Last posted
Total of 1000 posts
ปัจจัยเดี๋ยวคือคนไทยซื้อหนังสือน้อย
ราคาปกที่เห็นบอกถึง
1.รายได้ต่อเล่มที่นักเขียนจะอยู่ได้เพราะทั่วๆไปนักเขียนออกหนังสือปีหนึ่งไม่กี่เล่มเอง คือ1-2เล่ม
นอกจากคนได้ออกหลายเล่มอันนั้นระดับบิ๊กๆ
(10% xราคาปกxจำนวนเล่ม ตอนนี้สตาร์ยอดพิมพ์ 2000 เล่ม ราคา 350 บ. สรุปนักเขียนได้เงินราว 70000)
2.ที่ออกมาหวังขายพอมีกำไรคือราว 1000 เล่มขึ้นไป สนพ.พอจะได้กำไรบ้าง สถานการณ์หืดขึ้นคอ ไม่ได้หวังขายได้เยอะ
ส่วนราคาหนังสือที่ถูกเมืองนอก
เพราะต้นทุนหารพิมพ์ต่อเล่มของเขาสูงมากๆ ราคาต่ำกว่าเราได้เยอะ (กฎราคาต่อจำนวน พิมพ์ยิ่งมากยิ่งถูก พิมพ์น้อยลงยิ่งแพง)
ด้านแปลไทย เดี๋ยวนี่เล่มใหม่ๆ ตกอยู่ในสถานการณ์คนซื้อน้อย
สังเกตราคาก็ใกล้เคียงกับหนังสือไทยหมดแล้ว เมื่อเทียบความหนาจำนวนหน้านะ
อย่าง อัคนีพยัคฆ์ 360บ. 512 หน้า
ราคาหนังสือแปลที่หนาเท่ากันรุ่นใหม่ๆ
ผลาญเล่ม 1 ราคา 369บ. 511 หน้า
อสุรากับยาใจเล่ม1 ราคา 350บ. 437หน้า
ส่วนค่ายใหญ่สีส้ม ยอดพิมพ์น่าจะครั้ง 3000 เล่ม ทำให้มีตัวหารราคาเยอะ แต่ก็ราคาไม่หนีกันเท่าไรในยุคนี้
เช่น บุพเพอลวนเล่ม1 ราคา 369บ. 590หน้า
สรุปมันมีปัจจัย เพื่อให้นักเขียนอยู่ได้ สนพ.พอมีกำไร ในสถานการณ์ที่คนซื้อแม่งน้อยลงด้วยนะเพื่อนโม่ง
ราคาหนังสือจะถูกลงเมื่อผลิตออกมาเยอะ เมื่อคนซื้อเยอะ ประมาณระดับหมื่นถึงแสนเล่มก็จะยิ่งโครตถูกแบบที่เห็นในเมืองนอกนั่นแหละ
แต่เมืองไทยอย่าได้หวัง เพราะคนซื้อน้อยสุดๆ ไง
>>868 ที่คนไทยซื้อน้อย กูว่าส่วนนึงเพราะมี pdf เถื่อนให้อ่านฟรีอย่างกราดเกรื่อนว่ะ แม่งคิดแต่ว่าอ่านฟรีเอาก็ได้ทำไมต้องเสียเงินซื้อ ไม่มีก็ไม่อ่านไรงี้ แต่กูเป็นพวกซื้อเก็บซื้ออ่านว่ะ กูยังอยากให้มีหนังสือให้อ่านต่อไปนะ กูไม่ชอบอีบุ๊คด้วยกูอยากได้เป็นเล่มๆอ่าน
>>869 ตัวอย่างคือนิยายจีนของสยามนั่นแหละ
สแกนเถื่อนก็ออกหลังสยามวางขายนิยายได้ไม่กี่วัน แถมโดนทุกเรื่อง
ยอดขายลดลงระดับ 40% ในรายไตรมาส หรือก็คือขายได้น้อยลงเรื่อยๆ เกือบครึ่ง
ถ้าไม่ใช่ บ. ในตลาดหุ้น+ ดีที่มีแบล็กอัพแข็งหน่อยอย่างคนที่เขียนคำนำในเล่ม
อาจต้องปิดตัวไปแล้ว
สยามโดนโหดจริงๆ สแกนแม่งทุกเล่มจนสงสัยว่าคนทำแม่งว่างขนาดนั้นเลยเรอะ
โดนทุกเล่มจริง แต่หลังๆ โดนปล่อยช้านะ สงสัยไม่สนุก ตอนพี่เสือนี่มาไวมาก
ส่วนหนึ่งที่ตกเพราะตามใจท่านผู้นั้นด้วยละ รสนิยมไม่ตรงกับชาวบ้านเท่าไหร่ แนะนำมากี่เรื่องก็แป้กทั้งนั้น เรื่องที่ไม่ชอบอย่างพี่เสือดันขายดีแซงหน้าเรื่องที่แกแนะนำอีก
กูเคยเจอคนประกาศโต้งๆเลยนะว่า เพราะกระจายของช้าเลยทำให้ต้องไปอ่านแสกน คนจะอ่านแล้วทนไม่ไหวของมาถึงมือช้าเลยโหลดอ่านฟรีดีกว่า กูนี่อึ้งเลย แต่ของสนพ.นี้โหดจริงแสกนมันทุกเรื่อง อย่างตอนเต้ามู่เล่มเพิ่งวางขายสองวันถัดมาแสกนมาแล้วงี้ กูนับถือคนแสกนมากว่าว่างขนาดไหน จนบางทีกูยังคิดเลยว่าหรือคนในปล่อยออกมาเองเลยวะ
แล้วสยามไม่จัดการหน่อยเหรอ
เอ่อ กูเห็นอีบุ๊คของนักเขียนคนนึงมีออกเฉพาะตอนพิเศษมาให้อ่านฟรี กูนั้มตาไหลเลย เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่กูคิดจะตัดใจไม่ซื้อฉบับรีไรท์อยู่ ขอบคุณนักเขียนที่ช่วยรักษาไต(และใจ)ข่ะ
กูเข้าใจแล้ว ว่าทำไมนักเขียนที่เคยเขียนนิยายแปะเน็ต พอเป็นนักเขียนอาชีพก็เลิกแปะเน็ต เลิกลงจบ
กูเข้าใจว่าเคยซื้อหนังสือมาแล้ว นักเขียนรีไรท์เพิ่มตอนพิเศษ มึงอยากได้ แต่ตัดใจไม่ซื้อ พอดีนักเขียนออกอีบุ๊คตอนพิเศษแยกให้อ่านฟรี มึงเลยดีใจใช่มั้ย
ถ้าไม่ใช่อย่างที่ว่ามา กูจะสงสารนักเขียนมาก
ของปราณธรหรอวะ
ทำไมดูเหมือนเพื่อนโม่งนักอ่านบางคนแอนตี้นักเขียนที่เอานิยายเรื่องเก่าๆ มารีไรท์ขายจังวะ อ่านๆ แล้วมันดูเหมือนเกินกว่าการอยากซื้อเล่มใหม่ที่รีไรท์เขียนเพิ่มและเติมตอนพิเศษให้ แต่ตัวเองดันเคยซื้อเวอร์ชั่นก่อนหน้ามาแล้วเลยไม่พอใจ มันเหมือนการพูดถึงแบบมีเป้าในใจเลยว่ะ นักเขียนที่มึงรักเขาไปทำะไรให้มึงเหรอวะ
กูไม่ซีหรอกนะเรื่องรีไรท์ ไม่ค่อยคิดมากด้วยต่อให้เป็นนักเขียนที่ชอบจริงจัง เพราะโดยส่วนตัวแล้วกูไม่คลั่งปก ไม่คลั่งตอนพิเศษที่เขียนมาเซอร์วิส และก็ไม่อ่านอะไรซ้ำหลายรอบ แม้เนื้อหาต่างกันสองสามหน้า กูก็ยังถือว่ามันเป็นเรื่องเดิมอยู่ดี ถ้ากูมีพิมพ์เก่า ถึงพิมพ์ใหม่ออกกูก็ไม่ซื้อ แต่ถ้าเรื่องใหม่กูเอาอยู่
เป็นพวกเน้นปริมาณ มากกว่าคุณภาพว่างั้นเถอะ ตังค์ที่จะเอาไปเปย์ให้ปกใหม่ กูเก็บไว้รอซื้อเล่มใหม่เขาได้ ไม่ก็เรื่องใหม่ได้เลย หนังสือดีๆ มันออกมาเยอะ ลดอะไรได้ก็ลด
อารมณ์ประมาณ กูเป็นแฟนมึงมาตั้งแต่มึงยังไม่มีชื่อเสียง พอมึงดังมึงเปลี่ยนปกเพิ่มเพลง คนที่ไม่ได้เป็นแฟนจริงๆของมึงมาซื้อทีหลังได้ของดี แต่แฟนมึงจริง ๆ เสือกต้องซื้อซ้ำ...เมืองนอกเค้ามีแต่ลอตแรกเป็น special edition มีของแถมสำหรับแฟนพันธุ์แท้ แต่นี่ลอตหลังดันได้ดีกว่าลอตแรกซะงั้น ละมั้งนะ
คนซื้อรอบแรกผิดอะไรวะ กูก็ไม่อยากซื้อใหม่เหมือนกัน. กูไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่า มีตอนพิเศษเพิ่มไหมเนี่ย.
ถึงเพิ่มมากูก็ไม่ซื้อเพราะโครงเรื่องมันก็เหมือนๆเดิมอาจจะมีเกลาๆบ้าง
เอาเงินไปลงกับเรื่องใหม่ที่ไม่เคยอ่านดีกว่า
>>881 ใช่แบบที่มึงว่า แต่! กูไม่ได้อยากได้ตอนพิเศษถึงขนาดจะลงแดงขนาดนั้น ถ้าได้อ่านก็ดีแต่ถ้าจะได้อ่านแล้วต้องไปเสียเงินกูก็ยอมนะ... สำหรับตอนแรกๆ เพราะกูไม่ได้ซื้อหนังสือของนักเขียนคนเดียวไง มันมีหลายคนที่ออกมาแนวๆ นี้ พิมพ์ใหม่เปลี่ยนปกเพิ่มตอนพิเศษ มันเริ่มดูมากขึ้นหลายคนขึ้นที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ กูไม่สามารถตามซื้อได้ทุกคนทุกเล่ม
ถ้ากูจะซื้อฉบับรีไรท์ก็เพราะปกสวยหรืออะไรก็ว่าไป แต่ถ้าปกไม่สวยกูก็ไม่ซื้อเพราะกูมีอยู่แล้ว กูจะซื้อเรื่องซ้ำๆ มาไว้ให้รกชั้นหนังสือกูทำไม แค่นั้นประเด็นกู แล้วกูแปลกใจว่ากูเคยซื้อตั้งแต่พิมพ์แรกแล้ว เค้ารีไรท์ใหม่เพื่อให้นักอ่านใหม่ๆ ได้อ่าน แต่ทำไมนักอ่านรุ่นใหม่ที่เค้าตั้งใจขายนิยายรีไรท์ให้ถึงได้อ่านมากกว่านักอ่านรุ่นแรก แปลว่ากูต้องซื้อนิยายเค้า 2 เล่ม บนชั้นหนังสือกูจะมีทั้งแบบพิมพ์ใหม่พิมพ์เก่า? เรื่องตอนพิเศษกูไม่ซีเรียสนะพูดจากใจ ไม่อ่านก็ได้ แต่กูเสียใจตรงที่กูก็อุดหนุนเค้าตั้งแต่แรกน่ะแต่ในสายตานักเขียนฉบับที่กูมีมันไม่ดีพอ...
