาสายตัวละครที่ถนัดของตัวเอง ประมาณนี้
เนื่องจากไม่ได้วางให้มันหวือหวาแบบพล็อตเกมออนไลน์ MMORPG ทั่วไปที่พระเอกโซโล่คนเดียวได้เลยไม่ค่อยแน่ใจว่ามันควรจะอยู่หมวดเกมออนไลน์รึเปล่า เพื่อนโม่งคิดว่ายังไงบ้าง
กุกำลังลองคิดงานแนวการ์ดเกมว่ะ คิดระบบไปมา ปรากฏว่ายากชิบหาย
มีหนังสือรวมหรือเกี่ยวกับคำราชาศัพท์ ไว้อิงประกอบการแต่งนิยายแนะนำมั้ย เสิร์ชกูเกิ้ลบางทีก็ดูเชื่อถือไม่ได้เลย ก๊อปมั่วกันไปมา
มีใครมีความรู้เรื่องการทำหนังบ้างมั้ย กูอยากถามว่าสมมติในนิยายกูมีฉากเกี่ยวกับหนังต้นทุนต่ำ(ไม่เกิน2ล้าน)ฉายในเทศกาลเฉยๆ แล้วมีบทประมาณว่าผกก.ไปเจอคนๆ นึงแล้วถูกใจบุคลิกเลยเขียนบทนี้ขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ประมาณว่ารู้สึกว่าบทหนังขาดอะไรไปตั้งแต่แรกแล้วแต่คิดไม่ออกว่าอะไรจนมาเจอคนนี้ แต่เป็นแค่ตัวประกอบที่มาขโมยซีนห้านาทีสิบนาทีเฉยๆ ถ่ายจบในวันเดียวนี่เป็นไปได้มั้ยวะ พวกมึงที่เป็นคนอ่านจะรู้สึกเหลือเชื่อ หรือน่าขันไปไหม
ว่าไป ไม่มีเพื่อนโม่งทำมู้ที่เกี่ยวกับโรงพิมพ์ไว้พิมพ์ฟิค พิมพ์นิยายทำมือมั้งเหรอวะ
เพิ่งเห็น Comico อัพเดทนิยายไทยแล้ว พวกนิยายจากเด็กดีมาเพียบ เข้าไปดูไม่ใช่แบบไลต์โนเวลญี่ปุ่นเอามาใส่รูปด้วย ดีต่อใจมาก เห็นในพันทิพบอกให้เรื่องละแสนเลย แบบนี้ใจชื้นแล้สขายขาดก็ยอม
ดูผิดไปนิดเขาบอกไม่ถึงแสน ถ้าขายขาดแบบนี้จะดีมั้ย
https://m.pantip.com/topic/36500565?
>>362 คิดเหมือนกัน เรื่องเงินต่อเรื่อง
แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่มี
กูรู้ว่ามีนักเขียนบางคนที่เขียนทำมือเอง มีกลุ่มตัวเองพอควร
ขายระดับหนังสือทำมือเองใกล้ๆ 1000 เล่ม + ebookได้ยอดโหลดเองเต็มๆ 500-600 โหลด
แค่นั้นก็ได้เกิน 2 แสนแล้ว
ถ้าเจาะจริงๆ มีหลายคนอยู่นะ แต่ก็นับหัวได้ และกูเดาว่าคนที่ถามต้องมีชื่อในกลุ่มนักเขียนอิสระ เน้นทำมือเอง ซึ่งเว็บนั้นก็พอจะรู้ข้อมูลบางอย่างถึงกล้าติดต่อตรงเข้าไปว่า เธอคนนี้สนใจมั้ย
ปล.ถ้าเพื่อนโม่งเนียนเข้ากลุ่มพวกนข. อาจพอเดาๆได้ เพราะเห็นบางคนว่าเรื่องนี้ได้ebookมา 2แสนกว่า บางคนว่า 3แสนกว่า บางคนแสน บางคนแปดหมื่น
คืออย่างที่บอกว่ามีนะ แต่ไม่มากมายอะไร ลองดูนักเขียนสายทำมือดังๆ ก็จะรู้ได้
กูมีปัญหาว่ะ กูใส่ทุกอย่างลงในหน้ากระดาษเรียบร้อยแต่พอจะรีไรท์แม่งตันชิบหาย อ่านดูเท่าที่เขียนน่ะโอเคเลยแค่ภาษาไม่ค่อยสละสลวยเท่าไหร่ แต่พอจะแก้ก็สมองตื้อ เครียดไปหมด เหมือนสื่อออกมาไม่ได้ดั่งใจซักทีว่ะ
>>365 ลองหานิยายเรื่องที่ชอบภาษาแล้วดูแนวทางเอา ของกุก็กะทำแบบเมิงนะ แต่คงรอจบก่อน รู้สึกภาษาไม่สละสลวยเหมือนกันเลย แต่ถ้ามาเขียนไปแก้ไปคนอ่านน่าจะด่า แล้วก็หนังสือคลังคำช่วยได้เยอะ แต่ก็ไม่ทั้งหมดนะ กุว่าอิง ๆ เอาตามสไตล์ที่ชอบก็จะช่วยได้มากกว่า เพราะสละสลวยแต่ละคนมันไม่เท่ากัน อย่างของกุถ้าอารมณ์พวกภาษาระดับสูง ๆ กลอน ๆ อันนั้นก็เยอะไปกุไม่ชอบ กุชอบแบบกลาง ๆ พอนึกภาพออกตามได้ง่ายไม่ต้องใช้คำยากไรมากมายกว่า แต่พวกบรรยายหน้าตา กุกากคำมันชอบซ้ำ ๆ เลยว่าจะมานั่งแก้ทีหลัง
เขียนนิยายสงครามยังไง ไม่ให้คนอ่านรู้สึกว่าตัวละครตายง่ายไปครับ พอลงตอนสู้บอสที่เก่งมากๆก็ไม่อยากบรรยายรายละเอียดหรือระลึกความหลังของพวกตัวรองมากเกินไปแบบซัดทีเดียว หัวกระจุยแล้วผ่านไปตัวอื่นเลยแต่คนอ่านบอกว่าใช้ตัวละครเปลือง
หรือว่าต่อไม่ควรพูดถึงคนอื่นๆให้โฟกัสพระเอกอย่างเดียวพอครับ
>>367 ไม่รู้นะ ส่วนใหญ่กุมักจะอธิบายฉากตายกับพวกทหาร หรือ แม่ทัพโนเนมของทั้งสองฝ่ายนะ เน้นบรรยากาศสับสนวุ่นวาย ต่างฝ่ายต่างเพลี่ยงพล้ำ
แล้วอธิบายคร่าวๆว่าตัวละครสำคัญกำลังทำอะไรในความวุ่นวายนั่น (จะหนี จะสู้ จะวางแผน ๆลๆ) นอกจากจะเป็นฉากสำคัญ เรียกน้ำตา ดราม่าจริงๆ ค่อยให้ตัวละครสำคัญตายจริงๆ
