กูว่าจะไม่เสือกแล้วนะ แต่อดไม่ได้ ขอเสือกหน่อยละกัน กูไม่เจาะจงนะว่าเป็นสำนักพิมพ์ไหน แต่ทำไมมันรู้สึกเหมือนมีคนเห็นใจสนพ ออกมาปกป้องสนพ กันจังวะ ทั้งๆที่คนอยู่ห้องนี้ส่วนใหญ่ก็นักอ่านนักเขียน
วิกฤตหนังสือตอนนี้น่ะนักเขียนเขียนงานห่วยนี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่ง แต่สำนักพิมพ์เลือกงานไม่ดูตาม้าตาเรือพอใจจะเอามาพิมพ์ก็เอามาพิมพ์เลย แล้วเวลาขายไม่ได้ก็โทษตลาดก่อน กูว่ามันไม่ใช่รึเปล่า ตลาดน่ะมันส่วนหนึ่ง ซึ่งมีขึ้นมีลงตลอดอยู่แล้ว แต่หน้าที่สนพ คือคัดงานที่ควรจะขายได้ไม่ใช่รึวะ ไม่ใช่เห็นแนวนี้ดีแนวนี้บูมก็ตะบี้ตะบันพิมพ์แต่แนวนี้ สุดท้ายเป็นไง ตลาดมันอิ่ม ก็ขายไม่ได้ก็ลอยแพ ก็โทษเศรฯฐกินก่อนเลยไม่โทษตัวเองเลย
เรื่องที่บอกว่าพวกคนเขียนนอนเฉยๆ แล้วได้เงิน กูว่าไม่มีใครนอนเฉยๆแล้วได้เงินมั้ง พวกนี้มันก็ต้องทำงานก่อนรึเปล่าวะ นักเขียนที่ทำมือเองแล้วขายได้มึงว่าได้เท่าไร นิยายรักตอนนี้ทำมือได้เงินมากกว่าให้ สนพ 3 เท่านะมึง แต่ที่เขายอมให้ สนพ ตีพิมพ์ก็เพราะต้องการไม่ให้ชื่อตัวเองหายไปจากแผงหนังสือ กูอยากให้พวกมึงเห็นตอนเจ้าของสนพ บางที่ไปขอหนังสือของสายทำมือมาตีพิมพ์จริงๆว่าออดอ้อนขอเขาขนาดไหน เพราะอะไรละมึง เพราะสายทำมือตัวแม่ๆน่ะ ตีแค่ 1000 เล่มก็พอ พวกนี้กำไรเล่มละ 150 บาทขึ้น พันเล่มก็ได้ 150000 ขึ้นอยู่แล้ว ในขณะให้ สนพ ได้อย่างมากก็ 60000-80000
เมนต์บนๆ พูดถูก ว่าสนพพิมพ์ 3000 ต้องขายได้สัก 1000 ถึงจะพอคืนทุน แต่พอมันพ้นจากยอด 2000 เล่มไปแล้วยอดกำไรก็จะไม่ใช่ 20% แล้ว มันจะเพิ่มขึ้นมาก อย่างเรื่องไหนที่ถึงขั้นรีปริ้นไปแล้วเนี่ย ยอดกำไรที่ สนพ จะได้น่ะเกินสองเท่าของปกติ ยิ่งพวก 5000+ เนี่ยได้เยอะมาก
แล้วเวลาคำนวนตัดค่าหน้าร้านน่ะมันได้แค่นั้นจริง แต่อย่าลืมขายทางไปรษฯีย์ขายในงานหนังสือสิ มึงลองดู เรื่องดังๆขายดีๆน่ะ มันไม่มีทางลงร้านก่อนหรอก มันต้องขายในงานหนังสือก่อน ในงานหนังสือลดกันก็แค่ 20% หักรักเขียน 10% หักทุน 30% มันก็ 40% ที่รับเนื้อๆเหมือนกันนะแล้วพิมพ์มา 3000 พวกขายระดับดีๆหน่อยน่ะงานหนังสือขายระดับ 1000 เล่มนะมึง แปลว่าสมมุตเล่มละ 200 พิมพ์ 3000 ลงทุนไป 3000x60=180000 แต่ขายในงานหนังสือไป 1000 ราคาเล่มละ 200 ลด 20% เหลือ 160 ขายไป 1000 เล่ม ก็ได้มาแล้วนะ 160000 ที่เหลือก็กำไรล้วนนะ ยิ่งรีปริ้นยิงกำไรเพิ่ม