เอาล่ะ มันคงจะดูน่ารำคาญเกินไปสำหรับเพื่อนโม่งหลายๆ คนแล้วล่ะที่กูดูไม่จบไม่สิ้นกับประเด็นนี้ แต่กูมาตอบเพราะเพื่อนโม่งบางคนเหมือนจะคิดว่ากูเยอะสิ่ง กูยืนยันว่ากูไม่ได้โกรธเกลียดอะไรนักเขียนเลยยยยยยยยย ถ้าเค้าออกเรื่องใหม่มากูอุดหนุนเหมือนเดิมแน่นอน แต่ไม่ใช่กับการซื้อเรื่องเก่าๆ เอามารีไรท์ใหม่ เพิ่มตอนพิเศษ แก้นั่นแก้นี่ มันเปลืองเงินกูและที่สำคัญมันรกชั้นหนังสือ อันนี้ก็ขอโทษหลายๆ คนนะ เหมือนกูทำให้รู้สึกว่าการที่กูออกมาบ่นเรื่องนี้ทำให้เพื่อนโม่งบางคนมองคนอ่านว่าเรื่องมากเรื่องเยอะกับอีแค่นักเขียนเค้าออกรีไรท์ คือตอนนี้ถ้ามีใครรีไรท์ใหม่กูไม่โกรธแน่นอนแต่กูแค่ไม่ซื้อ เพราะกูเคยมีเล่มฉบับพิมพ์แรกของเค้าแล้ว แค่นั้นแหละ แล้วกูขอยืนยันตรงนี้ ว่ากูเป็นโม่งคนนึงที่ไม่ได้เล่นเฟซเล่นโซเชี่ยลใดๆ นอกจากในโม่ง กูไม่เคยเอาเรื่องนี้ไปบ่นที่ไหน ไม่เคยเชียร์ใครว่า อย่าไปซื้อเลยค่ะฉบับรีไรท์ คือโม่งนักเขียนทั้งหลายสบายใจได้ กูไม่ได้บ้าขนาดนั้น
>>883 ไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน มึงอย่าเข้าใจกูผิด นักเขียนจะเคยทำไรกูได้ไง กูไม่เคยคุยกับเค้าเลย กูอ่านแต่งานเค้า กูไม่ลงลึกรายละเอียดตัวตนนักเขียน และกูไม่ได้แอนตี้นักเขียนที่รีไรท์พิมพ์ใหม่ แต่กูก็แค่ไม่ซื้อเพราะกูมีของเค้าอยู่แล้ว กูจะเกลียดเค้าทำไมก็กูมีงานของเค้าทุกเรื่อง และที่สำคัญ กูไม่ได้รู้สึกอะไรกับ "ตัวตน" ของนักเขียน ดังนั้นกูไม่จำเป็นต้อง "รู้สึก" รักหรือเกลียดนักเขียน กูชอบงานเค้า กูโฟกัสแค่งานเค้า กูมาบ่นเท่านั้น กูไม่มีเป้าในใจอะไร โอเคมั้ยมึงประเด็นนี้
>>885 คิดว่าเป็นความรู้สึกแบบนั้นนะ ในวูบแรกที่เห็น แต่มันก็จะรู้สึกว่า เออๆ ไม่ไรนะ ซื้อก็ได้ คือเงินมีพร้อมเพย์ แต่ทีนี้นักเขียนมันไม่ได้มีแค่คนสองคนที่ตาม มันมีมากมายหลายสิบคน กูไม่สามารถพูดว่ากู "พร้อมเพย์" ได้แล้ว ถ้าต้องซื้อทุกคนกู "พร้อมตาย" ดังนั้นกูเลยมาบ่นในโม่งนี่แหละ แต่มันก็คือการบ่น กูไม่รู้ว่าจะเกิดเสียงสะท้อนอะไรยังไง กูไม่ได้หวังผล กูหวังแค่กูในฐานะคนอ่านได้ระบายเท่านั้น
จากความเห็นแรกจนถึงความเห็นนี้ของกู กูสาบานต่อหน้าชาเขียวลาเต้ว่ากูไม่โกรธหรืองอนอะไรเลย รู้สึกดีใจที่ได้พูดคุยนะ เพราะอย่างที่บอกกูก็ไม่ได้ติดตามใครเป็นการส่วนตัว แบบกูไม่มีเล่นเฟซคุยหลังไมค์นู่นนี่ ได้ฟังความเห็นนักเขียนบ้างก็ดี แต่ก็เข้าใจแหละ ทุกคนแม่งก็ต้องกินต้องใช้ นักเขียนก็ต้องกิน กูคนอ่านก็ต้องกิน เงินไม่พอก็คงไม่พร้อมเพย์เหมือนเดิม แค่ขอพื้นที่บ่น ซึ่งกูคงจะบ่นมากไปแล้ว ยังไงก็ขอบคุณอีกทีที่แสดงความเห็นกันนะคะ //ไหว้ย่อเข่า
>>887 กอด เห็นด้วยกับมึงทุกคำ กูเห็นใจนักเขียน แต่กูก็เห็นใจตัวเองด้วย
คหสต. ถ้านักเขียนอัธยาศัยดี กูพร้อมทดในใจ ถ้ามีตังค์และพร้อมเมื่อไหร่ กูสนับสนุนแน่นอน อาจไม่ใช่ทางตรงทางเดียว แต่บอกต่อเพื่อนพี่น้องให้มาอ่าน
ชีวิตก็แบบนี้ ต้องเรียนรู้ เข้าใจตัวเองและคนอื่น
>>887 ที่กูถามใน 881 เพราะคิดว่ามึงโดนด่าเพราะคนอื่นคิดว่ามึงจ้องจะอ่านฟรี ไม่คิดอุดหนุนนักเขียนเลย มึงเองก็โพสไม่เคลียร์แต่แรกว่าเคยซื้อหนังสือเล่มนั้นมาแล้ว จนมาอ่านคห.ต่อๆ ไป ถึงพอเดาได้ว่าเคยซื้อแล้ว กูว่าโม่งจะด่ามึงเรื่องนี้
ถ้ามึงมีแล้วไม่อยากซื้อใหม่ก็ไม่มีใครว่ามึงหรอก
ที่นี้ขอโพสในมุมนักเขียนที่เป็นความคิดของกูคนเดียวบ้าง ถ้ากูพิมพ์ซ้ำ แล้วดันมีตอนพิเศษงอกออกมากูก็เอาไปใส่ในเล่มว่ะ แต่ไม่ได้ต้องการให้คนซื้อเล่มแรกมาซื้อซ้ำหรอกนะ จะให้พิมพ์แจกก็ไม่ไหว ก็ต้องแจกให้อ่านฟรีทางอีบุคนี่แหละ ไม่ใช่ว่าไม่รักไม่แคร์นักอ่านที่ติดตามกันมานาน ก็เรื่องมันเพิ่งคิดได้นี่หว่า
ส่วนเล่มพิมพ์ใหม่มีตอนเพิ่ม จำนวนหน้าก็เพิ่ม ราคามันก็ต้องเพิ่ม มันจะเสียเปรียบกว่ากันเท่าไหร่
ส่วนเล่มพิมพ์
เพิ่มอีกนิด กูว่านักเขียนไม่ได้อยากให้ใครซื้อเรื่องเดิมซ้ำๆ หรอก
แต่สนพ.คงอยากเพิ่มยอดขาย
>>889 อ้อ ไม่เคลียร์เหรอ โทษที เพราะกูคิดว่าเพื่อนโม่งอ่านแต่แรกแล้วรู้อยู่แล้วว่าเป็นกูที่มาบ่นเรื่องพิมพ์ตอนพิเศษใน >>842 ซึ่งกูก็บอกไปแล้วว่ากูซื้องานเค้าแต่แรกอ่ะ กูถึงได้มาบ่นตอนเค้ารีไรท์แล้วปรับเนื้อหาไง
แล้วมึงบอก ราคาเพิ่มกว่ากันไม่เท่าไหร่ ใช่เลย ราคาเพิ่มไม่เยอะ แต่นักเขียนที่ทำแบบนี้ไม่ได้มีคนเดียวไง ที่กูบอกไปอ่ะ แรกๆ รีไรท์มาก็ซื้อนะ ช่วยอุดหนุน แต่หลังๆ ชักจะหลายคนที่ทำแบบนี้ กูก็อุดหนุนไม่ไหว กูมาบ่นเพราะกูเป็นคนอ่าน และกูไม่ได้ซื้อของนักเขียนคนเดียว ถ้ากูตามนักเขียนคนเดียวมันก็ไม่มีปัญหาหรอก
แล้วนักเขียนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ออกรีไรท์กับสนพ. เดิมนะ จะบอกสนพ. อยากเพิ่มยอดกูว่ามันก็ใช้ไม่ได้กับทุกกรณีหรอก
>>890 ไม่น่าใช่นะเพื่อนโม่ง
สนพ. ที่นำมาพิมพ์ใหม่เปลี่ยนปกเหมือนลงทุนในนิยายเรื่องนั่นขึ้นมาใหม่เรื่องหนึ่งเลย
และทำให้นักเขียนมีรายได้เท่ากับเขียนเรื่องใหม่ขึ้นมา
ประเด็นเพื่อนโม่งจะบ่นยังไงก็แล้วแต่จะว่ากันไป
แต่โลกความจริง นักเขียนคือคนธรรมดาที่จะกินต้องใช้ การมีรายได้สำคัญที่สุดในการดำเนินชีวิต
กูว่ามีแต่นักเขียนดีใจมากที่แฟนคลับยังนิยมซื้อซ้ำ ถ้าเพื่อนโม่งเป็นนักเขียนแล้วมีแฟนคลับตามเก็บทุกเวอร์ชั่นที่พิมพ์ตั้งแต่ครั้งที่ 1 ถึงครั้ง 5-6-7
มันจะยิ่งเป็นความรู้สึกดีมากกว่าเดิมว่านิยายเรามีคนชอบจริงๆ
แต่ปัจจัยใหญ่คือเงินมาหล่อเลี้ยงชีวิตวะเพื่อนโม่ง งานสุจริตไม่ลอกเลียนใคร เพื่อนโม่งชอบก็ซื้อ
ไม่ชอบก็บ่นได้แต่นักเขียนจะมองความคิดเพื่อนโม่งไปอีกแบบ
บอกตรง ๆ พิมพ์ใหม่เพิ่มตอนพิเศษกูก็เคืองนะ ของกูเป็นเซรีญาพิมพ์ครั้งแรก อยู่ ๆ ไปอยู่ดี ๆ กูก็เห็นว่ามีฉบับพิมพ์ใหม่ออกมา มีตอนพิเศษด้วย กูก็เคือง ๆ กูไม่ซื้อใหม่หรอกนะ กูรู้สึกว่าซื้อเบิ้ลเพื่อตอนพิเศษมันไม่คุ้มสำหรับกู แต่กูอยากอ่านตอนพิเศษอ่า.... ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าตอนพิเศษมันคืออะไร
อารมณ์เดียวกับตอนเห็นมังกรคู่ฉบับปรับปรุงด้วย เจ็บใจ
จนตอนนี้กูเริ่มถามตัวเองแล้วว่า นอกจากกูจะต้องรอจนหนังสือออกครบค่อยซื้อ (กันปาหมอนตอนจบกับโดนดอง) กูยังต้องรอนักเขียนรีไรท์จนเสร็จค่อยซื้อด้วยใช่ไหม?
