สปอยเทียนกวานอาร์ค 3 ต่อจาก >>159 เทียนกวาน Part.128
.
.
.
.
.
เมื่อพวกเซี่ยเหลียนเดินไปดูภาพวาดอันสุดท้ายก็อดตกใจไม่ได้เพราะใจกลางของภาพคือสะพานขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อระหว่างภพมนุษย์กับสวรรค์ การที่เทพจะพาใครขึ้นติดตามขึ้นสวรรค์ด้วยจะต้องใช้พลังทิพย์เป็นจำนวนมาก เพราะฉะนั้นการที่องค์ชายรัชทายาทแห่งอู๋หย่งจะพาประชาชนทั้งอาณาจักรหนีภัยพิบัติไปสวรรค์จึงเป็นเรื่องฮาร์ดคอร์มาก พอเซี่ยเหลียนมองเผยซู่ที่สลบอยู่ก็เสนอให้ทิ้งอีกฝ่ายให้อยู่ที่นี่กับปั้นเยวี่ย เพราะยิ่งใกล้เตาก็น่าจะอันตรายขึ้น จากนั้นเขาก็สังเกตว่าอวิ๋นอวี้ที่ออกไปหาน้ำไม่กลับมาสักที เขากับฮวาเฉิงเลยออกไปตามหาอีกฝ่าย พอทั้งคู่เดินมาถึงแม่น้ำใต้ดินเซี่ยเหลียนก็หยิบไหที่เก็บได้มาล้างหมายจะตักน้ำกลับไปให้เผยซู่ ทว่าขณะที่เขากำลังจะยกไหจิบน้ำดื่มอ๋องผีก็ห้ามไว้ พร้อมกันนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของใครบางคนดังมาจากไหว่า ร้อน พอเซี่ยเหลียนสังเกตเห็นดวงตาของอะไรบางอย่างในไหก็เขวี้ยงมันทิ้ง หลังจากฮวาเฉิงอธิบายว่าสิ่งนั้นไม่ใช่มนุษย์ เซี่ยเหลียนก็ได้ยินเสียงไอ และเสียงผู้คนมากมายร้องขอความช่วยเหลือ “ฝ่าบาท พระองค์ทรงอยู่ที่ไหนกัน ช่วยข้าด้วย ได้โปรดช่วยข้าที”
เห็นเซี่ยเหลียนขนลุก อ๋องผีก็ส่งผีเสื้ออกไปส่องว่าสิ่งนั้นคืออะไร ปรากฏว่าพวกมันคือหนูตัวใหญ่ฝูงหนึ่ง และที่พวกมันมีขนาดใหญ่เช่นนั้นก็เป็นเพราะกินศพของชาวเมืองอู๋หย่ง ความเจ็บปวดทรมานของชาวเมืองจึงหลงเหลืออยู่ในตัวพวกมันจนสามารถเอ่ยคำกล่าวในยามสิ้นลมของคนแหล่านั้นออกมา พอได้ยินคำอธิบายจากฮวาเฉิง เซี่ยเหลียนจึงเข้าใจทันทีว่าทำไมเขาจึงได้ยินคำพวกนั้นจากหนู แต่พอเห็นท่าทีแปลกใจของอ๋องผี เขาก็เพิ่งตระหนักว่ามีสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่ หนูพวกนั้นพูดแทนชาวเมืองอู๋หย่งซึ่งย่อมต้องใช้ภาษาอู๋หย่ง แล้วทำไมเขาถึงเข้าใจได้ พอฮวาเฉิงลองกล่าวคำตามพวกหนูดู เซี่ยเหลียนกลับไม่เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด อ๋องผีจึงสรุปว่าเซี่ยเหลียนไม่ได้เข้าใจภาษาอู๋หย่ง แต่สามารถเข้าใจความรู้สึกของคนตายได้ และนั่นหมายความว่ามีใครบางคนที่เข้าใจภาษาอู๋หย่งได้จดจำความรู้สึกเหล่านั้นและถ่ายทอดมันให้เซี่ยเหลียน หรือว่าคนๆ นั้นจะคือราชครูกัน
การจะถ่ายทอดความทรงจำและความรู้สึกให้แก่คนอื่น อีกฝ่ายจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวเจ้าของความทรงจำเป็นอย่างมาก อีกทั้งต้องรู้สึกว่าตัวเองด้อยพลังกว่าเมื่ออยู่ด้วย ซึ่งเซี่ยเหลียนก็บอกว่ามีคนที่เข้าข่ายอยู่ 3 คน คนแรกคือราชครู คนที่สองคือจวินอู๋ ส่วนคนที่สาม แม้เขาจะไม่เชื่อใจอีกฝ่าย แต่เขารู้สึกว่าตัวเองไร้พลังและกลัวอีกฝ่ายมาก นั่นทำให้ฮวาเฉิงรู้ทันทีว่าเซี่ยเหลียนหมายถึงเศวตไร้หน้า หลังจากปลอบใจว่านั่นไม่ใช่เรื่องน่าอาย อ๋องผีก็ถามต่อว่ามีคนอื่นอีกหรือไม่ เซี่ยเหลียนเลยบอกว่าจริงๆ แล้วมีอีกคนที่เขาเชื่อใจมาก แต่ไม่ได้รู้สึกไร้พลังเมื่ออยู่กับอีกฝ่าย คนๆ นั้นไม่มีทางที่จะเอาความทรงจำพวกนั้นมาใส่เขา และเขาก็เชื่อในตัวคนๆ นี้มากกว่าอาจารย์ของตนหรือจวินอู๋เสียอีก เวลาที่เขาเผชิญปัญหาอะไรก็มักนึกถึงคนๆ นี้ก่อนเสมอ
จู่ๆ ฉวาเฉิงก็หน้าเสีย แนะนำเซี่ยเหลียนว่าอย่าเชื่อใจใครง่ายๆ เซี่ยเหลียนจึงแอบเลียบเคียงว่าไม่ถามหน่อยเหรอว่าเป็นใคร อ๋องผีบอกว่าไม่จำเป็น ทั้งสองเลยออกเดินทางหาอวิ๋นอวี้กันต่อ แต่สุดท้ายอ๋องผีก็แถามว่าคนๆ นั้นใช่เฟิงซิ่นหรือเปล่า หรือว่ามู่ฉิง แล้วก็หันมายิ้มตอแหลบอกว่าเขาคิดว่าไอ้คนที่ 4 เนี่ยแหละน่าสงสัยที่สุด บอกมาทีว่าเป็นใคร ทว่าตอนนั้นเองพวกเขาก็สัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาใกล้จึงไปซ่อนอยู่ข้างทาง เซี่ยเหลียนเสียงหนักกระทบพื้นเป็นจังหวะที่ฟังดูคุ้นๆ ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นหญิงสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงซึ่งมีไฟสีเขียวลอยอยู่เหนือศีรษะ มีเด็กชายหน้าซีดคนหนึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเธอ อีกฝ่ายคือผีสาวเซวียนจี กิ๊กเก่าแม่ทัพเผยผู้ก่อคดีเจ้าบ่าวผีนั่นเอง ส่วนเด็กคนนั้นคือกู่จือไม่ผิดแน่ และนั่นย่อมหมายความว่าฉีหรงต้องอยู่แถวนี้ด้วย
.
.
.
.
.