>>367 อ่านนิยายจีนได้ไหม กูขอแนะนำเรื่องของจิ่วถูพวกยุทธการล่าบัลลังก์อะไรเทือกๆนี้นะ บรรยายความบู๊ได้สะใจดี
แต่อย่างหนึ่งที่อย่าลืมเวลาเขียนก็คือมึงต้องนึกก่อนนะว่าคาแรคเตอร์ของคนที่สู้กันมันเป็นไง มันมีนิสัยติดสู้แบบไหน มีท่าถนัดไหม มีลูกเล่นอะไรเปล่า บ้าเลือดหรือค่อยๆเชือดหรือเป็นแบบอื่น แล้วมึงจะเขียนความคิดของฝั่งไหนก็เขียนไปเถอะ มันไม่เยิ่นเย้อหรอกถ้าคนอ่านเขาอินกับตัวละครมึงแล้วน่ะ
>>368 ขอบคุณฮะ พอดีเป็นพวกตัวละครรองๆแต่มีบทร่วมต่อสู้ไปมากับตัวเอกอยู่บ่อยๆแต่ แล้วตอนนี้คือสู้กับบอสใหญ่ของภาคที่เก่งมากๆ+ไม่อยากอธิบายยืดยาวเกินไป เลยให้ซัดตูมเดียวเละแบบไม่ให้ตั้งตัว
>>369 ขอบคุณครับ เดี๋ยวไปลองหาอ่านดู
>>370 ขอบคุณครับ คือเข้าใจเหมือนกันว่าใช้ตัวละครเปลืองคือแบบตัวอย่างที่ยกมานี้ แต่ที่เขียนคือเป็นพวกตัวละครรองๆที่มีบทต้นๆเลยครับ ร่วมกลุ่มผจญภัยกับพระเอกและรอดมาด้วยกันหรือมีบางคนที่ไม่รอด พอช่วงปลายภาคก็มีอีเว้นท์ปราบบอสซึ่งอยู่คนละระดับเลยกลายเป็นเทศกาลเลือด ตายเยอะมากๆ
ขอถามอีกหน่อยได้ไหมครับ คือโดนตำหนิมาว่าตัวเอกโง่เพราะไม่รู้สถานการณ์ทั้งหมดเลยพลาดท่า ควรจะแก้ดีไหม
>>371 ส่วนตัวไม่จำเป็นนะ มันอยู่ที่ว่าตัวเอกจะเรียนรู้จากความผิดพลาดไหม (อาจจะถูกความผิดพลาดหลอกหลอนไรงี้) หรือจะเป็นจุดพลิกพลันให้ตัวเองสูงขึ้น หรือ ต่ำลง บลาๆ บางทีการไม่รู้สถานการณ์อาจจะไม่ใช่เพราะอ่อนประสบการณ์อย่างเดียว แต่อาจจะเพราะมีหนอนบ่อนไส้ หรือ หน่วยข่าวกรองแย่ แต่ก็แล้วแต่มึงอ่ะนะมึงคนเขียน ถ้ามันรู้หมดเก่งทุกอย่างอาจจะกลายเป็นแกรี่ สตูโดยไม่รู้ตัว
- กรณีตัวรองจริงๆบางทีไม่ต้องอธิบายก็ได้ตายไง เอาแบบสงครามจบแล้วพระเอกหรือเพื่อนพบศพนอนตาเหลือกแล้วพระเอกปิดตาให้ก็ได้ หรือ บลาๆ จะได้สะท้อนความโหดร้ายของสงคราม
>>372 กุลืมบอกไปว่ากุชอบแต่งสงครามแนวเดอะลอร์ดนะรายละเอียดอาจจะแตกต่างตามยุคสมัยของสงคราม สิ่งที่กุแนะนำอาจจะไม่เข้ากับโทนเรื่อง หรือ แนวที่มึงเขียนก็ได้ ถ้าวิธีแต่งฉากรบของกุนะ คือกุศึกษาดูกลยุทธของการรบอันเลื่องชื่อจากทั่วโลก (อิงตามยุคสมัย) แล้วดูว่าแม่ทัพคนนั้นมีแผนอะไรพลิกผันสถานการณ์ได้ อะไรเป็นปัจจัยให้การฝั่งหนึ่งพลาดพลั้งจนพ่ายแพ้ แล้วก็ลองมาดัดแปลง ใส่ความเป็นแฟนตาซีเอา
ส่วนใหญ่สงครามเมื่อก่อนตายในการรบจริงประมาณ 20 เปอ เอง ที่เหลือส่วนใหญ่ตายระหว่างโดนไล่ล่าหลังจากกระบวนทัพแตกแล้ว แต่ถ้าเขียนแนวๆบาซาร่า ที่กลุ่มพระเอกเมพจัดฆ่าลูกกระจ๊อกฝ่ายตรงข้ามเป็นผักปลา ชนะโดยไม่ต้องพึ่งทหารฝั่งตัวเองเลย แบบนี้กุเขียนไม่เป็นว่ะ
>>371 สถานการณ์น่าจะคล้าย ๆ ที่เจอเลยแหะ แต่คนละแบบ โดนด่าเรื่องโง่เหมือนกัน 555+ แต่ท้าย ๆ กะจะมีสงครามเหมือนกัน แต่ช่วงนี้ยังอยู่ช่วงแรก ๆ อยู่ ช่วงโดนด่ามันช่วงปูฟื้นอยู่ กะให้ตัวเอกมีเจอเรื่องที่ผิดพลาดอยู่แล้วเลยไม่ได้สนใจมาก อีกอย่างคือจะปูให้ตัวร้ายเก่งระดับนึงด้วย มันอยู่ที่ระดับของเหตุการณ์มากกว่า ถ้าดูพลาดง่าย ๆ เกินคนอ่านจะว่าก็ไม่แปลก ต้องเขียนให้มันดูมีจุดที่รับได้ถึงความผิดพลาด ถ้าไม่พลาดเลยมันซูเกินปกติอยู่แล้ว ต้องการเหตุผลมารอบรับให้ได้ เช่น ขาดข้อมูลที่ถูกต้อง โดนฝ่ายตรงข้ามหลอก ศัตรูเก่งระดับไหนก็มีส่วนอีก สงครามถ้าชนะง่ายเกินมันก็ไม่มีอะไรให้จดจำ มันต้องสลับแพ้ชนะบ้างถึงจะลุ้น
เรื่องใช้ตัวละครเปลืองอันนี้ขึ้นอยู่กับปูมาแบบไหน ถ้าเล่าถึงมาเยอะอยู่กับตัวเอกมานานคนอ่านก็จะรู้สึกเสียดาย ส่วนตัวถ้าตัวละครแบบนี้จะตายจะมีจุดที่ทำให้ดูเหมาะสมในการตายนิดนึง เช่น ช่วยตัวเอกในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงระหว่างการต่อสู้ เหมือนตายง่ายแต่มีประโยชน์ให้กับตัวเอกบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ใช่วิ่งเข้าไปโดนศัตรูฟันหัวขาดในดาบเดียวแล้วบทหายไปเลยมันก็ดูใช้ตัวละครเปลืองไป ส่วนเล่าย้อนมันไม่จำเป็นต้องให้เจ้าตัวเล่าก็ได้ จะให้คนรอบข้างนึกถึงหรือตัวเอกเป็นคนนึกถึงก็ได้ ถึงจะตายง่ายมันก็ยังดูมีความทรงจำยังหลงเหลือให้คนที่ยังอยู่นึกถึงได้ ตีบทดราม่าไปได้อีกเยอะ อาจจะเป็นช่วงหลังจากจบสงครามแล้วหรือระหว่างสงครามให้ตัวเอกจิตตกก็ได้ อันนี้แล้วแต่วางเนื้อเรื่องมายังไง