>>892 เออ กูคิดแบบนั้นแหละ กูถึงได้มาบ่น แต่อย่างที่ว่า เงินก็ต้องใช้ทั้งนักเขียนทั้งคนอ่าน กูก็ขอแสดงจุดยืนในฐานะคนอ่านคนหนึ่งว่ากูไม่ซื้อซ้ำฉบับรีไรท์ แค่นั้นแหละ ไม่รู้กลายเป็นว่าเพื่อนโม่งนักเขียนคนอื่นมองว่ากูอยากอ่านตอนพิเศษฟรีโดยไม่คิดจะซื้อรวมเล่มแม้แต่เวอร์ชั่นไหนของเค้าเลย อะไรไปนู่น
ปล. >>890 ไม่ใช่ความเห็นกูที่เป็นโม่งมาบ่นนะ ทำไมกูอ่านแล้วรู้สึกเหมือนเพื่อนโม่ง >>892 คิดว่าเป็นความคิดกูเลย
>>893 นิยายทำสัญญาลิขสิทธิ์ 5 ปี กว่าจะรอกระบวนการพิมพ์ใหม่ได้ไปอีก 1-2 ปี รวม 7ปี (ไม่คิดเรื่องที่ขายดีพิมพ์ติดตลอดนะ)
ราคาหนังสือหารจำนวนปี บวกค่าลิขสิทธิ์ใหม่ที่นักเขียนจะได้ ราคาน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำอีก
เพื่อนโม่งลองมุมนี้ดู
ถ้าไม่มีตอนพิเศษออกมา จะเรียกแฟนคลับมาซื้อได้หรือ เพื่อนโม่งซื้อและได้อ่านก่อนก็คุ้มแล้วตั้งกี่ปี ไม่มีตอนพิเศษให้คงไม่มีใครจ่ายออกมาหรอกเพราะตลาดวายไปตั้งนานแล้ว
ถึงได้บอกว่ามองโลกความจริงดูบ้าง ไม่ใช้มุมกูอย่างเดียว
>>895 ไม่เห็นใจว่ะ จากเฉยๆตอนนี้กูรำแล้ว
กะจะขายแค่นักอ่านเก่าๆอย่างเดียวงั้นสิ ไม่คิดจะขายคนใหม่ๆแล้วหรือไง งี้อีก7ปีมึงพิมพ์ใหม่ มึงก็คิดงี้แล้วก็เพิ่มตอนพิเศษอีกตอนหรอ กลายเป็นสเปเชี่ยวอเวรี่เซเว่นเยีย?
มีแต่เขาคิดสมนาคุณให้นักอ่านดั้งเดิมที่ติดตามมาตั้งแต่คุณยังไม่มีใคร เกาะติดมาตั้งแต่ไข่ยังไม่ตั้ง วันนี้คุณเดินได้แล้วคุณกลับทิ้งนักอ่านกลุ่มนี้เหรอ
งี้ว.วินิจ ทม พนม ปิยะ กิ่งฉ ที่เขาพิมพ์ใหม่ไม่รู้กี่ครั้ง ทำไมเขาทำได้
ไม่ต้องมาเถียงว่าเขาดัง ยิ่งคนรู้จักงานเขาเยอะ มันหมายความว่าคนที่ซื้องานเก่าเขาไปก็ยิ่งเยอะ แล้วทำไมเขาขายได้
รู้จักเคสทางเทวดาเทวาวาดหรือเปล่า ตอนนั้นคนเขียนถึงกับคิดเพื่อคนที่เคยซื้อทางเทวดาเล่มเก่าที่ไม่สมบูรณ์ไป(ไม่ใช่ความผิดนักเขียนด้วย ความผิดสนพ.) ด้วยการเขียนเทวาวาด (ยาวกว่าทางเทวดา) กลายเป็นเล่มใหม่ ชื่อทางเทวดาเทวาวาด
คิดและทำเพื่ิอนักอ่านกลุ่มเก่ามากแค่ไหน ตรองดู
>>897 เขาทำเขาไม่ได้มองกลุ่มคนซื้อเก่านะ การตลาดเพื่อนโม่งรู้มั้ย ไม่ได้หวังยอดขายจากแฟนคลับเก่านะ
ตามหลักธรุกิจเขามองไปที่กลุ่มใหม่ที่ยังไม่เคยซื้อ หรือเคยซื้อแล้วหนังสือชำรุดเสียหายไป อันนี้คือกลุ่มใหญ่
สินค้ามาขายใหม่ มีที่ไหนไม่เพิ่มอะไรให้ดูแปลกไปบ้างหรือ
การตลาด การรอดทางธรุกิจ ไม่มีบทนักบุญ
นี่คือโลกความจริง ถ้าไม่เก็จก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
แถมยังไม่รวมเรื่องโดนสแกนอีก
เพื่อนโม่งคิดว่าหนังสือทั่วไปขายได้เท่าไร
หลักพันเองนะ หลักพันสองพันเล่มเอง
จำเอาไว้เพื่อนโม่ง
เงินกูน้อย กูไม่ซื้อนิยายทำมือแล้วว่ะ กูว่าซักวันมันก็ต้องมาขายสำนักพิมพ์ เปลี่ยนปก สวยกว่า เพิ่มตอนพิเศษ บางเรื่องราคาถูกกว่าอีก รอไปซื้อตอนนั้นเอา หรือถ้าไม่ทำ กูก็ถือว่าทุ่นไป กูไม่เสียตังซื้อก็ดีแล้วเหมือนกัน
นิยายไทยมีดีๆที่น่าจะคุ้มเงินกูไหม เรื่องที่กูชอบก็พวก จดหมายจากเมืองไทย อยู่กับก๋ง (และเรื่องอื่นๆของหยก บูรพา ที่มีก๋งในเรื่อง) สมัยนี้ยังมีนิยายระดับนี้ผลิตออกมามั่งไหมวะ
นิยายไทยดีๆ มันก็มีเยอะนะเพื่อนโม่ง แต่ถ้ายังมองหานิยายแนวที่ตัวเองคิดว่าดีผิดที่ผิดทาง ก็ยากจะมองเห็นว่ะ
>>902 แนวที่เพื่อนโม่งหา สนพ.มาทำตลาดในยุคนี้ บอกตรงเข้าเนื้อว่ะ
คนอ่านเน้นรัก ตบจูบ nc สนุกสนานเกรียนและซู รวมไปถึงวาย
ต้องบอกคนอ่านได้เลือกแนวที่จะทำให้ สนพ. จะอยู่รอดแล้ว
คนอ่านที่หาสาระเหลือน้อยลงเท่าหยบมือ
วงการหนังสือประเทศไทยถึงเป็นแบบนี้ไง
สรุปถ้าหวังและฝันโลกสวยมากไป สนพ. เจ้งวะ ตอนนี้คือยุคตลาดอยู่ในมือคนซื้อที่จะกำหนด แบบสะท้อนคุณค่าสังคมมากสอนให้คนดีงาม แต่กลายเป็นคนอ่านไม่สนันสนุน ผลงานต่อมาก็แพเท่านั้น
อ้อลืมไป
ยังพอมีที่บ้างที่ สนพ. ออกแนวนี้มาเพื่อให้ดูดีในวงการว่าเป็น สนพ. น้ำดีอยู่
แต่แบบนั้นคือเข้าเนื้อ บวก อีโก้ของบก.หรือมีสปอนเซอร์ดีที่ช่วยสนับสนุน โดยไม่สนยอดขายยอดพิมพ์
>>911 ที่จริงคือหวังให้มีชื่อและผลประสบด้วยนะเพื่อนโม่ง
ไหนๆ ก้พูดกันแล้ว
ในวงการพอจะรู้กันคือหนังสือไหนได้ซีไรต์
ผลที่ตามมาคือ ห้องสมุดทุกแห่งในประเทศไทย จะมีลิสรายชื่อหนังสือนั้นที่ต้องซื้อเข้าไปไว้ในห้องสมุดไม่ว่าจะยังไงก็ตาม
สรุปเรื่องไหนได้รางวัล คือเกรียติยศและเงินก้อนโตของนักเขียนและสนพ. เลยทีเดียว
ยอดพิมพ์ระดับหลักหมื่นมีแน่ๆ หรือก็คือเบสเซอร์เลอร์ เพราะห้องสมุดประชาชน ห้องสมุดดรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือห้องสมุดตามหน่วยงานต้องมีครอบครองกัน
หลังๆมากูรู้สึกว่างานซีไรต์อ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง สู้งานสมัยแรกๆไม่ได้ ยิ่งไส้เดือนตาบอดนี่กูว่าให้เด็กอ่านมันจะไปสร้างนิสัยเกลียดการอ่านนิยายไปเลย
กูชอบซีไรต์ยุคแรกๆมากกว่าว่ะ อ่านสนุก ได้สาระ มีข้อคิดแฝงแบบเนียนๆ แต่ยุคหลังๆนี่...เหี้ยอะไรก็ไม่รู้ พยายามจะอาร์ต พยายามจะแหวกแนวแต่ไม่มีอะไรเลย แถมอ่านไม่รู้เรื่องอีก
คนเค้าเมาธ์กันว่า เป็นเพราะเอาอาจารย์มหาลัยมาเป็นกรรมการ กรรมการพวกนี้จะอ่านงานแบบพยายามตีความ งานที่ตีความยากๆ สิบแปดตลบ วกวนๆ จะโคตรชอบ บอกว่ามีกึ๋น
ผลก็คือ งานมันไม่ตอบสนองคนอ่านส่วนใหญ่ของประเทศ
>>917 กูว่ายุคแรกมันดีนะ คือทั้งอ่านสนุกและแฝงข้อคิด หลังๆมาเริ่มออกแนวอ่านไม่รู้เรื่องข้อคิดก็ไม่รู้จะสื่ออะไรคนอ่านตีความไม่ออก
ที่เหี้ยสุดคือไส้เดือนตาบอดนี่แหละ เขียนได้อ่านไม่รู้เรื่อง แถมคนเขียนให้สัมภาษณ์ว่าจั้งใจเขียนแบบงงๆให้คนอ่านจดจ่อกับงานตัวเอง แม่งเอ้ยกรรมการที่ให้รางวัลคงรู้สึกเหมือนโดนตบหน้าเลยว่ะ แบบเอาตีนเขี่ยๆส่งงานแล้วกรรมการมองว่าเออดีเข้าใจอยากแบบนี้ต้องตีความเยอะสมควรได้รางวัล
ตลิ่งสูงซุงหนัก เป็นซีไรต์ที่ใช้ภาษาบ้านๆ เนื่อเรื่องก็ไม่ยาวเล่าเรื่องคนกับช้าง ปีนั้นกูว่าแม่เบี้ยเด่นกว่าเยอะ ทั้งภาษาทั้งพล็อต แต่ตลิ่งสูงชนะรางวัล กูว่าปีนั้นกรรมการคงเน้นความเรียบง่ายแต่สื่อได้ตรงไปตรงมา พอมาอ่านไส้เดือนแล้วกูแอบคิดในใจว่ากรรมการเบื่อนิยายแบบเรียบง่ายเลยให้รางวัลนิยายแหวกแนวที่สุดของปีนั้น
>>895 ใครมันคิดรายได้อย่างนั้นว่ะมึง นี่มึงกะว่าหนังสือเล่มเดียวมึงจะขายตลอดชาติไม่ทำอย่างอื่นไม่เขียนเล่มใหม่หรือไงว่ะ ถ้ามึงจะคิดเป็นรายได้ต่อเดือน มึงต้องคิดหนังสือที่มึงเขียนทุกเล่มรวมกันในช่วงนึงมาหารเวลาโว้ย แต่ถ้ามึงเขียนเรื่องเดียวขายเรื่องเดียวมึงก็ไม่ใช่นักเขียนอาชีพป่ะวะ รายได้แบบนั้นกูว่าเหมือนได้โบนัสมากกว่าไม่ใช่รายได้หลัก
ไม่มีตอนพิเศษไม่มีคนซื้อ...ถ้ามึงเขียนเรื่อย ๆ มีแฟนคลับใหม่ ๆ เขาก็ต้องตามเล่มเก่าที่ยังไม่มีรึเปล่าว่ะ เติมตอนพิเศษเพื่อดึงนักอ่านเก่ามาซื้อซ้ำกูโคตรไม่ชอบว่ะ อ่านก่อนนานกูไม่เห็นว่าเป็นกำไร ในเมื่อมันมีของใหม่กว่าครบกว่ามาให้กูเจ็บใจภายหลัง