กูไม่ได้คิดว่านักเขียนดีกว่่าสนพสำนักพิมพ์ หรือสนพดีกว่านักเขียน แต่กูว่าต่างฝ่ายต่างต้องทำงานตัวเองนะ สนพออกเงินคนเขียนก็ออกแรง มันก็โอเครึเปล่า อีกอย่างมึงลองมองกลับนะ นักเขียนใช่ว่าเขียนออกมาแล้วจะขายได้ทุกเรื่อง จะได้ตีพิมพ์ทุกเรื่อง มึงลองเอาสัดส่วนเรื่องที่ได้ตีพิมพ์ของนักเขียนชื่อเสียงปานกลางหรือเพิ่งเริ่มสิ เขียน 3-4 เรื่องได้พิมพ์สักเรื่องสองเรื่อง แล้วเรื่องที่เหลือที่เขียนแล้วล่ะ มึงไม่คิดรึว่ามันกลายเป็นสูญเปล่าเลยไง มันไม่ใช่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสี่ยงอยู่ฝ่ายเดียวนะเว้ย
ซึ่งสิ่งสำคัญอีกอย่างที่พวกนักเขียนขยาดสนพหลายๆที่มันมาจากการพิมพ์ซ้ำด้วย คือมันไม่มีอะไรที่นักเขียนจะไปตรวจดูได้เลยว่าเรื่องตัวเองที่ขายอยู่ถูกพิมพ์มาเท่าไร พิมพ์ซ้ำไปแล้วกี่เล่ม จะรู้ก็แค่สนพบอก แล้วอย่างพวกสนพ ที่ไม่มีโรงพิมพ์เองน่ะ จ้างโรงพิมพ์เกิน 5 ที่เพื่อพิมพ์งานนะมึง มึงจะไปหาว่าโรงพิมพ์ไหนพิมพ์งานมึงน่ะยาก หรือต่อให้มึงหาเจอเขาก็ไม่มีทางบอกมึงว่าพิมพ์ไปเท่าไร เพราะมึงไม่ใช่คนจ่ายเงินเขา
ส่วนตอนสนพ จะซื้องานมึงเขาก็เสี่ยงนะ เพราะบางทีเห็นแค่เล่มแรกๆไม่เห็นเล่มหลังๆแต่นักเขียนเองก็เสี่ยง เรื่องที่สนพ จะโกงมึงเมื่อไรก็ได้ มึงไม่มีสิทธิ์ไปสืบค้นใดๆเลยเหมือนกัน หรือเกิดมึงฟลุ๊คจริงๆไปเจอไปจับได้ เขาก็บอกได้ว่ากำลังจะแจ้งมึงพอดี นี่พิมพ์ซ้ำนะเท่านี้ๆแล้วก็จ่ายเงิน เยี่ย วงการหนังสือไทยมันชอบใช้คำว่ากันเองมันกลบเรื่องของกฏหมาย ใช้คำว่ามารยาอลุ่มอลวยมาเบียดบัง มันไม่ใช่เหมือนเมืองนอกนะมึง ว่าถ้าถูกจับได้ขึ้นมานี่ถึงขั้นฟ้องร้องกันหนักหน่วง แล้วเวลาจะพิมพ์ซ้ำจะอะไรคนรู้ยอดจริงๆจะมีสักกี่คนวะ ก็มีแค่คนสั่ง ซึ่งส่วนมากคนคุมตรงนี้ก็คนในทั้งนั้น ยิ่งสนพที่ระบบไม่ใช่มหาชนยิ่งง่ายรึเปล่าถ้าจะโกงส่วนนี้