แนะนำเหมือนโม่งบ่นเหมือนกันของจิ่วถู แต่งช่วงสงครามได้ดีจริง ๆ ทำให้อยากมาแต่งแนวนี้เลยแหละ แต่คงไม่ยาวขนาดนั้น
เวลามีพวกสัตว์หรือสัตว์ประหลาดร้องนี่ใช้คำอะไรกันบ้างวะ แบบ กรร ฮื่ม แฮ่ โฮก ฯลฯ
>>377 ก็มีตอบไปนะว่าพระเอกก็คนธรรมดา มีพลาดบ้างปกติ แต่กุอธิบายดี ๆ มีเหตุผลนะ ไม่ได้เหวี่ยงอะไร พอดีของกุแนวย้อนอดีต คนอ่านก็คงคาดหวังด้วยมั้งว่าจะเทพ จริง ๆ กุก็ใส่ความเทพนะแต่ส่วนอื่น จะเทพทุกด้านมันไม่ได้หรอก แรก ๆ มันจะว้าว แต่ถึงจุดนึงมันจะน่าเบื่อมาก กุทนเขียนแนวนั้นไม่ได้
คนอ่านทำไมชอบเรื่องมากเรื่องนางเอกซิงไม่ซิงวะ กูเขียนให้นางเอกเคยมีแฟน ก็ได้กันเรียบร้อยไปละ แล้วก็เลิกกัน นางเอกก็มาเจอพระเอก ก็เรียบร้อยไปละอีกหน แต่โดนด่าว่าร่านซะงั้น กูเสียจึยยยย กูว่านางเอกของกูไม่มีพฤติกรรมร่านนะ คบใครก็คบทีละคน เรื่องอย่างว่ามันก็ปกติของคนเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ ทั้งคู่ก็โตแล้ว รับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ ไหงต้องยึดติดกับความซิงขนาดนั้นวะ ไม่เข้าใจ
ขอคำแยะยำหน่อยโม่ง เราเป็นนักเขียนมือใหม่ที่เพิ่งเขียนนิยายไปแค่เรื่องเดียวและกำลังเขียนอยู่ ลงในเด็กดี
ช่วยแชร์วิธีโปรโมทนิยายของแต่ละคนให้หน่อยได้ไหม กูคิดว่าแค่อัพอย่างเดียวมันไม่พออะ แต่จะไปตั้งกระทู้โทรโมทในบอร์ดมันก็ดูไม่ได้รับความสนใจมาก(ขนาดวิวกระทู้ยังแค่30กว่าเลยเท่าที่สังเกต) กูไม่รู้จริงๆว่าจะทำให้เป็นที่รู้จักได้จากทางไหนบ้าง
ขอบคุณล่วงหน้า
>>379 กระแสนิยมไงมึง นางเอกซิงใสๆ แสนซื่อบริสุทธิ์ แล้วก็ต้องถูกพระเอกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้หญิงไม่ซิง พออะจึ๋งกันแล้วพระเอกก็รู้ความจริง แล้งก็รัก หวงมากขึ้น ซึ่งเป็นนิยายเกลื่อนมากกกกกก โดยส่วนตัวกูไม่มีปัญหากับเรื่องซิงไม่ซิง อย่างสายสวาทที่กูเคยอ่านนางเอกก็แต่งงานมีลูกแล้ว จึงค่อยเจอพระเอก เรื่องของมึงอยู่ในแนวไหนอ่ะ หากเป็นวัยรุ่นใสๆนี่มึงอาจโดนเยอะ แต่ถ้าแนวผู้ใหญ่ขึ้นหน่อยกูว่านักอ่านที่เม้นท์ว่ามึงเรื่องเยอะไปนะ
ถ้าไม่บอกว่าแฟนเก่าเป็นใครกูรับได้นะว่านางเอกไม่ซิง แต่ที่เคยเจอคือเหมือนเอาเรื่องเก่าที่จบไปแล้วมาพูดกูเลยไม่ชอบแนวที่ไม่ซิงเท่าไหร่ แล้วก็มีฉากกับแฟนเก่าและต่อมาเป็นพระเอก บอกเลยว่ากูไม่ได้อยากรู้ แต่รับที่ไม่ซิงได้ มีใครพอเข้าใจกูบ้างอันนี้ 555
>>380 กุไม่ได้โปรโมทว่ะ แชร์นิยายตัวเองยังไม่แชร์เลยเขิน บอกแต่คนใกล้ ๆ ตัว กุเน้นให้คนอ่านมาติดตามเอง ถ้านิยายเราดีจริงยังไงคนก็สนใจ แห่ประโคมแชร์ก็ได้แต่ยอดวิวปลอม ๆ กุให้ความสำคัญกับคนที่สนใจจะติดตามนิยายเราจริง ๆ มากกว่า ลองปรับคำโปรยกับรูปประกอบ ชื่อเรื่องให้น่าสนใจจะดีกว่านะ
กูนึกถึงเรื่องนานะว่ะ ไม่ซิงกันทุกคน นางเอก(ฮาจิ)ก็เปลี่ยนแฟนมาหลายครั้ง แต่คนอ่านไม่โอเคแค่นังเรร่าคนเดียว
สำหรับกุถ้าจะด่าว่าร่านมันคือนางเอกดูใจง่ายเกินว่ะ แบบดูรักง่ายเกินไป ไม่ได้มีปัญหากับนางเอกซิงไม่ซิง แต่ซิงก็ดีกว่า แต่หลาย ๆ เรื่องนางเอกไม่ซิงก็สตรองดี ที่ไม่ชอบก็พวกแบบขาดผู้ชายไม่ได้พวกนี้มากกว่า แบบ แปบ ๆ หาแฟนได้ใหม่อีกแล้ว แล้วก็เสียตัวอีกง่าย ๆ แล้วก็เจ็บอีก
จะมีใครชอบแบบกูมั้ยอารมณ์นางเอกจะไปมีอะไรกับคนนู้นคนนี้ไปทั่ว(ไม่ใช้แฟน)อารมณ์ one night stand ถ้ามีแฟนนางก็หยุดตรงนี้ แล้วคบกับแฟนในฐานะอยู่ด้วยกันได้ คุยกันได้ แต่ถ้าไม่มีนางมีอารมณ์อยากมีอะไรกับใครนางก็มี(ถ้าฝ่ายนู้นโอเคและฝ่ายนู้นไม่มีแฟน)