โลกความจริงของมึงมันไม่ตรงความจริงว่ะ คิดถึงรายได้จากหนังสือเล่มเดียวบอกว่ารายได้ต่ำ ไม่ได้รวมรายได้ทุกทางมันจะเรียกรายได้ได้ยังไงว่ะ ขนาดชาวนาหมดหน้านายังต้องเข้าเมืองมาหางาน ไม่ก็เลี้ยงควาย เลี้ยงปลา เพาะเห็ดฟางกันเลย
>>920 นักเขียนทั่วไปไม่ใช่บิ๊กเนม เพื่อนโม่งว่าปีหนึ่งได้โอกาสออกกี่เล่ม
บางคนมีปัญหาเรื่องคิดพล็อตเขียนออกมา บางทีก็เป็นปีๆ จึงเขียนจบได้หนึ่งเล่ม
ที่เปรียบนี้รู้ไหมว่าตลาดนักเขียนเป็นยังไง
กลุ่มบิ๊กเนมครองตลาดไปมากกว่า 70-80% กลุ่มนี้มีนักเขียนรวมกันไม่เท่าไร
แต่ตลาดที่เหลือส่วนน้อย นักเขียนจำนวนมากมายหลายสิบเท่าต้องแก่งแย่งตบตีแย่งยอดขายกัน
อย่ามองแต่บิ๊กเนมไม่กี่คนสิ
โลกความจริง ระดับนักเขียนทั่วไปต่างหากที่ยากลำบาก บางคนออกงานได้แค่เรื่องสองเรื่อง ก็โดนเทลอยแพแล้ว เพราะยอดไม่เดิน
อย่าโลกสวยคิดว่านั่นของเก่าเก็บมาหากินอีก แล้วก็เขียนเรื่องใหม่ขึ้นมาสิ ไม่ใช่นักเขียน เพื่อนโม่งไม่เข้าใจหรอกว่าเล่มหนึ่งนี่มันเขียนออกมาได้ยากขนาดไหน
มีชื่อแล้วก้ดีไป แต่นักเขียนส่วนใหญ่ไม่ใช่ยังนั้นที่จะเขียนได้ปีหนึ่งหลายเล่ม
เพื่อนโม่งต้องมีมุมมองมาระดับทั่วไปบ้าง ไม่ใช่อัตตากูอย่างเดียว
>>921 อัตตาอะไร ประเด็นกูคือถ้ามึงเขียนได้น้อยขนาดนั้นมึงไม่ใช่นักเขียนอาชีพที่หากินกับการเขียนอย่างเดียวป่ะ มึงต้องมีรายได้ทางอื่น ซึ่งต้องเอามารวมเป็น "รายได้" ด้วย หรือว่ามึงเขียนไม่ออกมึงก็นอนอยู่บ้านตีพุงจนกว่าจะเขียนออก โดนลอยแพมึงก็ไม่คิดทำอย่างอื่นขายของเก่ากินอย่างเดียว? ถ้าทำอย่างนั้นก็อดตายป่ะวะ
>>921 มึงย้อนแย้งแล้วมั้ง ถ้าไม่ใช่บิ๊กเนม ใครเค้าจะเอาหนังสือมึงมาพิมพ์ซ้ำๆ แล้วเพิ่มตอนพิเศษเอาล่ะ เค้าก็เทมึงไปตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกแล้ว พวกที่เอามาพิมพ์ซ้ำก็มีแต่เรื่องที่ขายดีๆ ทั้งนั้นแหละ อยู่ที่การตลาดสนพ ว่าแม่งจะใช้วิธีเพิ่มตอนพิเศษหรือเปลี่ยนปกด้วยมั้ย จะนักเขียนดังไม่ดังเค้าก็พยายามเขียนเรื่องใหม่กันทั้งนั้นแหละ ยิ่งถ้าคิดจะยึดการเขียนเป็นอาชีพ จะช้าจะเร็วมันก็ต้องเขียน ไม่มีสนพ ไหนเค้ารอเป็นปีๆ ให้มึงเขียนจบซักเล่มก่อนแล้วค่อยตีพิมพ์ของมึงหรอก ถ้ามึงไม่ดังจริงใครเค้าจะมั่นใจได้ว่ารอแล้วจะขายดีมั้ย ไปหางานคนอื่นที่ขายได้แน่ๆ มีต้นฉบับพร้อมแล้วมาตีพิมพ์ขายไม่ดีกว่ารึไง
ปัญหามันอยู่ที่ว่าถ้าสนพ มันไม่คิดจะหาเรื่องใหม่มาตีพิมพ์เลย (จะนักเขียนหน้าเก่า ชื่อดัง หน้าใหม่ อะไรก็ช่างแม่งเหอะ) แล้วมาวนเวียนอยู่กับการตีพิมพ์เรื่องเก่าที่ขายได้อยู่ซ้ำๆ สุดท้ายหนังสือแม่งก็จะขายไม่ออก จมอยู่ในคลังอยู่ดี คนที่คอยตามซื้อฉบับพิมพ์ใหม่ซ้ำๆ แม่งจะมีกี่คน ยิ่งเป็นหนังสือเก่ามีมานานแล้วคนก็ยิ่งมีโอกาสอ่านกันไปแล้วเยอะ ถ้าสนพ ยังไม่คิดดจะแก้ปัญหาตรงนี้ก็ทำใจยอมรับปัญหาที่จะตามมาได้เลย
>>922 เด็กน้อย มึงพูดง่ายดีนะ
นักเขียนที่ยึดเป้นอาชีพคือพวกบิ๊กเนม
ส่วนนักเขียนทั่วไปเขาไม่คาดหวังว่าจะยึดเป็นอาชีพหลัก เขารู้ดีกันอยู่แล้ว เพราะมันไม่พอค่าดำเนินชีวิตประจำวันจำได้หรอก
มึงก็รู้ดีนี่
แล้วทำไมพอเขารีไรท์ออกมาขายใหม่บ้าง จึงมาบ่นแบบเด็กอนุบาลไร้สาระแบบนี้
นั่นก้เพราะมึงไม่พอใจเรื่องอะไรของมึงใช่มั้ย กูถึงเน้นว่าโลกความจริง ซึ่งมึงก็รู้ว่านักเขียนนี่รายได้ต่ำขนาดไหน เขาจึงต้องทำแบบนี้
คำตอบมันอยู่ในข้อความที่มึงเขียนมานี่แหละ
โลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า "หนังสือทำมือ" อยู่นะเพื่อนโม่ง
นักเขียนส่วนนึงที่ไม่ใช่ตัวแม่ของสนพ. เลาเค้าเอางานเก่ามารีไรท์ขาย เขาก็ทำมือกัน เพราะมันมีเปอร์เซนต์น้อยที่สนพ.จะอยากเอาไปตีพิมพ์ซ้ำ
>>926 กูว่าไม่มีใครพูดเลยนะว่าวงการหนังสือมันสวยหรู มึงจะบอกว่ามึงลำบากเลยจะทำอะไรก็ได้ให้ได้ตังมากขึ้นก็แล้วแต่มึงเลยจ้า กูก็็แค่ไม่ซื้อ
แต่กูอยากจะบอกว่ามีหนังสือหลายเรื่องมากที่กูอยากซื้อ แต่กูไม่ซื้อ กูรอรีไรท์ เพราะฉะนั้นกูก็ไม่รู้นะว่าที่มึงรีไรท์ เติมตอนพิเศษกันมากๆ เนี่ยมันจะทำให้มึงมีรายได้มากขึ้นเพราะคนซื้อเบิ้ล หรือตายไปตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกเลยเพราะคนรอฉบับสมบูรณ์แบบกู
>>929 เห็นมึงบ่นแต่เรื่องไร้สาระ แบบไม่เคยรู้โลกความจริง กูก็ช่วยกระตุกความคิดมึงเท่านั้น
งานนักเขียน เขาภูมิใจในงานของตัวเองกันทั้งนั้น
มันเป็นสิทธิที่เขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรในผลงานของเขาขึ้น
ความจริงเขาขายผลงานได้ก็ถือว่ามึงที่ช่วยซื้อหนึ่งเล่มก็พอเหมาะกับราคาที่จ่ายแล้ว
ถ้ามัวแต่คิดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบอยู่แบบนี้ ในเรื่องนิยาย
กำไรของความสนุกและบันเทิงของมึงจะมีแต่ขาดทุนลงเรื่อยๆ
>>930 ทำไมกูว่ามึงลากออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แล้ววะ ยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ ตกลงมึงเข้าใจประเด็นที่คนอื่นเค้าจะสื่อจริงๆ ใช่มั้ย ไม่มีใครบอกว่าวงการนี้มันสวยหรูดูดี แม่งก็ธุรกิจดีๆ นี่เอง ใครๆ ก็รู้ ไม่ได้มีใครคิดจะเอาเปรียบนักเขียนด้วยซ้ำ มึงบอกนักเขียนมีสิทธิ์ขาย จะขายซ้ำก็มีสิทธิ์ ก็ไม่มีคนเถียงไง เค้าไม่ได้พูดว่ามีหรือไม่มีสิทธิ์ เค้าก็แค่รู้สึกว่าการที่สำนักพิมพ์ (หรือจะอีบุ๊ค จะทำมืออะไรก็ตาม) เอาหนังสือเรื่องเดิมมาพิมพ์ซ้ำแล้วเพิ่มตอนพิเศษเข้าไปเรื่อยๆ มันไม่แฟร์กับคนซื้อที่ซื้อตั้งแต่รอบแรกๆ และในฐานะ "คนซื้อ" กูมีสิทธิ์บ่น
ถ้านักเขียนปล่อยงานไม่สมบูรณ์ออกมา จนต้องมารีไรท์ให้มันดีขึ้นในรอบหลัง ก็ถูกแล้วที่คนอ่านจะรอรีไรท์หรือไม่ก็ไม่ซื้อเลย งานไม่สมบูรณ์แบบมึงกล้าปล่อยออกมาหาเงินเข้ากระเป๋าได้ยังไง ดูถูกคนอ่านเกินไปรึเปล่า
กูคนนึงละที่ถ้ามีหนังสือเล่มนั้นแล้ว ต่อให้นักเขียนรีไรท์ไปพิมพ์สนพ.ใหม่ปกใหม่กูก็ไม่มีทางซื้อว่ะ กูเป็นผู้บริโภค กูจะบ่นจะด่าใครจะทำไม
กูเสียตังซื้อนะจ๊ะ มึงเขียนหนังสือหาเงินไม่ได้แล้วเกี่ยวอะไรกับกูวะ กูแค่เลือกสิ่งที่ดีที่สุดที่กูพอใจให้กับตัวเอง
ปล. กูไม่ใช่พวกที่ไปบอกให้นักเขียนเปลี่ยนพล็อตนะจ๊ะ อันนั้นก็เกินไป
บ่นได้ไม่มีใครว่าหรอก แต่มันลากยาวเหมือนไม่รู้เหตุผลของอีกฝ่าย เอาเป็นความจริงคนส่วนใหญ่รู้ว่ามีสิทธิของตนก็แล้วกัน (ทั้งสองฝ่าย)
ส่วนเรื่องนี่กูแทรกประเด็นอะไรนิด ไม่ได้เถียงความคิดเห็นของเพื่อนโม่งนะ บอกก่อน
เรื่อง
นิยายเรื่องเดียวจบ เพื่อนโม่งคิดเห็นยังนี้ไม่ค่อยกระทบเท่าไร เพราะถือว่าหนึ่งเล่มจบ
แต่ถ้าเป็นเรื่องยาว ความคิดแบบนี้แหละกระทบมากที่สุดในเรื่องนั้นๆ
เพราะเล่มต่อจะออกมาได้ไม่ได้ก้เพราะเรื่องยอดขายเป็นสำคัญ
กูเห็นมาเยอะมาก ที่จู่ๆ เรื่องยาวนั้นก็ถูกแพกันตั้งแต่เล่มแรกๆ แล้วคนอ่านที่ซื้อก็บ่นต่อว่า สนพ.
ทั้งๆ ที่ปัญหาเกิดขึ้นที่เรื่องยอดขาย ผลคือแพไปในเรื่องยาวนั้น เพราะความคิดที่อาจรอให้จบก่อน รอให้มีบ็อก รอรู้เรื่องตอนท้ายที่จบว่าตรงใจไหม บราบรา
ซึ่งมันกลายเป็นทำให้เรื่องยาวๆ นั้น ถูกแพหรือตัดจบ ลงอย่างรวดเร็ว
อันนี้เป็นสิทธิที่นักเขียนอยากบ่นเหมือนกัน
>>934 ถ้าเรื่องมันยาวทำไมไม่เขียนให้จบก่อนค่อยส่งสนพ. หรือพิมพ์เอง คนอ่านยุคนี้กูว่าชอบซื้ออะไรที่มันจบแล้วนะ ออกมาทีละเล่มมันไม่มีหลักประกันว่าจะจบเมื่อไหร่ ที่กูเคยเห็นไอ้เรื่องยาวๆ พอดขียนไปได้จุดหนึ่ง นักเขียนออกมาประกาศแจ้งหยุดอัพ ติดเรียน ติดทำงาน จะรีไรท์ใหม่ ติดนู่นติดนี่ แล้วก็หายไปกับสายลม บางคนกลับมาบอกจะอัพก็ไม่อัพเพราะไม่ได้แตะนานคงเขียนไม่ออก เป็นนักเขียนนี่ต้องมีวินัยประมาณหนึ่งแหละ เห็นสมัยนี้เปิดเรื่องพร้อมกันหลายเรื่อง ไม่จบซักเรื่อง
>>934 เดี๋ยวนะ กูเริ่มไม่เข้าใจมึงละ ความคิดแบบนี้ หมายถึงความคิดแบบไหนอะ ที่มีโม่งบอกรอซื้อทีเดียวยกเซ็ตน่ะเหรอ อันนี้ปัญหาเกิดจากอะไร เกิดจากเรื่องยาวแล้วทยอยพิมพ์ พอยอดไม่สูงสนพ ก็ลอยแพ ? หรือว่าพิมพ์เล่มแรกๆ ซ้ำแล้วเพิ่มตอนพิเศษ ? ถ้าแบบแรก อันนี้กูเห็นใจนักเขียน เป็นนักอ่านเจอเรื่องที่ตัวเองตามถูกลอยแพไปหลายเรื่องละ กูก็เซ็งเหมือนกันแหละ กรณีนี้แม่งขึ้นอยู่กับสนพ ล้วนๆ ไม่มีใครเค้าว่านักเขียนอยู่แล้วมั้ง มีแต่คนเห็นใจ
แต่ถ้ามันเป็นกรณีที่พิมพ์มาครั้งนึงแล้วมีการแก้หรือเพิ่มตอนพิเศษ ถ้าสนพ ทำบ่อยๆ เข้า คนก็ไม่ซื้อ รอซื้อรอบรีไรท์ทีเดียว ก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีให้ซื้อไปเลยเพราะสนพ เห็นว่ายอดน้อยเลยไม่แก้ .. อันนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คนอ่านแล้วมั้ง ก็ถ้ารู้ว่าเดี๋ยวแม่งต้องมีฉบับปรับปรุง ใครจะรอซื้อฉบับเก่า ที่ไม่รู้ว่าผิดถูกเยอะแค่ไหน พอแก้แล้วจะต่างจากเดิมยังไงบ้างหรอกมั้ง มึงคงต้องไปเคลียร์กับสนพ เองแล้วแหละ
ยังไงสนพ ก็ควรจะทำให้มันออกมาดีตั้งแต่พิมพ์ครั้งแรกอยู่แล้ว ถ้ามีโอกาสได้ตีพิมพ์ใหม่แล้วถือโอกาสนั้นแก้ไขคำผิด เปลี่ยนหน้าปกไปในตัว อันนี้กูโอเค แต่ยังไงๆ กูก็มองว่าถ้าปรับปรุงใหม่แล้วเพิ่มตอนเข้าไปมันไม่แฟร์กับผู้บริโภคเก่าๆ ว่ะ ขนาดสนพ วายบางที่ยังพิมพ์ออกมาเป็นเล่มพิเศษแยกได้ นักเขียนทำมือบางคนก็ทำได้ แล้วทำไมสำนักพิมพ์ใหญ่จะทำไม่ได้มั่งล่ะ
ไม่ชอบที่บอกว่านักเขียนหิวเงินเลยว่ะ นักเขียนไม่ได้กินลมเป็นอาหารนะมึง
ถ้านักเขียนรักอาชีพนี้จริง ต่อให้ไม่มีคนอ่านหรือซื้อหนังสือของตัวเอง ก็ไม่มาบ่นอย่างนี้หรอก ที่บ่นเพราะอยากได้ผลตอบแทนจากสิ่งที่ตัวเองคิดขึ้นมามากกว่า กูถึงถามว่าทำไมถึงเขียนหนังสือเป็นอาชีพหลัก แทนที่จะเขียนเป็นอาชีพเสริม ขายไม่ได้ยอดไม่ดีก็ไม่เป็นอะไร ไม่ต้องเครียดด้วย
นอกเรื่องแป๊ป ขอบ่นหน่อย..
เดี๋ยวนี้เห็นแอดมินเพจสนพ.ไม่มืออาชีพเท่าไหร่ กุล่ะเพลียและเซ็ง
ในโพสขาย รายละเอียดหนังสือไม่ชัดเจน กุก็แค่สงสัย ตอบกลับมาแค่ใช่จ้าก็จบแล้ว ทำไมต้องพูดแนวย้อนด้วยคำถามด้วยวะ? มันไม่หยาบ เออ แต่คนฟังรู้สึกไม่ดีโว๊ยยยยยยยยย
จากตอนแรกกุลังเลจะซื้อดีมั้ย แอดมินทำกุเสียรมณ์ กุไม่ซื้อแม่งแล้ว โว๊ยยยยยย หงุดหงิดดด
ปล. แอดมินสนพ.ไหนน่ารักบ้าง กุชอบ sic, enter กับนายอินทร์ กุว่าแอดตลกแบบไม่เฟคดี
นักเขียนที่ลงทะเบียนเสียภาษีอย่างถูกต้องมีประมาณ 3000 กว่าคนในประเทศนี้
นักเขียนมืออาชีพที่ปีหนึ่งมีผลงานออกหลายเล่มได้ มีไม่กี่สิบคน
นักเขียนใจรักในงานตัวเองทุกคน ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง แต่ปัจจุบันพวกกินอุดมการณ์เป็นข้าวเหลือไม่เท่าไร
สังคมเศรษฐกิจมันบีบขนาดไหน ถ้าทำงานหาเงินเองแล้วจะรู้
นักเขียนที่มีรายได้หลักจากงานเขียนเพียวๆ แทบนับหัวคนได้
=== นักเขียนทั่วไปเขาทำเป็นอาชีพเสริม ทุกคนรู้แก่ใจดี เพื่อนโม่ง ไม่ต้องบอกเรื่องนี้===
เพื่อนโม่งเคยเห็นการ์ตูนล้อเรียนเรื่องนักเขียนยอม สนพ. เขียนฉากตบจูบ nc ว่าเป็นสุนัขไหม เพราะต้องการรายได้
เมื่อก่อนกูก็ว่า เอ้อ มันจริงว่ะ เขาเขียนล้อได้ดี
แต่พอเข้ามาวงการนี้จริงๆ มึงไม่ยอมมึงก็ไม่ได้ออกงานมีเงิน (ไม่มีใครอิ่มทิพย์ได้) มันเจ็บจี๊ดไปถึงหัวใจเมื่อนึกถึงการ์ตูนนั้น
คนเราไม่ใช่แค่นักเขียนเท่านั้น
เงินจากรายได้หลักแทบไม่พอใช้กันแล้วในสมัยนี้ ส่วนใหญ่คาดหวังมีเงินจากงานเขียนเล็กน้อยกันทุกคน
ผลที่รูปธรรมที่เห็นชัด
ก็หนังสือที่วางขายนั่นแหละ ขายดีที่สุดก็รักตบจูบมีฉากเยิ้มกัน ที่บางคนบอกว่าเป็นขยะ แต่เสือกขายดิบขายดีตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป
โลกนี้มันโหดร้าย ประเภทเพ้อฝันว่านักเขียนต้องให้อะไรสังคม ทุกคนคาดหวังกันจริงจังแต่ไม่อุดหนุนเท่าไรเลย
มีบางคนเท่านั้นที่เขียนออกมาได้รับการยอมรับแต่นับรายชื่อได้เลย
นักเขียนปกติ บอกตรง ว่ายากแบบหืดขึ้นคอ บวกสังคมเศรษกิฐตอนนี้เป็นยังไงบ้าง
สนพ. เจ้งไปเท่าไร นิตรสารปิดไปเท่าไร
คนอ่านที่ซื้อตอบให้ได้หมดแล้ว
>>941 นักอ่านก็ทำงานหาเงินเอง เสียเงินกินข้าวเหมือนกัน อย่าคิดว่าพวกมึงลำบากเป็นอยู่คนเดียว เมื่อพวกมึงเขียนงานให้เขารู้สึกว่าไม่คุ้มที่เขาต้องจ่ายก่อน รอverสมบูรณ์ดีกว่า เขาก็ไม่ซื้อมึงหรือรอซื้อทีหลัง มันก็ส่วนนึงของโลกความจริงที่ว่าโหดร้ายนั่นแหละ นักอ่านไม่มีหน้าที่มาช่วยเงินค่าข้าวพวกมึงหรอก
>>941 แล้วยังไงอ่ะมึง อะไรไม่แกร่งพอก็ต้องหายไปเป็นธรรมดา ไม่เห็นมีอะไรให้เห็นต้องใจนักเขียน ตลาดหนังสือกว้างจะตายห่า ยิ่งคนได้หลายภาษายิ่งกว้าง กูจะมาอะไรกับนักเขียนไม่กี่คนบนโลกวะ บอกไว้เลยว่ามึงจะไม่เขียนหนังสือ ไม่ขายหนังสือก็เรื่องของมึง มีคนแทนมึงได้อีกเยอะ อย่าสำคัญตัวผิด คหสต.