>>390 กูเคยเจอเรื่องนึง นางเอกไป one night stand กับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย(ไม่มีฉาก) ไม่ยอมสานสัมพันธ์กับใครเลย แต่พอเจอพระเอกที่ทีแรกก็ได้ยินกิตติศัพท์นางมา ก็อยากเย็ดเลยเข้ามาตีสนิทด้วย พอสนิทกันดีแล้วเกือบๆจะเหมือนแฟน นางไม่ยอมให้พระเอกเอาว่ะ จนพระเอกโมโหว่าทำไมกับกูมึงถึงเล่นตัวจังหาาาา สรุปคือ นางเอกรักพระเอกมากกกกก จนกลัวว่าฮีจะตีจากนางไปถ้าได้นางแล้ว กลัวพระเอกรังเกียจ ก็เลยยึกยักๆอยู่นั่น แต่กูก็ไม่ได้อ่านต่อว่ะเพราะคนเขียนไม่มาอัพซักที ห้าหกปีแล้ว จนกูลืมไปแล้วเนี่ยว่าชื่อเรื่องอะไร พระเอกนางเอกชื่ออะไร จำได้แค่มันพล็อตประมาณนี้
>>393 ขอโทษษษษษ กูจำไม่ได้อ่าาาาาาา 55555555555555555555555555555555 รู้สึกว่าเรื่องนี้ยอดวิวน้อย คนเมนท์ก็ไม่ค่อยมีด้วย คนเขียนเลยไม่มีกำลังใจมั้ง เลยไม่มาต่อ ตอนนั้นกูยังอ่านในวัยเด็กมหาลัยใสกิ๊งเลยค่อนข้างรับไม่ได้ที่นางเอกไม่ได้โดนพระเอกเปิดซิงคนแรก อ่านจบก็ปิดไป แต่ตอนนี้อะไรก็ช่างแม่ง แค่สนุกกูก็อ่าน กูชอบกูก็เมนท์ให้กำลังใจเขา ถือว่าแฟร์ๆกัน
นิยายเกิดใหม่ต่างโลกคือไรวะ คนพูดถึงเยอะมากๆ มันเป็นแบบไหนขยายความที
>>395 ก็ประมาณว่าโลกนี้มึงเป็นคนธรรมดาๆทั่วไป วันนึงเกิดตายกระทันหัน วิญญาณมึงหลุดลอยไปสิงร่างใครซักคนที่อยู่อีกโลก โดยมากจะเป็นคนสำคัญบ้าง เป็นสาวงามล่มเมืองแต่อาภัพบ้าง เป็นนางร้ายในเกมในมังงะที่เคยอ่านบ้าง มึงจะมีชีวิตที่ต่างออกไปจากตอนที่มึงอยู่ในโลกเก่าน่ะ
>>395 คือนิยายที่ตัวเอกตายหรืออื่นๆแล้วไปเกิดใหม่เป็นเด็กบ้าง ไปอยู่ในร่างคนอื่นบ้าง ในต่างโลก(บางทีถ้าโลกแฟนตาซีอยู่แล้วก็เกิดใหม่ในโลกตัวเองนั้นแหละ)
ต่างโลกบางทีก็อิงระบบเกมบ้าง เป็นโลกที่เคยเจอในหนังสือ/เกมที่โลกเก่าบ้าง แฟนตาซีธรรมดาบ้าง แล้วอต่จะเซต โดยทั่วไปจะมีความโกงหลายประการ พระเจ้าให้มาบ้าง ความรู้เดิมบ้าง เป็นต้น
เพื่อนโม่งมีคำแนะนำดีๆสำหรับการตั้งชื่อนิยายกับเขียนเกริ่นให้ดึงดูดนักอ่านมั่งไหม
แบบคนเห็นแล้วร้อง "เฮ้ย! น่าสนใจว่ะ" แล้วรีบกดเข้ามาอ่าน เอาของนิยายแฟนตาซี พล็อตผู้กล้าปราบจอมมารดาษๆก็ได้
>>401 พล็อตดาษๆเขียนให้น่าสนใจก็ยากนะ เพราะเรื่องย่อที่กูสนใจคือเรื่องย่อที่บ่งบอกว่ามันไม่ดาษ
ถ้าแบบง่ายๆ ก็ยกบทสนทนาในจุดพีคๆของเรื่องมามั้ง ส่วนตัวกูชอบนิยายขำขัน ก็เน้นอันที่ดูบันเทิง เช่น
[1]
"จอมมาร วันนี้ข้าจะปราบเจ้า!"
"เข้ามาเลยผู้กล้า ใครกลัวเจ้ากัน!"
"ผู้กล้า ท่านอย่าสู้อีกเลย"
"เจ้าหญิง อย่าได้ห่วง ข้าจะไม่มีวันพ่ายแพ้"
"ไม่! ผู้กล้า ข้าจะบอกว่าเขาเป็นพ่อท่าน"
ล้อเซียงเพียงอิ้วอีกกู... ไม่งั้นเขียนสไตล์เล่าฉากแบบคำบรรยายก็ได้ กูยกตัวอย่างอีกสักอัน
เรื่อง ภารกิจรีดไถของผู้กล้านักทวงเงิน
[2]
ในวันนี้ที่หิมะโปรยปราย ปราสาทจอมมารสูงเสียดฟ้า เหล่าผู้กล้าและสหายรอนแรมไกล เผชิญหน้าอย่างกล้าหาญดุจอัศวิน วันนี้ พวกเขาสาบาน ไม่ว่าอย่างไรจะต้องให้จอมมารยอมคืนเงินที่ยืมไปให้จงได้!
คำบรรยายผสมประโยคคำพูด
[3]
อัศวินแบกถุงผ้าอ้อม นักเวทย์ชงนม นักบวชอุ้มผู้กล้า โอ๋เด็กชายที่โบกเอ็กคาลิเบอร์เล่นเหมือนอมยิ้ม "ไปเที่ยวปราสาทจอมมาร เอาดาบจิ้มเขาทีหนึ่งก็กลับบ้านได้แล้ว ที่นี่ไม่มีลูกอม ขอล่ะ ได้โปรดอย่าร้องอีกเลยนะ"
ที่จะเห็นบ่อยๆ คือพวกเล่าโครงเปิดเรื่องแบบคร่าวๆ อันนี้ก็เข้าใจง่ายดี แต่ถ้ามึงเป็นพล็อตโหลๆ กูไม่แนะนำ เพราะกูเดจาวูเรื่องย่อสไตล์นี้ติดๆกันมาเยอะแล้ว ตัวอย่างกูเริ่มตันละ เอาเรื่องข้างบนมาเขียนใหม่ละกัน
[4]
เด็กอายุเพียง 4 ขวบดึงเอ็กคาลิเบอร์ออกจากหิน พระราชาส่งเขาไปปราบจอมมารในฐานะผู้กล้าพร้อมคณะสหาย(พี่เลี้ยง) ใครจะรู้ จอมมารกลับยึดตัวผู้กล้าไปเสียฉิบ เจ้าโชตะค่อน คืนผู้กล้ามา!