โคตรตลก โคตรวงจรอุบาทว์ 555555
>>942 ถึงได้บอกไง มึงบ่นได้ นักเขียนก็บ่นได้ เพราะไม่มีใครอิ่มทิพย์ด้วยกันทั้งนั้น
โลกนี้ต่างต้องทำมาหากินด้วยกันทั้งนั้น อย่างหวังกินอุดมการณ์
ขึ้นอยู่กับความพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย มึงบ่นว่าไม่อยากซื้องานรีไรท์ นักเขียนก็บ่นว่านี่สิทธิของตรู
เข้าใจในผลประโยชน์แล้วใช่มั้ย
สรุปพอใจก็ซื้อไป ไม่พอใจก็บ่นมา แต่นักเขียนก็คนที่ต้องกินต้องใช้เหมือนกัน ถ้าไม่ทำก็ไม่มีรายได้กิน
>>939 เดี๋ยวนะ ย้อนแย้งมาก อะไรของมึง สมมติคนเป็นแอร์โฮสเตท รักอาชีพแอร์ แต่สวัสดิการไม่ดีเหี้ยๆ ลูกค้าสารเลวไม่พอใจสั่งให้กราบ ไม่พอใจท่าเดินท่ายิ้มมึงก็นั่งติ แอร์ที่ภูมิใจในอาชีพต้องทำไงคะ กราบลูกค้าแล้วยิ้มเชิดหน้าทำงานต่อไปโดยไม่รู้สึกใดใดเหรอวะ โอ้พระสงฆ์ นี่มันตรรกะเหี้ยอะไร
แค่พูดว่าอาชีพก็ต้องเป็นสิ่งที่ทำมาหาได้เลี้ยงครอบครัวได้แล้ว มึงจะให้อาชีพหนึ่งๆ รักษาภาพในแบบที่มึงต้องการสักแค่ไหนกันเชียว คนเหมือนกันนะมึง มึงบ่นได้คนอื่นก็บ่นได้หรือเปล่า กูว่าอันนี้เริ่มไม่เป็นธรรมแล้วว่ะ อย่าคิดแทนกันจะดีที่สุดนะ
กูสรุปให้
นักเขียน อยากได้เงินจากนักอ่านคนเดิม มึงควรเขียนเรื่องใหม่
ไม่ใข่เอาเรื่องเดิมมารีไรท์ เปลี่ยนปกเพิ่มตอนแล้วคาดหวังให้คนซื้อคนเดิมมาซื้ออีก
อย่าตอแหลว่าไม่ได้อยากให้คนเดิมซื้อ อยากได้คนใหม่ซื้อ เพราะถ้าเป็นงั้น มึงไม่ต้องเพิ่มตอนพิเศษก็ได้
จบนะ
>>943 โลกมันคัดเลือกผู้อยู่รอดให้อยู่แล้วเพื่อนโม่ง
นักเขียนรู้กันดี ไม่มีการสำคัญตัวทั้งนั้น ถ้านักเขียนแบบนั้นก็รอวันเจ็บได้เลย นักเขียนรู้ดีเข้าไส้ว่ะ
ตลาดหนังสือในไทยไม่ได้กว้าง บก.สนพ.รู้จักกันหมด
พวกหือหรือมีเรื่องมาก ก็จะรู้กันไปทั่วสนพ.ทุกที่
สรุปว่านักอ่านเรื่องเยอะ กว่าคนเขียนมากกว่า นักเขียนที่งานขายไม่ได้
เขาก็รู้ตัวไปทำงานอย่างงานกันหมดแหละ เขียนเป็นงานอดิเอกที่หาเงินค่าน้ำค่าไฟกัน
>>941 มึงคือคนเดียวกันกับข้างบนๆ ที่ผ่านมาทั้งหมด ใช่มั้ย ?
คือกูก็เข้าใจอะนะว่าอาชีพนักเขียนมันก็ค่อนข้างปากกัดจีนถีบพอสมควร ต้องตบตีกับสนพ กับคนอ่าน บางทีก็ตบตีกับตัวเอง อยากอธิบายให้คนเข้าใจมุมมองของตัวเอง ได้ ไม่ผิด แต่ก็อย่าลืมว่ามึงก็ต้องมองจากมุมอื่นเหมือนกัน
มึงมองว่าสนพ กับนักอ่านบีบมึงให้ต้องเขียนตามที่ตลาดอยากได้ ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ แต่โลกความจริงที่โหดร้ายกว่าที่มึงดราม่าคือ "ถ้ามึงความสามารถไม่พอ มึงก็จมไป" มันไม่ใช่ว่ามึงต้องยอมเพราะไม่งั้นมึงจะไม่ได้เงิน ที่มึงต้องยอมเพราะมึงความสามารถไม่ถึงรึเปล่า มึงยอมเพราะอยากได้เงินเยอะขึ้นเองรึเปล่า ถ้าคิดว่าสนพ ที่อยู่ตอนนี้ไม่สามารถตอบโจทย์มึงได้ ทำให้มึงเขียนแบบที่ต้องการไม่ได้ งั้นมึงก็ต้องหาที่ใหม่ที่เหมาะกับมึงมากกว่า ถ้ามึงไม่หา ไม่ยอมเปลี่ยน มึงก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนตอนนี้นั่นแหละ
สนพ เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะ หนังสือทำมือ ลงอีบุ๊คอีกเพียบ ถ้ามึงไม่สามารถถีบตัวเองขึ้นมาได้ มึงจะบอกว่าโลกนี้มันโหดร้ายอย่างเดียวไม่ได้มั้ง
กุกำลังนึกภาพ สมมติ แฮร์รี่ รีปริ๊น เพิ่มตอนพิเศษท้ายเล่ม ทุกเล่ม จะเป็นไง
กุว่างานสเแกนจะเฟื่องฟูมาก
แต่ถ้านักเขียนที่เอาต้นฉบับที่หมดสัญญาแล้ว มารีไรท์เพื่อพิมพ์ใหม่เอง อันนี้กุว่าทำได้นะ
เพราะนักเขียนเอาต้นฉบับ ที่ บก. รีไรท์มาพิมพ์ไม่ได้ มันเป็นของ สนพ. ต้องใช้ตัวออริ
แต่อย่าไปเพิ่มตอนพิเศษบ้าบออะไร
>>950 ใช่เลย
บอกให้รู้อีกว่า บก.สนพ.นี่โลกมันแคบว่าที่มึงคิด
นักเขียนทำอะไรไว้ทุกที่จะรู้หมด
และกูก็พยายามอธิบายให้เข้าใจถึงความจริง แต่เหมือนยังเถียงไปเรื่อยๆ
ทั้งๆ ที่มันแค่ พอใจก็ซื้อ ไม่พอใจก้บ่น
แต่นักเขียนเขาก็มีสิทธิบ่นเหมือนกันใช่มั้ย และเขารู้ดีในช่องการขาย ทั้งทำมือ ลงอีบุ๊ก
แต่ประเด็นมันก็กลับมาอยู่ที่กูจะบ่นในเรื่องงานรีไรท์ว่าเอาเปรียบกู ตามความเห็นที่ผ่่านมา ซึ่งตรรกะมันป่วยมาก
มองแคบไปป่ะวะ ที่มองว่าคนเขียนรีไรท์ เพิ่มตอนพิเศษ คือ อยากได้เงินจากลูกค้าเก่า
ไม่มองว่าเขาทำเพื่อความสมบูรณ์ของนิยายมั่งเหรอวะ มึงจะเอาตรรกะนี้มาอธิบายครอบคลุมไปทั่วทั้งวงการไม่ได้ ของแบบนี้เคสบายเคส สรุปแบบนี้โคตรไม่เป็นธรรม
ที่บอกว่า ถ้ารู้ว่ามันไม่พอแดก ได้เงินน้อย แล้วมาทำทำไม โอ้ยยยยยยย กูก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนักเขียนอาชีพพอดังแล้วเลิกแปะนิยายในเน็ต กูเข้าใจแล้วจริงๆ
ก็เพราะมันมีคนประเภทไม่ช่วยห่าอะไรยังบั่นทอนจิตใจเยอะไงล่ะ ความเข้าใจเหี้ยอะไรไม่มีเลยสักนิด แต่อันนี้กูเข้าใจนะ คนไม่เคยยืนอยู่จุดเดียวกันจะให้เข้าใจมันก็ยาก
คนเขียนแม่งต้องสตรองเบอร์ไหนคะนั่น ลงเว็บทีก็ต้องเจอปัญหาคนอ่านจะอ่านฟรี พอลบเรื่องหลังลงจบแบบลบไวเกินไปปลิงอ่านไม่ทันก็โวย งอแง ถ้าลงช้าปลิงไม่ทันใจก็มาดราม่าใส่ ลงจบยอดขายก็ตกเพราะต่อให้เล่มมีตอนพิศษพวกคนอ่านที่ถือว่า "กูอ่านจบแล้ว" บางทีกูก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วพวกประเภทนี้แม่งไม่สนใจกันหรอกว่าคนเขียนจะทำห่าอะไรยังไง ไม่ใส่ใจหรอกว่าจะรีไรท์ จะเพิ่มตอนพิเศษอะไรไหม สุดท้ายก็ไม่สนใจเหี้ยอะไรนอกจากของฟรีไม่ใช่เหรอวะ
กูยิ่งอ่านที่เพื่อนโม่งสายแอนตี้คนเขียนรีไรท์แบบสุดตรีนเขียนมาแล้ว กูยิ่งรู้สึกว่าบางทีก็ตรรกะเหี้ยพิสดารเกินไป นี่เจตนายั่วยุคนเขียนที่สิงตัวอยู่ในนี้หรือคิดแบบนี้จริงๆ วะ(ไม่ว่ามึงจะคิดแบบไหนก็น่าสงสารคนเขียนว่ะ) ไม่แข็งแกร่งก็แพ้ไปเหรอวะ โอ้ย พระเจ้าช่วย เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น มึงใช่เพื่อนโม่งที่พยายามพูดมาตลอดว่าซื้อเวอร์ชั่นแรกโน่นนี่นั่นป่ะวะ ถ้าใช่ ตกลงที่สร้างภาพว่าเป็นนักอ่านจ่ายเงินซื้อมาตลอดนี่แจกสตอเบอรี่เหรอวะ จริงๆ แล้วมึงไม่ได้มีปัญหากับคนเขียนที่รีไรท์เพิ่มตอนใช่ไหม มึงแค่อยากด่าป่ะวะ? อ่านข้อความหลังๆ แล้วแม่งยิ่งส่อ มึงบอกให้คนเขียนซื่อสัตย์กับตัวเอง มึงก็ซื่อสัตย์กับตัวเองหน่อยเว้ย