กูว่าสำคัญคือมึงต้องแสดงตัวตนให้ชัดเลยว่านิยายมึงเป็นแนวอะไร ผู้อ่านที่ต้องการนิยายสไตล์นี้ก็จะเข้าหานิยายมึงเอง อย่างที่กูชัดเจนว่าเป็นนิยายตลก ถ้ามึงเขียนนิยายเศร้าก็เขียนเรื่องย่อรันทดไปอะไรงี้ กฎแรงดึงดูดอ่ะมึง
กูชอบอ่านแนวผู้กล้ากับจอมมารแนวตลกๆเหมือนกัน อ่านแล้วกูรู้สึกว่าเฮ้ย! ผู้กล้ากับจอมมารเจอหน้ากันแล้วไม่ต้องฉะกันทุกครั้งก็ได้ มันต้องมีเวลาที่สามัคคีกันได้บ้างสิ แต่มันต้องดูหลายบริบท คาแรคเตอร์ตัวละคร ภาษาที่ใช้บรรยาย ฉาก เนื้อเรื่อง จอมมารความจริงแล้วอาจเป็นมหาบุรุษผู้แสนดีส่วนผู้กล้าก็หน้าแอ๊บใสก็ได้ 5555
>>402 >>403 ที่กูแต่งไว้(ได้หลายตอนแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงที่ไหน กะว่าได้เกินครึ่งเรื่องค่อยลง กลัวไม่จบ)คือพระเอกเป็นพ่อครัวอยู่ในยุคจอมมารนี่แหละ แต่ร้านขาดทุนป่นปี้เพราะพวกนักผจญภัยได้ส่วนลดมาแดกฟรี แม่งเลยขายร้านทิ้งแล้วออกเดินทางไปปราบเองกับเพื่อนมันที่เป็นยาม จะเป็นแนวตลกไร้สาระ จิกกัดแนวผู้กล้าคล้ายๆโคโนะสึบะ(เคยอ่านกันไหม?) กูจะสปอยล์ตอนจบเลยก็ได้ จะให้สปอยล์ไหมล่ะ
กรณีคำสบถ หรือตัวละครแบบเถื่อนสถุลสุดๆงี้ ใช้คำหยาบในระดับไหนกันน่ะ ใช้ตรงๆ หรือเลี่ยงๆกัน
>>404 ก็ฟังดูน่าสนุกนะ ขึ้นอยู่กับว่าพระเอกมันจะเอาอะไรไปปราบจอมมาร ถ้าเป็นพ่อครัวลุกขึ้นจับดาบแล้วเดินเรื่องเหมือนแนวผู้กล้าทั่วไป? หรือใช้ทักษะพ่อครัวสร้างกองทัพ ใช้ความรู้บัญชีทำอะไรสักอย่าง ลงลึกว่าทำไมผู้กล้าแม่งล้นเมืองจนร้านเจ๊งแต่ยังปราบจอมมารไม่ได้ (ผู้กล้าเหี้ยอยากแดกฟรีเลยไม่ยอมสู้จริงจัง หรือมีแต่พลังไร้สมองเลยล้มไม่ได้ บลาๆ) คือมันไปได้หลายทางอ่ะ จะด่วนสรุปว่าดาษก็เร็วไป
(ปล.กุไม่ได้อ่านโคโนะสึบะ...ถ้าพูดถึงแนวผู้กล้ากุนึกไปถึงโน่นเลย ดรากอนเควสต์ ; w ; )
ถ้าลงนิยายในเว็บนี่เขียนบทแนะนำตัวละครกันป่ะวะ คือมันจำเป็นป่ะ หรือไม่มีจะดีกว่า
หนังสือคลังคำปกใหม่กะปกเก่านี่มันต่างกันเยอะมั้ย ศัพท์เพิ่มเยอะมั้ย
มีปกเก่าพิมพ์ครั้งที่6อยู่ แต่เหมือนบางคำที่กูต้องการไม่มี ลังเลว่าสอยปกใหม่มาดีมั้ย
มึง กูขอคำแนะนำหน่อย คือกูเขียนนิยายแนวแฟนตาซีฮาๆอยู่ แล้วคิดจะส่งงต้นฉบับ มึงว่ากูควรลองส่งของ comico มั้ย หรือกูควรลองส่งสนพ.ก่อนแล้วถ้าไม่ได้ ค่อยส่ง comico กูเห็นคนที่ส่ง comico ถ้าcomico เอา เขาจะซื้อลิขสิทธิ์ไปเลยอ่ะ ได้ประมาณสองสามหมื่น
>>415 กูมีปกใหม่ แต่ไม่มีปกเก่า เลยจะรู้จะเทียบให้มึงยังไงนี่สิ คำแบบไหนที่มึงต้องการ เดี๋ยวถ้ามีเวลากูลองดูให้
>>416 ของ comico ฝั่งนิยายยังไม่ค่อยมีข้อมูล ไม่รู้มึงจะส่งสนพ.ไหน แต่ฝั่งของโค่เพิ่งเปิดนิยายน่าจะผ่านง่ายกว่าหรือเปล่า (กูก็เดาอะนะ.. เห็นมีคนถามเรื่องโค่ติดต่อมาเองด้วย) ถ้าส่ง comico มึงก็ลองมาทิ้งข้อมูลในนี้บ้างแล้วกัน
>>419 มึงตกข่าวตอนนี้ netwatch กลับไปเลียโค่แล้ว (ทู้นู้นเรียกกันค่ายแดง)
>>420 fictionlog เจ้าเดียวกับ ookbee กูไม่แนะนำ กูเพิ่งลบนิยายที่นั่นทิ้งไม่อยากมีปัญหาเอากระทู้พันทิพไปดูเอง https://pantip.com/topic/36665134 แต่อยากลองของก็ได้นะ
ของเมพ
เริ่มมีคนอ่านมากขึ้นเรื่อยๆ
https://www.readawrite.com/
ฟิคชั่นล็อค กูลงนิยายแฟนตาซีที่นั่น ตอนแรกก็บอกว่า จะโปรโมทจะช่วย พอสักพักยอดไม่ดี แม่งก็ไม่โปรโมทให้กูละ ตอนมาชวนไปลงนี่พูดหวานสัส ๆ บอกว่า ลงที่นี่จะช่วยสร้างยอดสร้างฐานให้ กูอุตส่าห์ไม่ทำหนังสือขายเองมาลงเลย ตอนแรกก็ดีหลัง ๆ ก็แย่ กูจะเลิกลงละ
เงินเดือนเหมือนระบบ บก น่ะ ของฟิคชั่นล็อค ถ้ายอดคนอ่านไม่ถึง เขาจะให้เงินน้อย ไอ้ค่าเปอร์เซ็นต์คนอ่านน่ะ ถ้ามึงไม่ใช่นักเขียนดัง ๆ มึงไม่ต้องไปหวังเลย ได้ไม่เท่าไหร่หรอก ตอนนี้ยิ่งฟิคชั่นดีลกับพวกนักเขียนดังมีฐานอย่าง มิว กัล คราวน์ได้ มันไม่สนใจคนอื่นแล้วละ
KY มึง กูบังเอิญอ่านเจอนิยายเรื่องนึงซึ่งแม่งพล็อตเหมือนเรื่องที่กูร่างไว้แต่ยังไม่เอาลงเน็ตมาก มากแบบเอาคร่าวๆเป๊ะทุกช็อตอะมึง แล้วเฟลไงไม่รู้อะ กูว่าเรื่องกูก็ไม่เกร่อนะ กูควรจะแต่งต่อหรือหยุดดีวะ งี้ถ้ากูลงเว็บปุ๊บเขาจะหาว่ากูลอกมั้ยอะ หรือว่ากูคิดมากไปวะ ฮือ
แต่ยังไงก็เฟลอยู่ดีว่ะ ทำไงดี
>> 432 เห็นด้วยมากๆ
คือถ้ากูจะลงนิยายอ่ะ พวกมึงแนะนำให้ลงที่เว็บไหน เห็นมีคนบอกว่าเดี๋ยวนี้คนเลิกอ่านเด็กดีกันแล้ว ลง fictionlog หรือ keedkean ดี มีเว็บไหนอื่นอีกที่แนะนำมั้ยวะ
นิยายกูเป็นแนวแฟนตาซี ฮาๆ ไม่ต่างโลก กูเคยลงเด็กดี มีคนอ่านเยอะอยู่ แต่นี่กูจะเอามารีไรต์เขียนให้จบ พล็อตให้แน่น กะส่งสนพ. อ่ะ
>>434 กูเห็นคนอ่านเด็กดีเยอะตามปกติ นักเขียนที่ได้ตีพิมพ์หน้าใหม่ๆ อยู่ที่นั่นเป็นส่วนใหญ่มากกว่าเว็บไหนนะ