>>956 ไม่ใช่กูที่มาบ่นคนแรก แต่หลังจากนั้นกูอ่านอยู่ตลอด ในนี้ไม่มีล็อคอิน มึงไม่ต้องพยายามเดาหรอกว่าใครเป็นใคร มาเม้าในนี้ก็เพราะไม่อยากแสดงตัวตน มึงจะมาจงเกลียดจงชังอะไรในเมื่อทุกคนเข้ามาเป็นโม่งก็อยากระบายทั้งนั้น กูว่ามึงมาด่าแบบนี้เกินไปว่ะ แปลว่ากูเริ่มบ่นคนแรก ความเห็นต่อๆ มาจะเป็นกูคนเดียวสินะ??? มึงเอาไรคิด มึงต่างหากที่อคติ แล้วที่กูอ่านๆ มาตลอดนี่โม่งคนอ่านหลายๆ คนก็พูดเหมือนใจกูเป๊ะๆ เลย มึงก็คงคิดว่าเป็นกูอีกสิที่มาตอบ
อย่าสวมหัวโขนเลยว่าฝ่ายนี้ต้องเป็นอุดมคติอะไรแบบนี้
นักเขียนก็คนธรรมดา นักอ่านก็คนธรรมดา
เพราะนักเขียนก็เป็นคนอ่านเสมอ คนอ่านบางคนมีไฟก็ลุกขึ้นมาเขียนเป็นนักเขียนได้เสมอ
>>952 >>952 กูกำลังพยายามทำความเข้าใจมึงอะ นั่นคือเหตุผลที่กูกำลังเถียงกับมึงอยู่ .. เออ แปลกๆ ว่ะ แต่กูคิดแบบนั้นจริงๆ นะ มึงมองว่ากูไม่รับฟังก็ได้อะ เพราะที่มึงบอกว่า ตรรกะป่วยมาก ก็แสดงว่าตอนนี้มึงก็กำลังทำแบบเดียวกัน
กูว่าตั้งแต่ต้นที่กูบ่นเรื่องตีพิมพ์ใหม่มา กูไม่เคยว่านักเขียนเลยนะ กูมองว่าเป็นปัญหาที่สนพ ล้วนๆ แล้วถ้ากูมองว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโถคนี่มันผิดตรงไหนวะ ตัดเรื่องการรีไรท์แล้วแก้คำผิดหรือเปลี่ยนหน้าปกออกไปนะ แก้คำผิดก็ดีแล้ว เป็นการปรับปรุงผลงาน เปลี่ยนปก อันนี้ก็ความพอใจส่วนบุคคลว่าอยากจะเก็บปกใหม่มั้ย มันเลือกได้เพราะเนื้อหาเหมือนเดิม แต่ เฮ้ย ถ้าเพิ่มตอนล่ะ มึงอาจจะบอกว่าก็เท่าเทียมสิ กูได้อ่านก่อน... อ้าว เดี๋ยวนะ ถ้าตอนนั้นกูรู้ว่ามันจะมีฉบับเพิ่มตอนพิเศษมา กูอาจจะรอก็ได้นี่หว่า ในเมื่อตอนนั้นมันไม่ได้มีตัวเลือกให้กู กูก็ซื้อเท่าที่มีสิ หรือจะบอกว่า ค่าหนังสือสมัยนั้นถูกกว่านะเว้ย (คงไม่มีคนใช้เหตุผลนี้หรอกใช่มั้ยวะ) ... มันก็ต้องมองค่าครองชีพโดยรวมมั้ยอะ
การที่กูมองว่ากูต้องจ่ายเงินซื้อหนังสือราคาเต็มเพื่ออ่านเฉพาะตอนพิเศษ มันไม่แฟร์สำหรับกู กูไม่คุ้มนี่ ก็กูอ่านเนื้อเรื่องหลักไปแล้วอะ มันตรรกะป่วยตรงไหน อธิบายซิ
>>956 ไม่รู้หมายถึงกูรึเปล่า แต่ก่อนหน้านี้กูไม่เคยมาเถียงเรื่องนี้เลยอะ เรื่องลงจบไม่จบนี่ก็ไม่เคยเถียง กูพึ่งโผล่มาเช้านี้นี่แหละ ปกติกูจะซื้อเรื่องที่กูชอบว่ะ ลงจบหรือไม่จบไม่เกี่ยวกัน ถ้าลงจบแล้วใส่ตอนพิเศษไปในเล่มตั้งแต่ตีพิมพ์รอบแรก กูก็ซื้อถ้ากูชอบ แต่ถ้ากูไม่ชอบตั้งแต่แรก แล้วกูไม่ซื้อ มันผิดเหรอ ?
>>960 เดี๋ยวนะมึง ก็มึงมาเมนชั่นกู มึงถามกูใน >>956 มีสตรอเบอร์ร่งเบอร์รี่ไรด้วย กูก็ออกมาให้ข้อมูลว่าไม่ใช่กู กูไม่ได้ร้อนตัว แต่มึงต่างหากที่หัวร้อน กูไม่ได้แค่อยากเข้ามาด่า กูก็มาตอบดีๆ มึงยังเขียนเลยนี่ว่าข้อความหลังๆ ยิ่งเขียนยิ่งส่อ แต่ข้อความหลังๆ ไม่ใช่กู กูไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าไม่ใช่กู แต่กูก็ได้แต่บอกตรงนี้ว่าไม่ใช่กูแค่นั้น
>>962 ผลงานที่ออกมา เพื่อนโม่งได้อ่านไปจนจบใช่มั้ย ในราคาหนังสือที่ซื้อมา ซึ่งมันสร้างความสนุกความบันเทิงไปแล้วจะกี่ปีมาแล้วก็ตาม
ต่อมานักเขียน หรือสนพ. ต้องการพิมพ์ใหม่เพื่อสร้างรายได้หาเลี้ยงชีวิตของเขาหรือสนพ.เขา
ก็จะให้ออกมาแบบเดิมเป๊ะๆ บอกได้เลยว่าเข้าเนื้อแน่ๆ ซึ่งเรื่องนี้เพื่อนโม่งเข้าใจใช่มั้ยว่าสนพ.ไม่ใช่องค์กรการกุศล
เข้าใจเรื่องการตลาดไหม ถึงได้เน้นย้ำนักหนา
จะออกมาใหม่ก็ต้องมีอะไรพิเศษในสินค้า ไม่เช่นนั้นมันจะขายได้หรือ (คิดสิคิด)
เด็กเรียนประถมยังรู้เลยว่าของเก่าเดิมๆ กับของใหม่ที่ปรับโฉมขึ้นมา อะไรจะน่าซื้อกว่ากัน
ไม่รวมไปถึงแก้ไขจุดบกพร่องในคราวก่อนด้วย
ฉะนั้นจะรีไรท์พิมพ์ใหม่ มันก็ควรจะเป็นแบบนี้ใช่มั้ย (จะเก็จมั้ยนี่)
จะให้ออกมาเดิมๆ แล้วมันจะมีอะไรดึงดูดนักอ่านล่ะ (พิมพ์แบบนี้ออกมาก็กินทุนนะสิ)
อย่ามาใช้คำว่าศิลปินต้องใส่ใจนักอ่านอะไรทุกอย่าง
ซึ่งก็อุตสาพิมพ์ว่านักเขียนก็เป็นคนธรรมดา ที่ต้องกินต้องใช้ถูกมั้ย (มันเข้าใจยากหรือไง)
สรุปเป็นพื้นฐานจนไม่รู้จะพื้นฐานยังไงแล้ว ในการตลาด (ซึ่งก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีหรือไง)
>>963 กูว่าไม่ได้ทำลายขวัญนักเขียนอะไรเลย
เพราะเจอคอมเมนต์ โหด เลว ดี มากกว่านี้เยอะในหน้านิยาย
ไม่ว่าจะด่าเนื้อเรื่อง ไม่ว่าจะบอกว่าจะเอาไปสแกนแจก (ไม่ได้หมายถึงเพื่อนโม่งนะ)
บ้างทีลามปามด่าแบบ พ่องมึงตาย อะไรยังงี้
แต่ในนั้นนักเขียนมาตอบโต้นักอ่านเกรียนๆ แบบนั้นไม่ได้
ส่วนที่นี้เด็กๆ วะ จะบ่นมายังไง มันเล็กน้อยมาก ที่เปรียบกับที่เจอในหน้านิยาย
>>965 หัวร้อนมาแต่ไกลเชียว คุยกันดีๆ ก็ได้ ไม่ต้องแขวะ มึงบอกว่ากูไม่เข้าใจ? กูเข้าใจ ทั้งหมดที่มึงว่ามานั่นแหละ กูว่ากูเคยเขียนด้วยว่ามันคือปัญหาด้านการตลาดของสนพ ว่ะ อย่างแรก ถ้าสนพ หรือนักเขียนจำเป็นต้องเอางานเก่ามาขาย "เพื่อกินเพื่อใช้" แสดงว่าทั้งชีวิตมีขายได้แค่นี้งั้นสิ
มึงลืมไปรึเปล่าว่าการเอางานเก่าๆ มาขายกินแปลได้สองอย่าง เรื่องนั้นดัง หรือไม่ก็ สนพ หรือนักเขียนไม่มีปัญญาหางานใหม่ที่ดีกว่ามาทำ แล้วก็วนขายเรื่องเดิมอยู่อย่างเดียว นี่คือวิธีการทำมาหากินที่ดีและได้กำไรสินะ สาบานเถอะว่าเข้าใจเรื่องการตลาด ทั้งๆ ที่อ้างเรื่องการตลาดขึ้นมาแท้ๆ
กูเห็นบางเจ้าเค้าก็ตีพิมพ์เรื่องเดิม ไม่เพิ่มเนื้อหาก็ขายได้นะ ที่มึงบอกว่ามีฉบับเก่ากับใหม่ อันไหนจะขายได้มากกว่า ถ้าฉบับใหม่มีการปรับปรุง นั่นก็แปลว่ามึงมีสองอีดิชั่นอยู่ในตลาดสิวะ ถ้ามีอีดิชั่นเดียวแล้วมันดีจริง ยังไงก็ขายลูกค้าใหม่ได้ แต่ถ้ามีให้เลือกคนก็เลือกอันใหม่อยู่แล้ว อย่างนี้ก็แปลว่ามึงทำอีกแบบออกมาเพื่อดึงดูดลูกค้าเดิมที่มีหนังสือมึงอยู่แล้วให้กลับไปซื้อฉบับใหม่ด้วยสิ ? ไม่งั้นทำเป็นเรื่องใหม่ ภาคใหม่ออกมาเลย ยังไงก็ขายได้ทั้งลูกค้าเก่าและใหม่มั้ย
>>967