ส่วนแนวแฟนตาซี ตอนนี้สนพแทบจะไม่มีที่ไหนเปิดรับอีกแล้ว นอกจากทำมือหรือมีสนพใหม่ขึ้นมาทำ
เพราะว่า ถ้าไม่ใช่แฟนตาซีแนวรักพระเอกนางเอกวัยผู้ใหญ่ สนพใหญ่ๆไม่รับแล้วนะ
ถามในนี้ได้ป่ะวะ ใครเห็นแอพจอยลดาที่เป็นนิยายแชทของเครือผึ้งละมั่ง มันคิดเรทค่าขนมยังไงวะ กูอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจ
ky หน่อย ปกติพวกมึงแต่งวันละประมาณกี่คำวะ แล้วเขียนกันทุกวันปะ
>>443 ตอนแรกกูก็โยนๆลงไปในหน้ากระดาษ อย่าเพิ่งสนใจอะไร (แม้จะทำค่อนข้างลำบากก็เถอะ กูอดใจแก้ไม่ค่อยไหว 555) เลยไม่ได้นับคำอะไรเท่าไหร่แต่ก็พยายามเขียนแต่ละครั้งให้ถึงอย่างน้อยพันคำอัพนะ ส่วนเขียนทุกวันนี่ไม่ไหวจริงๆว่ะ กูไม่ใช่เด็กแล้ว จะเขียนอะไรก็คิดหนัก สมองมันไม่ลื่นเหมือนเมื่อก่อน ตัดใจเขียนชุ่ยๆก็ไม่ได้ด้วย ไหนจะมีเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆในชีวิตอีก เอาเป็นว่ามีอารมณ์เขียนค่อยเขียนนั่นแหละ
ky หน่อย ถ้ากุจะแต่งนิยายโดยใช้คำว่า<นาง>ในบทสนทนาแต่ใช้<เธอ>ในคำบรรยายมันจะขัดหูขัดตารึเปล่าที่ไม่ใช้คำเดียวกัน
มึง เคยแคร์คนอ่านมากเกินไปปะวะ ถ้ามึงเปิดปมไปนิดหน่อยแล้วทำให้เขาอยากรู้มากจนหัวร้อน ทั้งที่กว่ากูจะเฉลยก็อีกพักใหญ่อะ
คนอ่านหัวร้อนจนกูเครียดอะมึง ทำไงดีวะ
ถามหน่อยฮะสมัยนี้ นิยายแฟนตาซี ยอดพิมพ์เริ่มต้นกี่เล่มกัน
ky เจอคนอ่านเม้นดักทางตอนจบควรทำไงดี ตามพลอตเดิมที่คิดไว้ก็กะว่าจะให้มันลงเอยแบบนั้นแหละ เพราะไม่อยากให้เรื่องมันหนักมาก
กะเขียนสบายๆ ไหลไปเรื่อยๆ แล้วก็จบแฮปปี้เอนด์แบ๊วๆนี่แหละ แต่พอเห็นเม้นแล้วมีความรู้สึกอยากหักมุมมาก 55555555555 ควรเปลี่ยนไปจบแบบอื่นหรือเอาตามเดิมดี แล้วพลอตกูคือร่างไว้จนจบหมดแล้วด้วย ถ้าเปลี่ยนตอนจบอาจจะต้องเปลี่ยนโครงเรื่องตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องไปยาวเลย
>>455 อยู่ที่เมิงว่ะ โอเคกับตอนจบแบบนี้ไหม ถ้าโอเคแล้วก็ไม่ต้องเปลี่ยน เรื่องเดา กุก็เจอนักอ่านเดาถูกบ้างผิดบ้างเป็นปกติ แต่ที่กุวางพล๊อตไว้มันมีอะไรมากกว่านั้นระหว่างทางอยู่แล้วเลยไม่สนใจ ถ้าเมิงคิดว่าพล๊อตโอเคสำหรับนิยายตัวเองแล้วก็อย่าไปเปลี่ยน มันจะเละกว่าเดิม หรือดูกลายเป็นเหมือนเมิงต้องการแค่จะหักมุมแกล้งคนอ่านเฉย ๆ แต่การที่เปลี่ยนกระทันหันมันจะทำให้ไม่อินกลายเป็นยี้แทน
ตอนนี้เขียนนิยายลงเว็บแล้วที่ไหนได้เงินเยอะที่สุดอะ อยากหาค่าขนมเล็กน้อย
>>455 อย่าเปลี่ยน กูว่านักเขียนควรจะหนักแน่นกับพล๊อตตัวเองไม่ใช่ลมเพลมพัดเปลี่ยนเพราะอยากเซอร์วิสคนอ่าน คนอ่านชอบพระรองมากกว่า คนอ่านเดาได้ ฯลฯ มึงเขียนนิยายคนอ่านเป็นร้อย มึงจะให้ไม่มีใครเดาได้มันเป็นไปได้เหรอวะ นอกจากว่าคนอ่านของมึงอ่านนิยายมาเป็นเรื่องแรกกันทุกคน อย่างกูอ่านนิยายเน็ตกูเดาทางเป็นกิจวัตรอะมึง เดาถูก 80% เลยด้วย เคยมีนข.บอกว่าเดาถูกเหมือนเปิดโพยข้อสอบเลยอะ แต่เขาก็ไม่ได้แก้อะไรนะ (คิดว่างั้น)
>>455 ถ้ามึงจะเปลี่ยนกูปูเรื่องให้มันดีๆ เนียนๆ ดูมีเหตุผลให้จบแบบตอนจบที่มึงเปลี่ยนแล้วกัน
คือกูเคยเจอนักเขียนที่เหมือนเปลี่ยนเพราะหลบทางคนอ่านอย่างเดียว แล้วไม่ปูอะไรทั้งนั้น จบแบบไม่สมเหตุสมผลอะ คือกูเจองี้กูรู้สึก wtf มาก แล้วก็กลายเป็นเกลียดเรื่องนั้นไปเลย
ถึง >>456 >>458 >>459 และ >>460 กู >>455 เองนะ กูไม่มายด์คนอ่านเลย ไม่คิดเซอร์วิสด้วย ทุกวันนี้เขียนตามใจตัวเองสุดๆ ที่กูหมายถึงนี่คือกูหมั่นไส้อยากแกล้งคนอ่านเฉยๆเหมือนการ์ตูนคุณเสรีอะมึง แต่ละตอนเดาเชี่ยไรไม่ได้ซักอย่างงี้ เป็นฟีลแบบ เดานักใช่มั้ยพวกเมิง เจอหักมุมแม่ง งี้อะ งงมะ 5555 แล้วก็ที่อยากเปลี่ยนเพราะกูเพิ่งลงไปแค่บทนำกับตอนแรกอะ ควรจะรู้สึกยังไงดีที่โดนดักตอนจบตั้งแต่ตอนแรก สัสเอ๊ย 55555555 แต่ไงกูคงเช็คพลอตอีกทีแล้วค่อยตัดสินใจแหละว่าจะเปลี่ยนไม่เปลี่ยน เรื่องก่อนของกูออกแนวดราม่าทั้งเรื่องแต่สุดท้ายจบแฮปปี้ ส่วนเรื่องที่โดนดักนี่ ต้นถึงกลางเรื่องออกแนวคอมเมดี้ พอท้ายเรื่องจะดราม่าหน่อยแล้วก็จบ เลยอยากเปลี่ยนจากจบสวยๆไปจบดราม่าแม่ง แต่ตอนจบที่กูร่างไว้ในใจนี่ มันไม่ใช่แฮปปี้เอนด์สำหรับคนอื่นแน่ๆ 555555
สนพ ไหนหว่า
https://pantip.com/topic/36723989
นิยายรักที่คนอ่านไทยชอบนี่ เป็นแบบนี่กันหมด หรือเปล่า
อยู่ๆก็สงสัย เวลาอ่านนิยายก็พอจะรู้ว่าสำนวนแบบนี้เป็นแนวจีน แนวยุโรปนะ
แต่เอาเข้าจริงๆมันมีความแตกต่างยังไงกันหว่า ให้มันแยกแยะออกมาได้
สมมติฉากเดียวกัน : ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในสวน เห็นหญิงคนนึงมองพระจันทร์อยู่ริมแม่น้ำ
ใช้สำนวนแบบไหนให้มันดูฝรั่ง ดูจีน หรือไทยพีเรียด แบบไม่ต้องพึ่งชื่อตัวละคร?
กูคิดเองนะ
ไทย ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในสวน เห็นหญิงสาวมองจันทร์อยู่ริมน้ำ
จีน บุรุษผู้หนึ่งก้าวเข้าไปในสวน เห็นสตรีนางหนึ่งมองดวงจันทร์อยู่ริมน้ำ
อังกฤษ ชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในสวน มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งมองพระจันทร์อยู่ริมน้ำ
ความไทย ฝรั่ง จะมองจากบทสนทนาได้มากกว่า ถ้าไทยจะมีบุรุษ 1 กับ 2 เยอะมาก ฉัน กู เค้า ชื่อตัวเอง ฯลฯ แต่อังกฤษจะมีอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเวลาแปล ถึงคนแปลจะเปลี่ยนคำไปตามบริบทบ้างแต่คำพวกนี้ก็จะมีใช้ไม่หลากหลายอยู่ดี อย่างมากก็3-4 แบบ และไม่มีการเรียกชื่อตัวเองแน่ ๆ ในขณะที่ไทยฮิตการเรียกตัวแบบนี้มาก อีกอย่างคือชื่อเล่นกับชื่อจริง ไทยมันเป็น 2 ชื่อเลย แต่อังกฤษชื่อเล่นจะแผลงมาจากชื่อจริง และการเรียกฝรั่งจะเรียกชื่อตรง ๆ แต่คนไทยจะนับญาติ เรียกพี่เรียกน้อง ลุงป้าน้าอากันเสมอ ไม่งั้นก็ต้องมีคุณ มีท่าน หรือไอ้ อะไรพวกนี้ แล้วก็ฝรั่งของทุกอย่างจะมีการนับ มี a , a few, many ฯลฯ เสมอ ดังนั้นนิยายแปลฝรั่งจะมีคำพวกนี้มากกว่าไทย
ส่วนจีนจะมีศัพท์ที่ใช้กัน แบบ บุรุษ สตรี มันเยอะอะนะอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน ต้องลองอ่านเยอะ ๆ จะเห็นความต่างของศัพท์ ส่วนการเรียกจะคล้ายไทยผสมฝรั่ง คือยามปกติก็จะมีแค่ ข้า เจ้า ท่าน แต่บางทีเวลาผู้พูดต้องการเน้นสถานะก็จะมีการใช้ศัพท์แทนตัวอื่น ๆ ในกรณีที่ผู้พูดเหนือกว่า แต่ในกรณีผู้พูดยศต่ำกว่าส่วนมากจะใช้คำแทนตัวที่ถ่อมตัวตลอด ๆ นะ
ทั้งหมดนี้คือความเข้าใจของเรานะ ไม่รับประกันความถูกต้อง
อ้อ อีกอย่างการเรียกคนอื่นของจีนจะเน้นเรียกสถานะของคนคนนั้นมากกว่า เช่นคุณชาย คุณหนู ใต้เท้า นายท่าน ลูกเรา ท่านพี่ ฮูหยิน กงกง พระสนมฯลฯ ถ้าไทยจะเน้นเรียกชื่อมากกว่า แล้ว+ ความสนิทแปะไว้หน้าชื่อ อีกอย่างจีนจะมีสิ่งที่เรียกว่าฉายาที่จะใช้เรียกกันบ่อย ๆ ด้วย
ส่วนตัวกูว่าของไทยคำสวยกว่าฝรั่ง
เออ นั่งนึกเล่นๆ เมื่อก่อนกูอ่านนิยายคนไทยแต่งเยอะก็รู้สึกนะว่าติดการบรรยายแบบพรรณามาเยอะเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เขียนเท่าไหร่ แถมอ่านฝั่งฝรั่งเยอะกว่าด้วย รู้สึกจะเขียนอะไรก็ห้วนไปหมด มันมีสิทธิ์เป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยป่ะวะ 555
แค่ผ่านมาบ่น ตอนเด็กอยากแต่งอะไรเมื่อไหร่ก็ได้ แต่พอโตมาจะแต่งเบียวๆก็ไม่ไหว แถมกว่าจะทำงานหาเงินเสร็จ สมองแม่งก็ล้าจนไม่อยากคิดอะไรแล้วว่ะ orz
>>478 ตบบ่ามึง เหมือนกันเลย ของกุสมองล้าไม่เท่าไหร่ แต่สายตา บ่า ไหล่อะไรพวกนี้ดิ มันแสบและเมื่อยโคตรเลยว่ะ ยิ่งกุเป็นพวกแต่งช้าแต่งลบอยู่นั่นด้วยยิ่งเข้าไปใหญ่ กว่าจะได้แต่ละหน้านี่นั่งเป็นวัน มันซวยตรงที่หัวกุขยันงอกพล็อตมาก ตอนนี้มีดองไว้เป็นสิบละยังเขียนไม่จบเรื่องแรกเลย แถมตัวกุเป็นสายวาดอีกด้วย เคยคิดจะแก้ปัญหาด้วยการวาดเป็นมังงะแทน ใช้ภาพอธิบายเอาเพราะบางทีนึกจังหวะภาพคูลๆ ออก ทว่าแม่งต้องติดสกรีนโทนอะไรยุบยั่บอีก(ไม่จำเป็น แค่ความยึดติดของกุเอง) สัดสรุปกุกลับมาเขียนต่อดีกว่า 5555 กุนึกๆ อยู่ว่าอยากได้พิมพ์ดีดมาสักตัวดีมั้ยถ้างั้น จะได้ไม่ทรมานสายตากุมากนัก แต่ว่ามันเป็นจะออกมาเป็นชิ้นกระดาษอีก กุขี้เขินกลัวใครในครอบครัวมาเห็นว่ะเลยพับโครงการเก็บไป 555
เออ กูก็แต่งช้า มีพลอตในหัวเยอะแยะแต่เขียนไม่ออก เขียนออกมาสื่อไม่ได้ดั่งใจทุกที แต่กูก็พยายามไป ทีนี้มาคิดๆ กูอยากเขียนอะไรให้มีคนมากรี๊ดมาตามบ้าง แต่ปัญหาคือกูเขียนบ่อยๆ เขียนแบบกำหนดเวลาไม่ได้ว่ะ ทีนี้นานๆจะเขียนทีก็กลัวคนจะลืมซะก่อน พอมาปลอบใจว่าเขียนเพื่อสนุก เขียนไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พักก็จะย้อนกลับไปตรงอยากมีคนตามอีก เฮ้อ...