ไขความกระจ่างให้ นักเขียนคนหนึ่งจะมีมาสเตอร์พีทผลงานอยู่ไม่กี่เรื่องที่นักอ่านจะจดจำได้
ยามเมื่อออกเรื่องใหม่ๆ มา
คนอ่านที่เพิ่งรู้ก็จะย้อนกลับไปซื้อผลงานที่เป็นมาสเตอร์พีทของนักเขียนคนนี้ด้วย
สนพ.จึงยอมลงทุนพิมพ์ซ้ำขึ้นมาใหม่เพราะเล็งผลถึงเรื่องนี้
ต่อมาในมุมหนังสือเก่าเรื่องนี้จะถูกนำไปเป็นหนังสือเช่าในร้านหนังสือทั่วประเทศแล้วใช่มั้ย สำหรับคนอ่านที่เคยเช่าอ่านและชอบขึ้นมาจริงๆ
เมื่อเห็นหน้าปกหรือคำว่ารีไรท์ใหม่ขึ้นมา ก็จะตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นไปอีก
นี่การตลาดที่สูงขึ้นมาหน่อย ตามหลักจิตวิทยา
ยังไม่รวมประเถทที่อ่านแล้วยังไม่ได้ซื้อในครั้งแรกๆ พอประกาศว่าจะเพิ่มอะไรให้หรือไม่ถูกใจปกในครั้งแรกๆ การตัดสินใจจะง่ายขึ้นกว่าเดิม
สรุปว่า สนพ. ต้องการรายได้ที่ชัวร์ๆ มีกำไร นี่เขียนลงรายละเอียดปลีกย่อยให้เข้าใจขึ้นแล้วนะ
คือบอกตรงๆ ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อทำให้หนังสือขายออกไปได้ยังไง ไม่ขาดทุน น่าจะเข้าใจได้มากขึ้นนะ
(เป็นเรื่องของเงินและกำไร เงินและกำไร เงินและกำไร)
เป็นมู้ที่มันสัดๆ อย่างกะฉลองท้ายห้อง
>>972 อ่ะ กูขออธิบายว่ากูคือคนแรกที่มาบ่น แล้วกูก็ตอบคำถามมึงที่มึงเขียนใน >>956 มึงเขียนมาว่า "มึงใช่เพื่อนโม่งที่พยายามพูดมาตลอดว่าซื้อเวอร์ชั่นแรกโน่นนี่นั่นป่ะวะ ถ้าใช่ ตกลงที่สร้างภาพว่าเป็นนักอ่านจ่ายเงินซื้อมาตลอดนี่แจกสตอเบอรี่เหรอวะ" กูเข้าใจว่ามันเป็นคำถามนะ กูถึงเข้ามาตอบ พอกูมาตอบมึงก็ว่ากูร้อนตัว กูไม่ได้ร้อนตัวไง ก็มึงถามกูก็มาตอบดีๆ แล้วนี่มึงยังจะถามต่ออีกว่า "แสดงว่ามึงคือคนต้นข้อความทำนองอ่อนแอก็แพ้ไปเหรอวะ" ใน >>972 มันเป็นประโยคคำถามมั้ย ก็มึงลงท้ายด้วยคำว่าเหรอวะๆๆๆ กูก็เข้ามาตอบ และกูก็จะตอบตรงนี้อีกว่า กูไม่ใช่คนที่พูดว่า "อ่อนแอก็แพ้ไป" มึง นี่มันโม่ง กูบอกอีกที มึงไม่ต้องไปหาว่าใครพูดไร เพราะมันสวมโม่งกัน แต่กูรู้สึกว่ากูโดนด่าตั้งแต่สตอเบอรี่อะไรแล้ว กูก็มาแสดงตัวว่ากูไม่ใช่อย่างที่มึงกล่าวหา ทำไมการที่กูออกอธิบายสิ่งที่กูทำ/ไม่ได้ทำมึงถึงมองว่ากูร้อนตัวไปได้วะ
อ้อ แล้วนี่เลขข้างหลังกูเปลี่ยนเพราะกูเล่นจากมือถือนะ เดี๋ยวมึงจะหาว่ากูเป็นคนนู้นคนนี้อีก
กูไม่รู้จะคุยมู้ไหนดี คืองี้นะ กูลองไปดูใบเมนูของงานคอมิคอเวนิวดูเห็นมีบูธของวีรอนเดลกับกัณฑิดาด้วย เห็นมีตอนพิเศษของเซวีน่ากับแผนผังตระกูลขาย กูเลยงงๆว่าลิขสิทธิ์มันอยู่กับสนพ.แต่ตัวนักเขียนสามารถทำงี้ได้เหรอวะ
เฮือก กูเพิ่งเห็นในทวิต นิตยสารI likeจะเลิกแล้วว่ะ เห็นว่าTwilightของค่ายเดียวกันที่เน้นเรื่องผีก็เลิกไปก่อนแล้วด้วย
เมื่อก่อนกูซื้อตลอดอะ I like ซื้อมาบางทีอ่านไม่ครบทุกคอลัมน์ ก็ยังซื้อมาเก็บไว้
ถึงจะปรับเปลี่ยนอะไรใหม่แล้วกูว่ามันขาดเสน่ห์เดิมไป ก็คิดเอาน่า...มันก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันบ้าง
จนวันนึงคอลัมน์ที่กูอ่านประจำ(เรื่องสั้น)เพิ่งซื้อมาฉบับใหม่กริ๊บเลย อ่านไปอ่านมามันคุ้นๆว่ะ
เลยลองไปค้นเล่มเก่าๆดู แม่ง...เอาของเดิมมาพิมพ์ซ้ำ
กูก็พยายามหาว่าคนเขียนคอลัมน์เขาป่วย/ไม่ว่าง/หยุดหรือเปล่าวะ (ยัง ยังจะเข้าข้าง) ก็ไม่มีบอกเตือนอะไร
เอ๊า กูจะให้โอกาส ลองซื้อเล่มต่อมาอีกเล่มนึงดู พบว่าเอาเรื่องที่เคยตีพิมพ์ไปแล้วมาพิมพ์ซ้ำใหม่อีกแล้วขรั่บทั่น
คอลัมน์ที่ไม่เคยอ่านพอเทียบดูก็ซ้ำเดิมเยอะมาก ฟ้าคคคคคค อิเชี่ยมมมมมมมมม เหมือนถูกหักหลัง
ต่อไปเธอจะไม่ได้แดกเงินกูอีกนะ เล่มที่แล้วมาก็ถุงกล้วยแขกแล้วกัน....
เล่มที่เคยพิมพ์กับเล่มนั้นห่างกันประมาณ 150 เล่มได้ ยุคนั้นเน็ตยังไม่แพร่หลายหรือยังไงนี่แหละ กูได้แต่สงสัยว่าไม่มีใครรู้แล้วร้องเรียนเลยเหรอวะ กูเลิกอ่านก็ลืมๆเรื่องนี้ไปแล้ว จนเห็นประกาศหยุดทำนี่แหละ(แต่เห็นมีหยอดๆเล่มสุดท้ายขายดี จะมีเล่มพิเศษ ....พอเถอะ มึงไปเถอะนะ)
กรณีอย่างนี้เป็นความผิดของใครวะ คนเขียน(เนียนส่งเรื่องเดิม) บ.ก.(ไม่ตรวจหน่อยเหรอ หรือจำไม่ได้) หรือมีหน้าที่อื่น
บางทีบอร์ดนี้ก็ไปไวไปนะ กุตกข่าว/ พวกมึงด้านบนใจเย็นๆนะ
เดี๋ยวนี้อรุณทำสัญญากับนักเขียนแค่ปีเดียวหรอวะ กูเห็นเรื่องรักษ์ ราตรี อธิษฐาน ขายในmeb ทั้งที่เพิ่งออกกับสนพ. เมื่อปีที่แล้วเอง อรุณก็มีebookเรื่องนี้ เพิ่งจะมาถอดออก
อยากส่งต้นฉบับให้สนพดู แต่ไม่เคยลงใเว็บที่ไหน ไม่มีแฟนคลับ ใครเค้าจะมาตีพิมพ์ให้กู เฮ้อ
มีใครอ่านแถลงการสำนักพิมพ์ฉบับนี้แล้วมั่งวะ
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1583535968619972&id=1570592673247635
คืออ่านแล้วกูงง เรื่องที่เคยพิมพ์แบบไม่มีลิขสิทธิ์ก่อนตะมีกฎหมายลิขสิทธิ์ เอามาพิมพ์ใหม่อีกทีหลังมีกฎหมายแล้ว ก็ยังยกเว้นอยู่เหรอวะ? แล้วสำนักพิมพ์ที่ไปซื้อลิขสิทธิ์มาทำ ไม่ได้มีสิทธิทำคนเดียวจนกว่าจะหมดสัญญาหรอกเหรอวะ
แม่งเอ้ย เป็นอะไรกันหมดวะ ดร.มอโร ก็ชน มาโควัลโดก็ชน นี่ยังไม่รู้ว่าเจคลาสกับเจลิสจะเอารัมโปมาชนกันอีกรายรึเปล่า
>>992 ตามต้นเรื่องจากเฟสคนแปล เจ้าของอีกสนพพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องอะ คือตัวเราก็ไม่เข้าใจตัวบทกฎหมายดีด้วยเลยไม่อยากพูดมาก แต่ตามมารยาท พอรู้ว่าอีกเจ้าจะทำเรื่องเดียวกัน ทำไมไม่ไปคุยกันก่อนบ้าง นี่เหมือนไม่เคยคุยกันเลย
พูดถึงงานรัมโป ช่วงนี้คงจะได้เห็นแปลออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะวรรณกรรมญี่ปุ่นหลายเรื่องกลายเป็น public domain แล้ว
>>997 มาร์โควัลโดไม่ใช่งาน public domain ย้ำว่าไม่ใช่ เพราะคัลวิโนตายปี 1985 มันต้องห้าสิบปีหลังผู้ประพันธ์เสียถึงจะกลายเป็นงานปลอดลิขสิทธิ์ แต่นี่มันถึงยังล่ะ ก็ยัง เจ้าของสนพน่ะตอแหล ใจจริงคงอยากปล่อยมาชนมากกว่า ต่อเผอิญมันมีช่องโหว่ส่วนนี้อยู่ เขาคงนึกไม่ถึงแหละ
Topic has reached maximum number of posts.
Please start a new topic.
Be Civil — "Be curious, not judgemental"
All contents are responsibility of its posters.