กุขอบ่นมั่ง... คือทุกวันนี้กุรู้สึกอยากจะเลิกเขียนว่ะ
คือกุถนัดแฟนตาซี แต่ว่าตลาดไทยไม่รับรองเท่าไร จะให้กุไปเขียนแนวอื่นก็ไม่ได้ แถมกุแก่แล้วด้วยจะให้ไปเขียนเบียวๆ เอาใจเด็กก็ไม่ได้อีก
รู้สึกด้อยค่าว่ะ กุชักเริ่มตั้งคำถามตัวเองแล้วว่า ทุกวันนี้ที่กุเอาเวลาว่างในชีวิตมาเขียนนี่ มันคุ้มแล้วเหรอวะ?
กูขออนุญาตตบกลับมาเรื่องสำนวนจีนกะฝรั่งหน่อยนะ คือกูก็กำลังสงสัยอยู่เรื่องนึงเกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้ คือเวลาอ่านนิยายแปลวัยรุ่นฝรั่ง กุจะอ่านแล้วรู้สึกว่าเออ มันคือยุคโมเดิร์นที่เราๆ อยู่กันนี่แหละ อ่านแล้วเหมือนประโยคสนทนาที่เกิดขึ้นได้จริง แต่เวลาอ่านนิยายแปลจีนยุคเดียวกันกุจะรู้สึกเหมือนกับว่าคนแปลมักจะไม่มีการใส่สีสันอะไรลงไปเลย หรือไม่ก็ชอบใส่คำโบราณๆ ลองสมมติประโยคให้ดูก็คงประมาณ "ไหนเลยจะเคยตีคน" "สำหรับเรื่องนี้ แม้แต่ฉันก็ยังไม่อาจตัดสินใจโดยพลการ" คือมักจะแปลออกมาเป็นภาษาเขียนมากกว่า กูไม่รู้ธรรมชาติของภาษาจีนนะเลยไม่แน่ใจว่าเป็นที่ภาษาเองหรือเปล่า ตอนแรกกุอ่านกำลังภายในก็ไม่รู้สึกติดขัดอะไร แต่พอเป็นนิยายยุคปัจจุบันก็เห็นสำนวนพวกนี้อีกเลยสงสัย หรือขึ้นอยู่กับชั่วโมงของนักแปลวะ
เป็นนักแต่งฟิคจากการ์ตูนหรือนิยายต่างๆพูดในกระทู้นี้ได้รึเปล่าวะ คือกูเป็นมือสมัครเล่นอะนะ ไม่เคยตีพิมพ์เพื่อขาย ก็เขียนเอามันส์ไปงั้นนะ ทำแล้วสนุกมาก เวลาเห็นคนอ่านมาอ่านแล้วบอกสนุกกูก็ดีใจ อยากเขียนเรื่อยๆ แต่พอนานๆไปกูชักเหนื่อยว่ะ กูรู้สึกกดดันยังไงไม่รู้ดิ ทั้งที่ไม่มีใครมากดดันกูหรอก แต่กูก็อยากให้มันออกมาดีว่ะ อยากให้คนอ่านเขาไม่ผิดหวังอีกว่ะเพราะตอนนั้นกูเขียนเอามันส์ เรื่องก็เลยสะเปะสะปะมาก วางโครงไม่ค่อยดี นึกอะไรออกก็เขียน อีกอย่างถึงจะเป็นคู่เมนกู กูก็ให้จบแบบ bittersweet ตามที่คิดไว้เพราะกูก็ไม่อยากจบเอาใจใครหรือทุกอย่างต้องแฮปปี้ลงเอยกันอยู่ด้วยกันไปตลอดกาลนานด้วยอะ
อีกอย่างเร็วๆนี้กูเพิ่งโดนอฟช.ล่มเรือที่กูเชียร์มา กูเลยเฮิร์ตพอสมควร แถมจิตตกด้วย เหมือนที่ผ่านมากูทำไปเพื่ออะไรวะ แต่ก็พอเข้าใจว่ากูเลือกเรือผิดลำเองก็ต้องยอมรับผลของการเลือก แต่แม่ง....กูหมดแรงจริงๆนะ อยากจิครายยยยยย 5555555555
กูอยากกลับไปเป็นตัวกูสมัยก่อนจังว่ะ แบบที่เขียนๆไปไม่ต้องคิดอะไร สนุกก็พอแล้ว แต่ตอนนี้มันทำไม่ได้แล้วว่ะ ทำไมกูต้องมาคิดหยุมหยิมโน่นนี่นั่นด้วยวะ ไม่เข้าใจตัวเอง
>>489 กูก็สายฟิคแบบเดียวกันนะ กูเข้าใจอารมณ์มึงว่าฟิคที่แต่งขึ้นมา มีคนชอบ ก็อยากตอบสนองความคาดหวังของคนที่มาอ่านว่าจะเขียนให้ดีๆนะ
คือเริ่มแรกมึงเขียนเอามันส์ พลังกาวอัดฉีดมันก็ฮึกเหิม แต่การเขียนแบบนี้มันไม่ได้วางโครงก็จะมีพล็อตโฮลไง มึงลองหยุดแต่ง วนอ่านใหม่ตั้งแต่ตอนแรก ดูว่าเห็นภาพรวมอะไร จะไปต่อยังไงถึงจะสมบูรณ์ แล้วค่อยแต่งต่อ กูว่าแบบนี้น่าจะช่วยได้นะ
ส่วนตอนจบ แล้วแต่ความพอใจมึงอะ ว่ามึงอยากจบแบบไหน ถ้าวางเรื่องมาโอเค มีเหตุผลเพียงพอ ต่อให้bad endกูว่าคนอ่านก็เข้าใจ
เรื่องเรือโดนอฟช.ล่ม ของแบบนี้ยิ่งต้องอัดกาวเว้ย55555 ลงเรือผิดลำแล้วไงอะ นี่ฟิคมึงนะ มึงแต่งสิ่งที่อฟช.ไม่มีให้อยู่แล้ว ล่มไม่ล่มแล้วไง ขอแค่ใจมึงรัก ไม้จิ้มฟันมึงก็พายต่อได้
กูก็เคยโดนอฟช.ล่มเรือ กูยิ่งฮึกเหิมเลย ได้! เมนกูต้องมาสมหวังให้ฟิคกู! เรือน้อยๆของกูไม่มีวันตายยยย
มึงเขียนตามใจมึงอยากอะ ดีที่สุด แค่ดูพล็อตโฮล ดูโครงมันนิดจะทำให้มึงต่อเรื่องได้ สู้ๆนะมึง
>>492 มึงนึกดิ อะไรทำให้มึงรักคู่นี้ ตอนนั้นมันคือโมเม้นของมึงใช่มั้ย ต่อให้เรื่องจะเดินต่อไปทางไหน แต่โมเม้นตรงนั้นก็ยังตราตรึง เป็นความทรงจำดีๆที่ทำให้มึงรัก กลับไปอ่านงานเก่ามึง เสพจากคนผลิตคนอื่นให้ชื่นใจ ค่อยๆฟื้นฟูกำลังใจ อฟช.ไม่มีแต่ใช่ว่าจะไม่มีคนขึ้นเรือเดียวกับมึงนะเว้ยย
โม่งๆ อยากรู้ว่าถ้าแฟนคลับอวยคู่ชิบมากๆ แต่กูดันวางบทไว้ให้ตายคู่ ควรจะทำไงดีอ่ะ คือบทมันสมเหตุสมผลถ้าจะตายแล้ว แต่ก็กลัวคนจะหายจังแฮะ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.